หวังเจียนเดินเข้ามาในตำหนักใหญ่อย่างตื่นเต้น
“ได้ยินหรือยัง ได้ยินหรือยัง” เขาตะโกน “เรื่องที่คุณหนูตันจูเปิดร้านยา”
เขาตะโกนเสร็จถึงได้พบว่าบริเวณหน้าโต๊ะว่างเปล่า มีเพียงกองเอกสาร และแผนที่ ไม่มีร่างของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
“คนไปไหนกัน” เขาถาม ก่อนจะมองไปรอบด้าน จากนั้นมีเสียงน้ำดังขึ้นมาจากด้านหลัง เขารีบเดินไป “ท่านกำลังอาบน้ำ?”
ภายในห้องมีเสียงตอบรับของแม่ทัพหน้ากากเหล็กลอยออกมา
“ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ต้องแช่ยาอีกแล้ว?” หวังเจียนถามเมื่อได้กลิ่นยา แต่ราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุ้นชิน เขาพูดต่ออย่างตื่นเต้น “คุณหนูตันจูสมกับเป็นคุณหนูตันจู มักจะทำเรื่องที่แตกต่างจากคนอื่น”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กถาม “เจ้าไปถามจู๋หลินอีกแล้ว? ท่าทางเจ้าจะว่างเกินไป…หรือไม่เจ้าไปรับโจวเสวียนกลับมาจากค่ายทหารเถิด”
“ข้าไม่ไป” หวังเจียนรีบพูด “ข้าไม่ได้ว่างไปถามจู๋หลิน ข้าแค่ไปกินข้าวตอนเช้า…ทางตะวันตกของเมืองมีร้านเปี๊ยะที่อร่อยมาก…ได้ยินมาจากทหารยาม”
พูดถึงตรงนี้เขาก็เดินยิ้มเข้าใกล้ประตู
“ท่านอยากรู้หรือไม่ว่าทหารยามพูดอย่างไร”
เสียงจากด้านในตอบกลับ “ไม่อยาก”
หวังเจียนกรอกตาขาว สนทนากับแม่ทัพหน้ากากเหล็กอย่าคาดหวังเหมือนการสนทนากับคนปกติ
“ท่านไม่อยากแต่ข้าอยากพูด คุณหนูตันจูขวางทางปล้นทรัพย์ คนที่ผ่านไปมาต้องให้นางรักษาก่อนถึงจะผ่านได้ เมื่อวานมีคนฟ้องศาลว่าถูกชิงทรัพย์ ใจกล้าเสียจริง เหลวไหลสิ้นดี”
เขาเข้าใกล้ประตู ก่อนจะเคาะเตือน
“ข้างตัวนางมีจู๋หลินติดตาม ทหารยามที่เฝ้าเมืองไม่กล้าทำอะไร แต่การกระทำของนางทำให้ท่านเสียชื่อ”
ด้านในมีเสียงของแม่ทัพหน้ากากเหล็กส่งออกมา “ข้าจะมีชื่อเสียงที่ดีไปทำอะไร”
ได้ นิสัยนี้ หวังเจียนพูด “เรื่องเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของราชสำนัก”
เสียงของแม่ทัพหน้ากากเหล็กยิ่งเรียบเฉย “ชื่อเสียงของข้าไม่เกี่ยวกับชื่อเสียงของราชสำนัก”
หวังเจียนถูกพูดดัก คิดอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็อดกลั้นเอาไว้ จนกระทั่งอดกลั้นไม่ไหวจึงพูดขึ้น “อาจารย์จื้อฮุ่ยจะถ่ายทอดวิชาธรรมต่อหน้าราษฎร เมื่อถึงเวลาอาศัยงานถ่ายทอดวิชาธรรมเชิญฝ่าบาทอพยพเมืองหลวง จากนั้นองค์รัชทายาทก็สามารถออกเดินทางได้”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ เสียงน้ำดังขึ้นราวกับมีคนลุกขึ้นยืน “ดังนั้นข้าควรไปแล้ว”
หวังเจียนลังเลเล็กน้อย “ยังเหลือท่านอ๋องฉีอีกคน โจวเสวียนรับมือได้ใช่หรือไม่”
เสียงแหบพร่าของแม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยว “เขาทำไม่ได้”
หวังเจียนอ้าปากก่อนจะหุบลง “เอาเถิด ท่านพูดอะไรก็คือสิ่งนั้น ข้าไปเตรียมการแล้ว”
หวังเจียนจากไปอย่างรวดเร็ว ภายในตำหนักกลับคืนสู่ความสงบ หลังจากนั้นสักพักประตูห้องเปิดออก องครักษ์คนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากมุมหนึ่งราวกับวิญญาณ
“คนที่คุณหนูตันจูรั้งเอาไว้เมื่อวาน…” เสียงของแม่ทัพหน้ากากเหล็กดังขึ้นภายในห้อง
ดังนั้นท่านแม่ทัพก็ยังคงอยากรู้เรื่องนี้ องครักษ์ถาม “ให้ข้าไปถามจู๋หลินหรือขอรับ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินออกมา บนตัวปกคลุมด้วยผ้า หน้ากากปิดใบหน้าเอาไว้ ผมสีขาวเทาเปียกชื้นส่งกลิ่นฉุนของยา ท่าทางน่ากลัวอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องไปถามจู๋หลิน” เขาพูด “ไปดูคนที่ถูกรั้งเอาไว้เป็นอย่างไรแล้ว”
องครักษ์กระจ่าง ก่อนจะหายตัวไป
เหมือนดั่งที่หญิงชราขายชากังวล หลายวันนี้ถนนที่คึกคักในเดิมทีไร้วี่แววของผู้คน ถึงแม้จะมีคนเดินทางผ่าน คนที่ขี่ม้าวิ่งอย่างรวดเร็ว คนที่เคลื่อนรถก็เคลื่อนอย่างไม่หยุดหย่อน คนที่เดินเท้าก็กดหมวดลงต่ำวิ่งผ่านไป…
“ครานี้ดีแล้ว ไม่มีคนจริงๆ แล้ว” นางระอา ก่อนจะเก็บโรงน้ำชา “ข้ากลับไปพักผ่อนที่บ้านดีกว่า”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านยาย ข้ามียาอยู่เล็กน้อย ท่านนำกลับเถิด”
หญิงชราขายชาไม่ได้เกรงกลัวเหมือนคนอื่น “ได้ ของไม่เสียเงินไม่รับได้อย่างไร”
ดวงตาของอาเถียนเต็มไปด้วยความหวัง “หากทุกคนเหมือนท่านยายก็คงดี” นางบรรจุยาเต็มตะกร้าส่งไปยังโรงน้ำชา
หญิงชราขายชาหิ้วตะกร้า ครุ่นคิดก่อนจะถามเฉินตันจูขึ้นมา “คุณหนูตันจู เด็กคนนั้นนางช่วยได้หรือไม่”
เฉินตันจูพยักหน้า “ช่วยได้แน่นอน” นางยื่นมือออกมา “เวลานี้คงจะฟื้นขึ้นเดินลงจากเตียงได้แล้ว”
หากจะบอกว่าเรื่องเท็จ แต่หญิงสาวทำหน้ามั่นใจ หากจะบอกว่าเรื่องจริงก็รู้สึกแปลกประหลาด หญิงชราขายชาไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรทั้งสิ้น นางหิ้วตะกร้ากลับบ้านไป…หวังว่าหญิงสาวนี้เล่นสนุกเสร็จสิ้นให้ไวเถิด
อาเถียนมองดูหญิงชราขายชาจากไป ก่อนจะมองไปยังถนนทางด้านหน้า ครุ่นคิดก่อนจะเรียกขานหาจู๋หลิน จู๋หลินตอบรับอยู่บนต้นไม้หนึ่งด้านข้าง
“พวกเจ้าดูทางนั้น มีคนเดินทางมาหรือไม่” อาเถียนพูด
มุมปากของจู๋หลินกระตุก เห็นเขาเป็นอะไร โจรที่ดูต้นทางหรือ
อาเถียนไม่สนใจว่าจู๋หลินจะคิดอย่างไร นางหันกลับไปมองเฉินตันจู เฉินตันจูเอนตัวนั่งอยู่บนเตียง มือหนึ่งถือตำรา…นอกจากซื้อยาซื้อตู้ยาแล้ว นางยังซื้อตำรามาจำนวนมาก เฉินตันจูอ่านทั้งวันทั้งคืน อาเถียนมั่นใจว่าคุณหนูตั้งใจศึกษาอย่างแท้จริง
เสียดายความจริงใจของคุณหนู…
“คุณหนู เด็กคนนั้นหายดีแล้ว” นางถาม “พวกเขาจะมาขอบคุณคุณหนูเมื่อใดกัน”
เฉินตันจูถือตำราครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหัว “ไม่รู้ อาจจะไม่มาขอบคุณ เพราะถูกข้าทำให้กลัวไม่น้อย ไม่เกลียดแค้นข้าก็ดีแล้ว”
อาเถียนส่งเสียงฉงน “แล้วเมื่อใดคนอื่นจะได้รู้ชื่อเสียงของพวกเรากัน”
ช่างเป็นเรื่องตลกเสียจริง เฉินตันจูนึกถึงชาติก่อนที่นางช่วยเหลือคนอื่น ทุกคนต่างไม่เผยแพร่ชื่อเสียงของนาง เวลาคนที่ถูกช่วยก็ไม่เผยแพร่ชื่อเสียง แต่จุดเริ่มต้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เวลานั้นทุกคนทำเพื่อปกป้องนาง แต่เวลานี้ล้วนเกรงกลัวเกลียดแค้นนาง
เฉินตันจูถอนหายใจออกมา “ไม่รีบ เมื่อช่วยได้มาก ย่อมมีชื่อเสียง”
อาเถียนพยักหน้า เป็นกำลังใจให้คุณหนู “ในไม่ช้าอย่างแน่นอน”
จู๋หลินที่อยู่บนต้นไม้คิดในใจ หากเป็นเช่นนี้คงต้องลักพาตัวคนที่ผ่านไปมาให้มากกว่านี้แล้วหรือไม่ เรื่องนี้ต้องบอกแม่ทัพหน้ากากเหล็กหรือไม่ ตามหลักแล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับราชสำนักและท่านแม่ทัพ
ภายในเมืองข่าวของคุณหนูตันจูรั้งผู้คนผ่านไปมาเพื่อเปิดร้านยาที่ภูเขาดอกท้อด้านนอกเมืองกำลังกระจายออกไป คนที่ถูกรั้งเอาไว้ก็รู้ในที่สุดว่าคือคุณหนูตันจูเป็นใคร
“ไม่คิดว่าจะเป็นบุตรสาวของท่านมหาราชครูเฉิน” หญิงสาวนั่งฟังสามีเล่าเรื่องภายในห้อง นางตกตะลึงอย่างมาก ชื่อของท่านมหาราชครูเฉิน ไม่มีคนเมืองอู๋คนใดไม่รู้ “ยิ่งคิดไม่ถึงว่า ท่านมหาราชครูเฉินจะทรยศท่านอ๋อง…”
พวกเขาเป็นคนต่างถิ่น ได้ยินว่าท่านอ๋องอู๋ออกจากเมืองอู๋ไปเป็นท่านอ๋องโจว ญาติของพวกเขาก็คิดจะอพยพไปเมืองโจว ดังนั้นจึงส่งจดหมายให้พวกเขาเดินทางมาหารือ พวกเขาจึงรีบเดินทางมา ระหว่างนี้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองอู๋พวกเขาไม่รับรู้มาก่อน
ชายหนุ่มนึกถึงความตกตะลึงจนไม่รู้จะพูดอะไรดีเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“มิน่าคุณหนูนั้นถึงได้เอาแต่ใจ” เขาถอนหายใจออกมา “เมื่อเทียบกับเรื่องที่นางทำ รั้งพวกเราเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
เมื่อพูดถึงเรื่องของพวกเขา หญิงสาวเงียบไป ด้านหลังมีเสียงของเด็กดังขึ้น “ท่านแม่ ข้าหิว…”
สามีภรรยาทั้งสองลุกขึ้น มองดูเด็กสี่ห้าขวบบนเตียงลุกขึ้นมาขยี้ตา
“ลูกข้าเจ้าตื่นแล้ว” หญิงสาวยกชามที่อุ่นอยู่บนเตา “แม่ทำไข่ตุ๋นที่เจ้าชอบกินเอาไว้”
เด็กชายนั่งขยี้ปลายจมูกอยู่บนเตียง ก่อนจะหรี่ตาตอบรับ แต่เมื่อกินไปได้สองคำก็ปีนลงจากเตียง “ข้าอยากฉี่”
ชายหนุ่มรีบยื่นมือออกไป “พ่ออุ้มเจ้าไป…”
เด็กชายปีนลงจากเตียงวิ่งเข้าห้องน้ำไป ชายหนุ่มเรียกขานก่อนจะรีบตามเข้าไป จากนั้นจึงเดินออกมาพร้อมกัน หญิงสาวป้อนข้าวด้วยใบหน้ารักใคร่ เด็กชายกินไข่ตุ๋นไปครึ่งชามก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
“ลูกหายดีแล้ว” หญิงสาวพูดอย่างดีใจ เมื่อนึกถึงความตกใจที่ได้รับก็อดเช็ดน้ำตาไม่ได้ “ข้าสามารถอยู่ต่อไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มลูบหัวไหล่ของนางเป็นการปลอบ
หญิงสาวนึกอะไรบางอย่างได้ พูดขึ้นอย่างลังเล “หากพูดเช่นนี้ ลูกของพวกเรารอดเพราะคุณหนูตันจูท่านนั้นหรือไม่”
มือของชายหนุ่มชะงัก เวลานั้นไต้ฟูก็บอกไว้แล้ว เด็กคนนี้ช่วยกลับมาได้เพราะเข็มสีทองนั้น…เขาหันไปมองกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะ ภายในกล่องคือเข็มสีทองที่คุณหนูตันจูฝังลงไปบนร่างกายของเด็กชาย
“เวลานี้ในเมืองร่ำลือเช่นนั้น” หญิงสาวพูดเสียงเบา “พวกเราต้องอธิบาย จากนั้นไปขอบคุณคุณหนูตันจูหรือไม่”
มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหนูตันจูคงไม่ใช่เรื่องดี ชายหนุ่มกัดฟันส่ายหัว “มีอะไรต้องอธิบาย เวลานั้นนางขวางทางจริง ถึงแม้จะทำเพื่อรักษาก็ไม่อาจกระทำเช่นนี้ อีกอย่าง ลูกของเราไม่ได้เป็นโรค บางทีนางอาจจะโชคดีรักษาให้หายได้ แต่หากลูกของเรามีโรคอย่างอื่น อาจจะตายก็ได้…”
หญิงสาวตบเขาทีหนึ่ง “สาปลูกได้อย่างไร ครั้งเดียวยังไม่พอหรือ”
ชายหนุ่มรีบถอนคำพูด
หญิงสาวนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ทั้งโกรธทั้งกลัว…
“เอาเถิด” นางพูด “คนเช่นนี้ไม่ได้รั้งแค่พวกเรา การกระทำนี้เป็นการกระทำร้ายผู้อื่น พวกเราอยู่ห่างๆ ดีกว่า”
ชายหนุ่มพยักหน้า “เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าไปหารือกับลุงสองเรื่องที่จะไปเมืองโจว”
หญิงสาวตอบรับ หันหลังนอนลงบนเตียงเป็นเพื่อนเด็กชาย ชายหนุ่มเดินไปทางประตู ทันทีที่เปิดประตูออกไป ด้านหน้าปรากฏร่างหนึ่งดุจดั่งกำแพงที่ขวางทางเอาไว้
เขาตกใจจนตะโกนเสียงดัง เวลากลางวันทำให้มองเห็นลักษณะของคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน คนแปลกหน้า ไม่ใช่คนในตระกูล บนตัวมีดาบ เขาทำได้เพียงถอยหลังไป
“คุณหนูตันจูรักษาลูกเจ้าให้หายดีแล้ว” คนนั้นไม่รอเขาตะโกนออกมาก็พูดขึ้นเสียงเย็น “เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปขอบคุณ”
อะไร ชายหนุ่มผงะ คุณหนูตันจู?…นอกจากขวางทางชิงทรัพย์แล้ว ยังวิ่งมาชิงทรัพย์ในจวนได้อีกหรือ