เมื่อได้ยินประโยคนี้ อีกทั้งเห็นแม่นางที่ร้องไห้ขึ้นมา คนที่มุงดูรอบด้านต่างตำหนิคนชราขึ้นมา เหล่าคนชราโกรธจนหน้าดำ
“อย่าพูดมากกับนาง!” หญิงชราคนหนึ่งยืนออกมา
ผู้ชายเหล่านี้ ไม่ว่าจะแก่หรือชรา เมื่อเห็นแม่นางหน้าตาสวยงาม ร่างไร้กระดูก พวกเขามาเพื่อทะเลาะไม่ได้มาเพื่อพูดคุย
“คุณหนูรองเฉิน คนที่กินอาหารย่อมป่วยได้ ท่านพูดเช่นนั้นกับขุนนางของท่านอ๋องได้อย่างไร อย่าว่าแต่ป่วย ตายก็ต้องใช้โลงศพลากติดตามท่านอ๋องไป มิฉะนั้นก็คือการทรยศท่านอ๋อง สวรรค์เอ๋ย…”
นางปล่อยโฮออกมา
“สงสารลูกข้าเป็นขุนนางมาทั้งชีวิต เวลานี้ป่วยต้องถูกตราหน้าว่าทรยศท่านอ๋อง เฉินตันจู…ท่านอ๋องยังไม่พูดอันใด มีแต่เจ้าที่พูดจาใส่ร้ายต่อหน้าท่านอ๋อง จิตใจเจ้าทำด้วยอันใดกัน!”
สตรีอีกนางหนึ่งร้องไห้เสียงสั่นตาม “นางต้องการให้พวกเราไปตาย สามีข้าป่วยจนลุกจาเตียงไม่ได้ เวลานี้ก็ต้องเตรียมเดินทาง แม้แต่โลงศพยังเตรียมเอาไว้แล้ว ตระกูลข้าไม่ใช่ขุนนางชั้นสูง อีกทั้งไม่มีเงินเดือนมาก เงินเดือนที่ได้ก็เพียงพอเลี้ยงคนในตระกูล ด้านบนมีท่านแม่แก่ชราอายุแปดสิบ ด้านล่างมีบุตรชายอายุสามขวบ ข้ายังมีอยู่ในท้องอีกหนึ่ง…หากผู้ชายตายไป พวกเราห้าคนก็ทำได้เพียงตายตามไปด้วย”
หญิงชราคนหนึ่งถูกสาวรับใช้สองคนพยุงไว้ เวลานี้นอนลงบนพื้น “ข้าป่วย ลูกข้าต้องการดูแล ข้า กลายเป็นต้องทรยศท่านอ๋อง ข้าไม่อาจทำให้ลูกข้าเดือดร้อนได้ วันนี้ข้าจะตายอยู่ที่นี้ คุณหนูรองเฉินรักษาชื่อเสียงของลูกข้า”
เหล่าสตรีทั้งร้องไห้ทั้งตะโกนทั้งตำหนิ เหล่าผู้ชายต่างบอกเล่าความเป็นมาให้ราษฎรที่อยู่รอบด้านฟัง ที่แท้คุณหนูรองเฉินวิ่งไปพูดกับฮ่องเต้และท่านอ๋องว่า ขุนนางทุกคนต้องติดตามท่านอ๋องไป มิฉะนั้นจะเป็นการทรยศท่านอ๋อง เป็นคนไร้ประโยชน์ที่ใช้ไม่ได้ เป็นคนบาปที่ใส่ร้ายฮ่องเต้ปฏิบัติต่อท่านอ๋องอู๋อย่างเข้มงวด…อันใดนะ ป่วย? แสร้งป่วยทั้งนั้น
“พวกเจ้าว่าเป็นการบังคับให้คนไปตายหรือไม่” คนชราถามราษฎรรอบด้าน “ราวกับบอกว่าใจของพวกข้าเป็นสีดำ ต้องให้พวกข้าควักมันออกมาเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นสีแดงใช่หรือไม่”
เรื่องนี้เกินไปเสียจริง เหล่าราษฎรพยักหน้า สายตาที่มองไปยังเฉินตันจูซับซ้อน เด็กหญิงนี้โอหังอวดดีเสียจริง…
“เด็กหญิง? พวกเจ้าอย่าเห็นว่านางอายุน้อย นางเก่งเสียยิ่งกว่าท่านมหาราชครูเฉินบิดานางเสียอีก” เมื่อเห็นสถานการณ์สมดังปรารถนา คนชราจึงมั่นใจมากขึ้น มองเฉินตันจูด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “นางเป็นคนเกลี้ยกล่อมท่านอ๋อง ต้อนรับฮ่องเต้เข้ามาแทนท่านอ๋อง นางสามารถพูดจาฉะฉานต่อหน้าฮ่องเต้ พูดคำไหนคำนั้น แม้แต่ท่านอ๋องยังไม่กล้าพูดมากต่อหน้านาง ขุนนางคนอื่นในสายตานางถือเป็นอันใด…”
คำพูดของเขามีนัยยะมากมาย แต่คนส่วนใหญ่ฟังเข้าใจ ยิ่งฟังเข้าใจก็ยิ่งโกรธ
“เฉินตันจู…” แม่นางคนหนึ่งอุ้มเด็กตะโกนเสียงแหลม นางไม่มีพิธีรีตองเหมือนคนชรา พูดอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าปีนป่ายที่สูงก็คิดจะขับไล่พวกเรา เจ้ากินสิ่งที่อยู่ในชามยังคิดจะยึดสิ่งที่อยู่ในหม้อ เจ้าต้องการแสดงความจงรักภักดีของตนเอง ความจงรักภักดีของเจ้าทำให้คนอื่นต้องตาย…”
สายตาของทุกคนจับจ้องไปบนตัวของเฉินตันจู ตั้งแต่คนเหล่านี้พูดขึ้นมา เสียงของเฉินตันจูก็ถูกกลืนไป นางไม่ได้พูดอีกเพียงแค่ถือพัดยืนมอง
สีหน้าของนางไม่มีการเปลี่ยนแปลง ราวกับไม่ได้ยินเสียงก่นด่าตำหนิของคนเหล่านี้…เฮ้อ พวกนี้ไม่มีค่าอันใดทั้งนั้น
เวลานี้เมืองอู๋ยังอยู่ ท่านอ๋องอู๋ยังอยู่ ถึงแม้จะเป็นท่านอ๋องอู๋ไม่ได้ แต่ยังสามารถเป็นท่านอ๋องโจว ยังคงเป็นท่านอ๋อง แต่ตอนนั้นนางต้องเผชิญกับเหตุการณ์อันใด เมืองอู๋ล่มสลาย ท่านอ๋องอู๋ตาย หัวของเขาถูกพี่เขยของนางหลี่เหลียงตัดลงมา เวลานั้นคนที่มาด่าเธอคำพูดที่ด่าเธอถึงเรียกว่าร้ายกาจ
ผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมา เวลานี้คำพูดของคนเหล่านี้เป็นเพียงแค่หยาดฝนสำหรับนาง ไม่เจ็บไม่คันไร้ลมไร้คลื่น
ฟังจนสุดท้าย นางยังหัวเราะออกมา
แต่อาเถียนด้านข้างไม่ได้มาจากสิบปีหลัง ไม่เคยประสบกับการก่นด่าแบบนี้ นางตื่นตระหนกเล็กน้อย
“คุณหนู ท่านแค่ให้จางเหม่ยเหรินติดตามท่านอ๋องไป” นางพูด “ไม่เคยบอกให้ขุนนางทั้งหมดที่ป่วยล้วนต้องติดตามไป เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ”
เฉินตันจูโบกพัด “จะเกิดอันใดขึ้นได้อีก มีคนกำลังใส่ร้ายข้า ทำลายชื่อเสียงของข้า ทำให้ขุนนางอู๋ต่างเกลียดข้า”
“ร้ายกาจเสียจริง!” อาเถียนพูดด้วยความโกรธ “คุณหนู ท่านอธิบายกับทุกคนว่าท่านไม่เคยพูดเช่นนี้เถิดเจ้าค่ะ”
เฉินตันจูส่ายหัว “ไม่ต้องอธิบาย อธิบายก็ไร้ประโยชน์”
อ๋า แล้วต้องทำอย่างไร
“หยุดโหวกเหวกได้แล้ว!” เฉินตันจูตะโกนเสียงดัง
เชิงเขาเงียบสงัด มองดูแม่นางโบกพัดไปมา ยืนมองอยู่บนที่สูง บนใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“ที่แท้พวกท่านมาเพื่อพูดเรื่องนี้” นางพูดอย่างเชื่องช้า “ข้าคิดว่าเรื่องใดเสียอีก”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องหรือ เด็กน้อย เจ้ายังไม่เคยมีประสบการณ์ เรื่องนี้สามารถทำให้เจ้า ตระกูลเฉินของพวกเจ้า ไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้ตลอดไป คนชราพูด “เฉินตันจู คำพูดนี้เจ้าเป็นคนพูดหรือไม่”
เฉินตันจูมองเขา “ข้าเป็นคนพูด”
เสียงถกเถียงรอบด้านดังขึ้นอีกครั้ง เหล่าสตรีเริ่มร้องไห้ขึ้นอีกครั้ง…
“ข้าพูดไม่ถูกหรือ ดูพวกท่านแล้ว ข้าพูดได้ถูกเสียจริง พวกท่านกำลังทรยศท่านอ๋อง” เฉินตันจูยิ้มเย็นยะเยือก ใช้พัดชี้ไปยังทุกคน “เพียงแค่บอกให้พวกท่านติดตามท่านอ๋องไปเมืองโจว พวกท่านก็จะเป็นจะตายแล้ว ไม่ใช่ทรยศท่านอ๋อง ไม่อยากไปเมืองโจว คืออันใด”
สตรีนางหนึ่งร้องไห้ “พวกข้าป่วย ไม่อาจเดินทางไกลได้ทันที ไม่ใช่ไม่ไป หลังจากหายป่วยย่อมต้องไป”
เฉินตันจูหัวเราะออกมา
“ท่านฟังคำพูดของตนเอง เหมือนคำพูดที่ขุนนางของท่านอ๋องควรพูดหรือ” นางพูดอย่างเจ็บปวดใจ
“ป่วย จึงไม่อาจเดินทางร่วมกับท่านอ๋อง หากมีกองทัพของศัตรูบุกเข้ามาสังหารท่านอ๋อง พวกท่านป่วยก็ไม่อาจเดินทางมาปกป้องท่านอ๋อง รอหายป่วยค่อยมาหรือ เวลานั้นท่านอ๋องยังต้องการพวกท่านหรือ”
ประโยคสุดท้ายนางพูดเสียงดังอย่างมาก
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตัวสั่นเทา
“ไม่ใช่ข้ออ้างคืออันใด ท่านอ๋องต้องการพวกท่านไปทำประโยชน์อันใด อย่าว่าแต่ป่วย ถึงแม้จะต้องตายเพื่อท่านอ๋องก็สมเหตุสมผล พวกท่านโวยวายเพราะเหตุใด เพราะถูกเปิดโปงความในใจจึงขุ่นเคือง? พวกท่านคิดว่าตัวเองถูกต้อง? พวกท่านต้องการทำอันใด ต้องการใช้ความตายมาบังคับท่านอ๋องหรือ”
คำพูดของแม่นางถาโถมเข้ามาดุจพายุ ซัดจนคนกลุ่มนั้นอึ้งทึ่ง ราวกับใช่หรือไม่ แบบนี้ไม่ถูก…
“เช่นนั้น เช่นนั้น พวกเราก็ต้องติดตามท่านอ๋องไปหรือ” ราษฎรรอบด้านต่างผงะไป อกสั่นขวัญแขวน อดถามขึ้นมาไม่ได้ “มิฉะนั้น พวกเราก็ทรยศท่านอ๋อง…”
เฉินตันจูมองไปยังพวกเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยนดุจดั่งลมในฤดูใบไม้ผลิ
“ย่อมไม่ใช่ พวกเขากินเงินเดือนของท่านอ๋องย่อมต้องจงรักภักดีต่อท่านอ๋อง ส่วนพวกเจ้าเป็นราษฎรของท่านอ๋องอู๋ เป็นผู้คนที่เกาจู่มอบให้ท่านอ๋องอู๋ดูแล เวลานี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ดี แต่ราษฎรทางเมืองโจวมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ดังนั้นฝ่าบาทจึงเชิญท่านอ๋องไปดูแลพวกเขา” นางส่ายหัวพูดเสียงอ่อนหวาน “ทุกคนจดจำความรักของท่านอ๋องคือการตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับท่านอ๋อง”
นางมองไปยังทุกคนและถามต่อ
“ข้าคิดว่าทุกคนคงไม่ลืมบุญคุณของท่านอ๋องกระมัง”
“พวกเราไม่มีวันลืมท่านอ๋อง!” เชิงเขาดังก้องไปด้วยเสียงตะโกน มีคนจำนวนไม่น้อยยกมือขึ้น “พวกเราไม่มีวันลืมบุญคุณของท่านอ๋อง!”
เสียงตะโกนนี้ดึงสติของคนชราที่ตกใจกลับมา ไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน พวกเขากำลังพูดถึงว่าไม่อาจเดินทางเพราะป่วย ไม่ใช่ท่านอ๋องเผชิญหน้ากับอันตราย หากต้องเผชิญหน้ากับอันตรายจริง แม้ป่วยก็ต้องปกป้องท่านอ๋อง…
แม่นางร้ายกาจคนนี้!
“เฉินตันจู…เจ้า…” พวกเขาคิดจะตะโกนอีกครั้ง แต่ราษฎรคนอื่นกำลังฮึกเหิม ต้องการแสดงความระลึกถึงท่านอ๋อง แต่ละที่ล้วนมีคนแย่งกันตะโกน สถานการณ์วุ่นวาย ในความวุ่นวายนี้มีขุนนางเดินทางมาอย่างรวดเร็ว
หลี่จวิ้นโส่วเดินทางมา สิ่งแรกที่เห็นคนกลุ่มคนที่กำลังตะโกนเสียงดังด้านหน้า ทันใดนั้นอกสั่นขวัญแขวน เกิดการจลาจลหรือ
เขาตะโกน “เกิดอันใดขึ้น ผู้ใดเป็นคนร้องเรียน เกิดอันใดขึ้น”
ทุกคนต่างผงะอีกครั้ง เหล่าคนชรายิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ นางไปร้องเรียนที่ว่าการจริง?
“ใต้เท้า ข้าเอง” เฉินตันจูเดินลงมาจากด้านบน ใบหน้าไร้ซึ่งความโกรธ แต่ก็ไร้ซึ่งสีหน้าอ่อนโยน นางพยุงสาวรับใช้เดินลงมาอย่างโซซัดโซเซ มือหนึ่งปิดหน้าร่ำไห้ “ใต้เท้า ช่วยข้าด้วย”
หลี่จวิ้นโส่วหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะเมื่อได้ยินเสียงนี้ นางอีกแล้ว…
เขากำลังเตรียมเก็บสัมภาระอยู่ในจวน เขาเป็นขุนนางของท่านอ๋องอู๋ ย่อมต้องติดตามไปด้วย แต่มีองครักษ์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาบอกว่าต้องการร้องเรียน เขาไม่อยากสนใจ แต่องครักษ์นั้นบอกว่าเหล่าราษฎรรวมตัวกันราวกับก่อจลาจล”
“เมืองหลวงไร้การดูแลของใต้เท้าไม่ได้ ท่านอ๋องไปแล้ว ใต้เท้าต้องอยู่จนกว่าเมืองหลวงมั่นคงถึงจากไปได้” องครักษ์นั้นพูดกับเขาอย่างมีนัยยะ “มิฉะนั้นท่านอ๋องคงจากไปอย่างเป็นกังวล”
จริงด้วย เพื่อท่านอ๋อง เขาไม่จำเป็นต้องรีบเดินทางไป เมืองหลวงอู๋จะวุ่นวายทันทีที่ท่านอ๋องไป หากเป็นเช่นนั้นคงเหลวไหลสิ้นดี อีกทั้งเป็นการไม่เคารพต่อท่านอ๋อง ทันใดนั้นหลี่จวิ้นโส่วเหมือนมีชีวิตใหม่ เขารีบพาทหารบามออกมา…
เดินทางมาครึ่งทางถึงได้ตระหนักได้ว่าเป็นภูเขาดอกท้อ บนภูเขาดอกท้อมีอารามดอกท้อ ในอารามมีคุณหนูรองเฉิน…
อย่าได้เกี่ยวข้องกับนางเด็ดขาด!
หลี่จวิ้นโส่วขอพรมาตลอดทาง…ดูจากเวลานี้ ท่านอ๋องยังไม่ไป พระพุทธเจ้าย้ายไปก่อนแล้ว ไม่ได้ยินคำขอของเขาแม้แต่น้อย
“คุณหนูรองเฉิน!” เขาถลึงตามองคนที่มารวมตัวกันตรงหน้า “คนเหล่านี้ล้วนล่วงเกินท่านหรือ”