หลายวันที่ไม่ได้เปิดร้านยา เฉินตันจูก็ไม่ได้ว่างมาก
ตอนเช้าวิ่งอ้อมไปตามทางเขา นอกจากนี้เฉินตันจูยังให้จู๋หลินตั้งเป้าธนูไว้บนภูเขา
ชาตินี้นางยังคงอาศัยอยู่บนภูเขาดอกท้อ อีกทั้งไม่มีคนควบคุมนาง นางอยากทำอะไรก็ทำอะไร ขี่ม้ายิงธนูย่อมได้
แต่การไม่มีการควบคุมของหลี่เหลียง หากมองจากอีกมุมหนึ่งหมายความว่านางขาดการคุ้มครอง ถึงแม้เวลานี้จะมีจู๋หลินสิบคน นางสามารถใช้จู๋หลินได้ทุกเวลา แต่ภายในใจของนางกระจ่างเป็นอย่างยิ่งว่าจู๋หลินไม่ใช่คนของนาง
นางต้องมีวิธีการรักษาชีวิตของตนเองไว้บ้าง
เฉินตันจูกลับไปยังจวนตระกูลเฉินรอบหนึ่ง ตอนที่ใช้กุญแจที่เฉินตันเหยียนทิ้งเอาไว้เปิดประตู นางรู้สึกราวกับผ่านไปอีกสิบปี
จวนหลังนี้ไม่มีคนอยู่ เพื่อรวบรวมค่าเดินทาง สิ่งที่ขายได้ล้วนขายทิ้ง กลายเป็นจวนที่ว่างเปล่า แต่ว่าสิ่งทำให้เฉินตันจูประหลาดใจคือ คลังอาวุธยังอยู่ครบสมบูรณ์
“นายท่านไม่ขายอย่างแน่นอน” อาเถียนพูด “นายท่านไม่มีทางนำไปด้วย”
เฉินเลี่ยหู่ไม่รับหน้าที่มหาราชครูแล้ว แต่สิ่งที่มีในอดีตจะลืมอย่างง่ายดายได้อย่างไร อาวุธที่เคียงกายในสนามรบย่อมไม่มีทางขายทิ้ง
เฉินตันจูเงียบไป ก่อนจะเรียกจู๋หลินมาหยิบชั้นวางอาวุธ นางเลือกมีด ดาบและคันธนูอย่างละเล่มให้พวกเขานำกลับอารามดอกท้อ
จู๋หลินจ้างรถใหญ่มาคันหนึ่ง การเคลื่อนไหวที่หน้าประตูดึงดูดสายตาของผู้คน คนในพื้นที่รู้ว่าจวนหลังนี้เป็นของผู้ใด เมื่อเห็นเฉินตันจูเดินออกมา พวกเขาต่างหลบออกไป
แต่ว่าเวลานี้คนต่างถิ่นเดินทางมาเมืองอู๋จำนวนมาก…เมืองอู๋กลายเป็นเมืองหลวง เหล่าองค์ชายล้วนเดินทางมา แต่ละวันล้วนมีเรื่องแปลกใหม่นับไม่ถ้วน ไม่มีผู้ใดสนใจที่จะระลึกเรื่องในอดีต การพูดถึงท่านอ๋องอู๋ ขุนนางอู๋เป็นเรื่องที่น่าเบื่ออย่างมากในเวลานี้ ราษฎรเมืองอู๋ที่ต่อจากนี้จะกลายเป็นราษฎรเมืองหลวงไม่อยากที่จะพูดถึงแม้แต่น้อย…ดังนั้น คนที่ไม่รู้เรื่องของเฉินเลี่ยหู่และเฉินตันจูยังมีอยู่มาก
“ที่นี่…” ชายหนุ่มหน้าตางดงามเดินเข้ามาทักทาย ชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านใน “ย้ายออกไม่อยู่แล้วหรือ”
เฉินตันจูตอบรับ
“จวนหลังนี้จะขายหรือไม่” คนนั้นรีบถาม ยืนอยู่ด้านหน้าประตู ยกเท้าเตรียมย่ำเข้าไป “พื้นที่ไม่เล็กเลย”
อาเถียนส่งเสียงรั้งเขาเอาไว้ จู๋หลินก็เดินเข้ามา จ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาคม คนตรงหน้ารีบชักเท้ากลับมาทันที่
“ข้าแค่ดู” เขาหัวเราะแห้ง
“เจ้าดูอะไร” อาเถียนพูดอย่างโกรธเคือง “จวนของเจ้าหรือ”
ก่อนหน้านี้จวนตระกูลเฉินไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ เวลานี้คนกลับอยากมุดเข้าไปด้านใน นี่คือความล่มสลายที่ว่าหรือ น่าโมโหเสียจริง
เฉินตันจูไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไร เพียงแค่ยิ้ม “จวนนี้ไม่ขาย ท่านไปดูจวนอื่นเถิด”
ชายหนุ่มตอบรับ ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงแต่ไม่ยอมจากไป ดวงตามองดูรอบด้าน เฉินตันจูไม่ได้สนใจเขา ให้อาเถียนปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถและจากไป
“คุณหนู คนนั้นทำอะไรเจ้าคะ” อาเถียนนั่งอยู่บนรถด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะเปิดม่านหันกลับไปดูอย่างกังวลใจ “คุณหนู คนนั้นยังยืนอยู่หน้าจวนของพวกเรา เป็นโจรหรือไม่เจ้าคะ”
เฉินตันจูยิ้ม “ในจวนไม่มีของที่ขโมยได้ อาวุธเหล่านั้นขโมยไปก็ขายไม่ได้”
เวลานี้ที่นี่คือเมืองหลวง เมืองหลวงสร้างใหม่เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายและเข้มงวดที่สุด เข้าออกนอกเมืองต้องผ่านการค้นตัว ไม่อนุญาตให้พกพาอาวุธ
“เจ้าไม่ต้องกังวล” เฉินตันจูดึงอาเถียนกลับมานั่ง นางรู้ว่าคนนั้นทำอะไร “เขาทำการค้าซื้อขายจวน”
คนที่ทำการค้าซื้อขายจวนในเมืองอู๋มีจำนวนมาก แต่จ้องจวนของคนอื่นเช่นนี้อาเถียนเพิ่งพบเป็นครั้งแรก
“คนเช่นนี้เจ้าจะเห็นบ่อยในภายหลัง ในเมืองอย่างน้อยต้องเป็นเช่นนี้อีกสี่ห้าปี” เฉินตันจูพูด “เจ้าลองคิดดู คนที่อพยพมาจากเมืองซีจิงมีมากน้อยเพียงใด อีกทั้งคนจากต่างถิ่น อย่างไรย่อมต้องมีจวนพักอาศัย”
การอพยพเมืองหลวงไม่อาจเสร็จสิ้นภายในหนึ่งวันสองวัน ต้องใช้เวลากว่าสี่ปีห้าปีถึงจะเสร็จสิ้น มีคนมามีคนไป อาหารการกิน เสื้อผ้า สถานที่พักอาศัยและการเดินทาง สถานที่พักอาศัยเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด มีจวนถึงจะอยู่อย่างมั่นคงได้
อาเถียนกระจ่าง แต่ก็ยังคงกังวล “ในเมืองมีสถานที่พักมากเพียงนั้นหรือ”
เรื่องนี้เป็นปัญหาจริง ชาติก่อนปัญหานี้ไม่ใหญ่มาก เพราะว่าน้ำหลากทำให้คนตายจำนวนมาก อีกทั้งพังทลายจวนมากมาย นอกจากนี้ยังมีหลี่เหลียงที่ฆ่าล้างเมือง เมื่อรอฮ่องเต้เดินทางมาถึงเมืองอู๋ เมืองอู๋ก็พังทลายไปเกือบครึ่งแล้ว
แต่ถึงกระนั้น ต่อมาหลี่เหลียงยังคงใส่ร้ายราษฎรเมืองอู๋และขุนนางอู๋ แรงขับเคลื่อนที่ใหญ่ที่สุดก็คือจวนของอีกฝ่าย เขาคิดจะแย่งชิงจวนของผู้อื่นนำมาเป็นของขวัญมอบให้ขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก
ชาตินี้ไม่มีน้ำหลากไม่มีการฆ่าล้างเมืองของหลี่เหลียง เมืองอู๋ต้อนรับฮ่องเต้ด้วยความสมบูรณ์มั่งคั่ง ถึงแม้จะมีขุนนางอู๋และราษฎรอู๋ส่วนหนึ่งติดตามท่านอ๋องอู๋ไปเมืองโจว แต่คนจำนวนมากยังคงอยู่ต่อ โดยเฉพาะประโยคของท่านพ่อที่บอกว่าท่านไม่ใช่ท่านอ๋องอู๋ ข้าย่อมไม่ใช่ขุนนางอู๋ ทำให้คนจำนวนมากอยู่ต่ออย่างสมเหตุสมผล ถึงแม้จะมีขุนนางบางส่วนติดตามไป แต่คนในตระกูลต่างยังอยู่
เมืองหลวงต้องขยาย มิฉะนั้นจะไม่พออยู่
แต่ว่าเรื่องนี้ ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางย่อมต้องคำนึงถึง การอพยพเมืองหลวงเป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาไม่มีทางไม่มีแผนการ เฉินตันจูยิ้มให้อาเถียน “เจ้าอย่ากังวล ไม่เกี่ยวกับพวกเรา”
คุณหนูพูดถูก อาเถียนยิ้มก่อนจะไม่ใส่ใจ เนื่องจากคนในเมืองมีจำนวนมากจึงไม่ได้อยู่ในเมืองเป็นเวลานาน พวกนางกลับมาถึงภูเขาดอกท้ออย่างรวดเร็ว ยังเดินไปไม่ถึงอาราม พวกนางก็พบเยี่ยนเอ๋อชะเง้อมองอยู่หน้าประตูอาราม นางเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วทันทีที่เห็นพวกนาง “คุณหนูกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
สีหน้าของนางประหลาด ราวกับเป็นกังวลแต่ก็ตื่นเต้น
“เกิดอะไรขึ้น” เฉินตันจูรีบถาม
คงไม่ได้มีอันตรายอะไรใช่หรือไม่ ทุกครั้งที่นางออกจากอาราม นางมักจะทิ้งคนเอาไว้เฝ้าอาราม
“คุณหนู เหมือนดั่งที่คุณหนูพูด” เยี่ยนเอ๋อพูดอย่างตื่นเต้น “วันนี้มีคนเดินไปเดินมาอยู่ที่เชิงเขา จากนั้นวิ่งมาที่อาราม ข้าได้ยินองครักษ์บอก จึงออกมาถามเขาว่ามีเรื่องอะไร เขาถามว่าพวกเรายังมียาที่ไม่เสียเงินอีกหรือไม่”
มีคนมาหาจริงๆ ? อาเถียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที “เจ้าพูดว่าอย่างไร”
เยี่ยนเอ๋อบอก “ข้าบอกไม่มี” พูดจบก็เห็นอาเถียนถลึงตา นางจึงรีบเรียกขานคุณหนู “คุณหนูเป็นคนสั่งแบบนี้ ข้า ข้าก็บอกว่าไม่มี”
เฉินตันจูยิ้ม “พูดได้ดี ไม่มี พวกเจ้าดู เนื่องจากไม่มียาที่ไม่เสียเงินแล้วถึงจะมีคนมาหา”
อาเถียนไม่รู้ว่าควรให้หรือไม่ควรให้ ถามเยี่ยนเอ๋อต่อ
“จากนั้นข้าอยากถามเขาว่าเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหน เตือนให้เขามาให้คุณหนูรักษา” เยี่ยนเอ๋อพูดต่อ “แต่พอข้าบอกว่าไม่มี เขาก็วิ่งหนีไปราวกับเห็นผี”
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายวิ่งทำไม มาเพื่ออะไร เพื่อยาที่ไม่เสียเงินหรือ นางและองครักษ์สี่คนที่ถือดาบยืนอยู่ด้านหลังนางฉงนอย่างมาก
เฉินตันจูยิ้ม “ไม่เป็นไร หากเขาต้องการจริง เขาจะมาใหม่” ก่อนจะยิ้มให้ทุกคน “แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่เป็นเรื่องดี อย่างน้อยชื่อเสียงของอารามดอกท้อดังขึ้นมาแล้ว”
จู๋หลินคิดภายในใจ ชื่อเสียงของอารามดอกท้อ ‘ดัง’ ตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ เวลานี้คุณหนูตันจูพูดเช่นนี้ช่างถ่อมตนเสียเหลือเกิน