บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 74 องค์ชาย

ตอนที่ 74 องค์ชาย

องค์ชายหกไม่ออกจากจวนเป็นเรื่องที่ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้

ฝูชิงย่อมรู้เช่นเดียวกัน

เขามองไปยังทิศทางหนึ่งของเมืองหลวง เนื่องจากเรื่องของเหล่าท่านอ๋อง ฮ่องเต้ไม่สถาปนาเหล่าองค์ชายเป็นอ๋อง หลังจากเหล่าองค์ชายเติบโตเพียงแค่แยกจวนพักอาศัย จวนขององค์ชายหกตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกลทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวง

ไม่ใช่เพราะองค์ชายหก ไม่ได้รับความรักใคร่ หากแต่ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เล็ก หมอหลวงเป็นผู้เลือกสถานที่เหมาะสมต่อการพักฟื้นด้วยตนเอง

เนื่องจากการให้ความสำคัญของฮ่องเต้ เชื้อสายที่กำเนิดออกมาจึงเสียชีวิตน้อยมาก นอกจากรักษาเด็กในครรภ์เอาไว้ไม่ได้ โอรสทั้งหกและองค์หญิงทั้งสี่ล้วนมีชีวิตอยู่รอด แต่ร่างกายขององค์ชายสามองค์ชายหกล้วนไม่ดีนัก

ร่างกายขององค์ชายสามเป็นอาการหลงเหลือจากการถูกงูพิษกัดในตอนเด็ก ส่วนองค์ชายหก ตามที่หมอหลวงบอกเป็นเพราะการดูแลไม่เพียงพอตั้งแต่ในครรภ์…อย่างไรก็ตามตั้งแต่เล็กจนโตมักจะป่วยเล็กบ้างป่วยหนักบ้าง จนกระทั่งอายุสิบสาม ล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้น มีหนึ่งปีที่ไม่ได้ออกมาพบผู้คน จนทุกคนคิดว่าเสียชีวิตไปแล้วเสียอีก

ต่อมาฮ่องเต้พระราชทานจวนให้พักฟื้นร่างกายตามคำสั่งของหมอหลวง หนึ่งปีแทบจะไม่เข้าพระราชวัง เหล่าพี่น้องก็ไม่ได้พบหน้ากันบ่อยนัก…เมื่อพบหากไม่ได้นอนอยู่ก็ถูกหามเอาไว้ ร่างกายอบอวลไปด้วยกลิ่นยา บางครั้งงานเลี้ยงยังไม่จบสิ้น เขาก็เป็นลมสลบไปเอง

ฮ่องเต้ยกเลิกกฎระเบียบสำหรับเขา ให้เขาพักอยู่ในจวนไม่ต้องออกมา อีกทั้งไม่ให้องค์ชายองค์หญิงองค์อื่นไปรบกวน

ระหว่างหกเจ็ดปีนี้ องค์ชายหกแทบจะถูกทุกคนลืมเลือนไปแล้ว แต่ว่าตอนที่ฮ่องเต้ออกรบ เขายังคงออกมาส่งขบวน ฝูชิงนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในเวลานั้น องค์ชายอายุน้อยสวมชุดคลุมเอาไว้บนตัว เผยให้เห็นเพียงใบหน้าที่อ่อนเยาว์และงดงาม กระแอมไอต่อหน้าฮ่องเต้ ไอจนฮ่องเต้สงสาร พิธียังไม่จบก็ให้เขากลับไป

“การอพยพเมืองหลวงเป็นเรื่องสำคัญ” ฝูชิงพูด “อีกทั้งเกี่ยวกับตัวขององค์ชายหก เขาควรจะออกมาหรือไม่”

ถึงแม้ต้องถูกหามมาฟัง

แต่ทั้งสองคนยืนอยู่บนถนนสักพัก ก็ไม่พบเห็นมีรถม้ามาอีก

“องค์ชายหกไม่มา ไม่มีผู้ใดหามเขามาได้ องค์รัชทายาทย่อมต้องไปบอกเขาเอง” ขันทีเร่งเร้า “กงกงพวกเรารีบไปเถิด ขนมของพระชายาจะเย็นหมดแล้ว”

ฝูชิงส่งเสียงไม่พอใจ “ขนมของพระชายาเย็นอยู่แล้ว อีกทั้งเวลานี้ไม่ใช่ฤดูหนาว”

อีกอย่างองค์รัชทายาทไม่ได้รอกินจริงเสียกระไร

ขันทียิ้มรับผิด ฝูชิงมองไปยังตำแหน่งที่ตั้งของจวนองค์ชายหกอีกครั้ง เอาเถิด องค์ชายหกชีวิตนี้ก็คงเป็นเช่นนี้แล้ว อยู่อย่างไร้เสียง จากไปอย่างไร้เสียง ในฐานะองค์ชายที่ไร้ความกังวล ชีวิตนี้ก็ถือว่าดีแล้ว

ฝูชิงพาขันทีอีกคนเดินเข้าไปในพระราชวัง

“องค์รัชทายาทกำลังยุ่ง คงพบเจ้าไม่ได้” ขันทีใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าตำหนักในพระราชวังเดินเข้ามาพูด “เสี่ยวฝูจื่อ เจ้าไปนั่งกับข้าเถิด”

ฝูชิงอายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่ไม่มีความไม่พอใจแม้แต่น้อยที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวฝูจื่อ กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ให้ขันทีหยิบกล่องข้าวสองอันออกมา บอกว่าพระชายาทำมาให้ฝ่าบาท

ขันทีใหญ่ไม่ปฏิเสธ ให้ขันทีอีกคนไปส่ง ส่วนตนเองพาฝูชิงไปตำหนักด้านข้าง ทั้งสองคนเดินอยู่บนทางเดินยาวอย่างเชื่องช้า

“เช่นนั้น ฝ่าบาทตัดสินใจที่จะอพยพเมืองหลวงแน่แล้ว?” ฝูชิงถามเสียงเบา

ขันทีใหญ่ไม่ได้ปิดบังเขา พยักหน้า “เหล่าสนมเริ่มเก็บสัมภาระแล้ว คืนนี้หลังจากที่เหล่าองค์ชายหารือ อีกสองวันก็จะประกาศ…”

ตำหนักใหญ่ด้านในมีเสียงหัวเราะลอยมา ทั้งสองคนหันหน้ากลับไปมอง ก่อนจะสบตากัน

“หลังจากฮ่องเต้เกาจู่ตั้งเมืองหลวงที่นี่ ต้าเศี่ยก็ไม่เคยสงบอีกเลยเป็นเวลาหลายสิบปี” ขันทีใหญ่พูดเสียงเบา “เปลี่ยนสถานที่ก็เปลี่ยนสถานที่เถิด”

ฝูชิงยังไม่ใช่ขันทีใหญ่ของฮ่องเต้ คำพูดบางอย่างเขาไม่กล้าแสดงท่าที ทำได้เพียงมองออกไปไกล “หนทางไม่ใกล้”

จากเมืองอู๋มาเมืองหลวงไกลแค่ไหน เฉินตันจูไม่รู้ นางถามจู๋หลิน จู๋หลินอธิบายให้นางฟัง จากนั้นผ่านไปหลายวันก็มาส่งข่าวให้นางว่าเฉินเลี่ยหู่เดินทางไปถึงที่ใดแล้ว…

เฉินเลี่ยหู่เดินทางช้ามาก เนื่องจากเฉินเหล่าฮูหยินและเฉินตันเหยียนร่างกายไม่แข็งแรง ทุกคนก็ไม่เร่งรีบ ดังนั้นจึงค่อย ๆ เคลื่อนที่ไป เมื่อเดินทางไปถึงสถานที่ที่ชอบก็พักหลายวัน ชมทิวทัศน์ไปเรื่อย ๆ

“หากเดินคงต้องใช้เวลาหลายเดือน” อาเถียนก้มลงมองถาดซ้ายแผนที่บนโต๊ะ

สิ่งนี้จู๋หลินเป็นคนทำให้ เพื่อให้เฉินตันจูสามารถกระจ่างถึงทิศทางของคนในตระกูล รวมไปถึงระยะห่างจากเมืองหลวง

“เดินช้าเสียหน่อยก็ดี” เฉินตันจูสะบัดพัดอย่างเอื่อยเฉื่อย “ก่วนเจียพาคนกลับไปก่อนแล้ว ซื้อจวนตกแต่งต้องใช้เวลา เมื่อตกแต่งเสร็จ ท่านพ่อถึงจวนจะได้พักอย่างสบาย”

อาเถียนพยักหน้า ก่อนจะจินตนาการ “ไม่รู้ว่าซีจิงเป็นอย่างไร” เบะปากมองไปอีกทางอย่างไม่พึงพอใจ “คนบางคนเป็นคนซีจิงแต่ยังสู้ไม่ใช่ไม่ได้”

จู๋หลินที่ยืนอยู่ใต้ชายคาทิศหนึ่งได้ยิน เขารู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงตัวเอง

อาเถียนถามเขาว่าซีจิงเป็นอย่างไร เขาก็บอกว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นคืออย่างไหน จู๋หลินเค้นออกมาครึ่งวันถึงได้บอกว่าเหมือนเมืองอู๋ ล้วนแล้วแต่เป็นเมือง ชุมชนและคน ภูเขาและน้ำ น้ำน้อยหน่อย…บรรยายได้ไม่ละเอียดเอาเสียเลย

เฉินตันจูหัวเราะ “รออีกสักระยะ พวกเราไปดูเอาเอง”

ส่วนอีกสักระยะคือตอนไหน หนึ่งปีสองปี หรือสามปีห้าปี เฉินตันจูล้วนไม่รู้สึกเสียใจ เพราะว่ามีความหวัง

นางนั่งตัวตรง ”อาเถียน พวกเราลงไปด้านล่างเขากัน”

อาเถียนยังไม่ได้พูด จู๋หลินที่ยืนอยู่ด้านนอกคิ้วกระตุกขึ้นมา ลงเขา? ลงเขาไปทำอันใดอีก

ครั้งแรกลงเขาฟ้องหยางจิ้งลวนลาม ครั้งสองลงเขาบอกให้จางเหม่ยเหรินจบชีวิตของตนเอง ตำหนิฮ่องเต้ เวลานี้ท่านอ๋องอู๋ไปแล้ว ตระกูลเฉินไปแล้ว ขุนนางอู๋ไปกว่าครึ่งแล้ว เฉินตันจูไม่ได้ลงเขามาหนึ่งเดือนกว่า ด้านล่างเขาสงบสุข…นางจะลงเขาอีก? ครั้งนี้ต้องการทำอันใด

ท่านอ๋องอู๋จากไปเกือบสองเดือนแล้ว แต่เมืองอู๋ไม่ได้เงียบสงัด หากแต่คึกคักมากยิ่งขึ้น เวลานี้คนออกนอกเมืองมีน้อย คนเข้าเมืองมีมาก

เนื่องจากฮ่องเต้อยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงมีคนจากสี่ทิศแปดทางเดินทางมา มีพ่อค้าคิดฉวยโอกาสขายสินค้า มีราษฎรคิดจะหาโอกาสเยือนโฉมโอรสสวรรค์ เอกสารทางราชการ ข่าวทางการทหารของราชสำนักในเมืองหลวง…ประตูเมืองที่เป็นทางผ่านมาเมืองอู๋เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย

กองทัพของเมืองอู๋ติดตามท่านอ๋องอู๋ไปเมืองโจว ทหารยามของเมืองทางนี้แปรเปลี่ยนเป็นทหารยามของราชสำนัก

ทหารยามไม่ตรวจผู้คนที่จะออกนอกเมือง ไม่ว่าจะพกพาสิ่งของมากน้อยเพียงใด ถึงแม้จะพกจวนไปทั้งหลังก็ไม่ถามไถ่ทั้งสิ้น แต่การเข้าเมืองมีการตรวจอย่างเคร่งครัด สิ่งของที่พกพาไม่ว่าชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ล้วนต้องตรวจดู ทะเบียนรายชื่อยิ่งขาดไม่ได้

ประตูเมืองคับคั่งมากตั้งแต่เช้า คนธรรมดาและชนชั้นสูงแบ่งออกเป็นแถวที่แตกต่างกัน ชนชั้นสูงมีทะเบียนเหลืองตรวจสอบง่าย แต่เนื่องจากมีคนจำนวนมากจึงยังคงเชื่องช้า

รถม้าที่ไม่โดดเด่นวิ่งมาทางประตูเมือง แต่ทิศทางที่ไปคือแถวของชนชั้นสูง ส่วนทางนี้เมื่อเห็นคนขับรถม้า ทหารเฝ้ายามไม่แม้แต่จะตรวจรถม้า ปล่อยผ่านไปโดยตรง…

“ผู้ใดกัน” คนที่ต่อแถวถูกขอให้เปิดลังเก็บของออก ถามด้วยความขุ่นเคืองและสงสัย

ทหารยามมองเขา “คุณหนูตันจู”

คุณหนูตันจูคือผู้ใด ชนชั้นสูงที่มาจากเมืองอื่นไม่รู้จักชนชั้นสูงในเมืองอู๋มากนัก

คนด้านข้างอธิบายเขา “คืออู๋…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไป เวลานี้ไม่มีเมืองอู๋แล้ว “บุตรสาวของเฉินเลี่ยหู่ ท่านมหาราชครูของท่านอ๋องอู๋เดิม”

ที่แท้ก็เป็นชนชั้นสูงเมืองอู๋ ชนชั้นสูงต่างเมืองเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ เพราะอย่างไรก็เป็นแค่เดิมที เวลานี้ที่นี่นั่งบัญชาการโดยโอรสสวรรค์ หญิงสาวชนชั้นสูงของเมืองอู๋เดิมเหตุใดจึงไม่ต้องผ่านการตรวจก่อนเข้าเมือง เดิมทียังคิดว่าเป็นเชื้อสายราชวงศ์เสียอีก

คนด้านข้างเผยรอยยิ้มมีนัย “เพราะว่าฮ่องเต้ถูกเชิญเข้ามาโดยคุณหนูตันจูท่านนี้”

ชนชั้นสูงต่างเมืองที่ถามคำถามเปลี่ยนสีหน้าไปทันที ลากเสียงยาว “ที่แท้ก็เป็นนาง…

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท