ถึงแม้เฉินตันจูจะอยากรู้เนื้อหาของจดหมายที่จางเหยาเขียนให้ตระกูลหลิว แต่นางก็ไม่ได้ทำอันใดเกินเลยเพราะความคิดถึง อีกทั้งนางก็ไม่กล้าทำอันใดบุ่มบ่าม เพราะเกรงว่าจะทำให้จางเหยาได้รับผลกระทบที่ไม่ดี นางไม่ได้ไปสืบข่าวจากหลิวจั่งกุ้ยอีก เพียงแต่ตั้งใจศึกษาวิชาแพทย์ ทำยา รักษาคนป่วย พยายามหาเงินให้ได้มากที่สุด สร้างชื่อเสียงมากที่สุดก่อนที่จางเหยาจะมาถึง
จากนั้นจางเหยาย่อมต้องมาให้นางรักษา จากนั้นรั้งเขาเอาไว้ ให้เขาไปถอนหมั้นอย่างสง่างาม วางใจไปศึกษาที่กั๋วจื่อเจี้ยนอย่างไม่ต้องเป็นกังวล หลังจากนั้นเป็นขุนนางเขียนตำราจัดการน้ำเล่มนั้นออกมา…
ดวงอาทิตย์แสนอบอุ่นในฤดูหนาวส่องเข้ามาในอารามเล็ก เยี่ยนเอ๋อที่ใช้ถ่ายไม้ต้มยามองไปยังเฉินตันจูที่อยู่บนทางเดิน
“ระยะนี้มีเรื่องดีอันใดหรือ” นางถามอาเถียนเสียงต่ำ “คุณหนูแม้แต่อ่านตำรายังอมยิ้ม”
อาเถียนเดาได้ คุณหนูต้องคิดถึงคนเก่าคนนั้นอย่างแน่นอน เพียงแค่ได้ไปหุยชุนถัง กลับมาคุณหนูก็มักเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ นางยิ้ม “เวลานี้ไม่มีเรื่องไม่ดี จึงเป็นเรื่องดีที่สุดของพวกเรา”
พูดเช่นนี้ก็ถูก เยี่ยนเอ๋อเผยยิ้ม ทั้งสองคนซุบซิบกัน ชุ่ยเอ๋อที่กลับขึ้นมาเผยสีหน้าวิตก
“ข่าวใหญ่ ข่าวใหญ่!” นางตะโกน
วันนี้นางเป็นคนไปแจกจ่ายยา จากนั้นช่วยงานที่โรงน้ำชา คนผ่านไปผ่านมาย่อมได้ยินข่าวต่างๆ ตามการเปลี่ยนแปลงจากเมืองอู๋กลายเป็นเมืองหลวง ข่าวจากทั่วทิศล้วนถูกส่งมา อีกทั้งยังมีข่าวจากเมืองฉีที่อยู่ห่างไกล หลายวันก่อนยังได้ยินว่าท่านอ๋องฉีป่วย ใกล้จะไม่ไหวแล้ว…
เพียงแต่มักจะบอกเล่าข่าวที่ได้ยินมาหลังจากกลับมาในยามค่ำคืน เหตุใดชุ่ยเอ๋อถึงวิ่งกลับมาในเวลากลางวัน เวลานี้กิจการโรงน้ำชารุ่งเรืองมาก หญิงชราขายชาไม่มีทางให้เหล่าสาวรับใช้อู้งาน
“ข่าวใหญ่อันใด” อาเถียนถาม
“เชิงเขา มีคนอู๋ขัดขืนฝ่าบาท ถูกประหารทั้งตระกูล” ชุ่ยเอ๋อพูดเสียงเบา
ท่านอ๋องอู๋ยังไม่กล้าขัดขืนฝ่าบาท ราษฎรจะกล้าได้อยากใด อาเถียนและเยี่ยนเอ๋อฉงน เฉินตันจูที่อ่านตำราอยู่ก็มองมา
นางถาม “ขัดขืนอยากใด”
ชุ่ยเอ๋อพูด “เรื่องที่เมืองอู๋จะเปลี่ยนชื่อ คนส่วนใหญ่ล้วนดีใจ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่ไม่ยอม จากนั้นมีคนเล่าลือกันลับหลัง พูดสิ่งที่ไม่ดีต่อเรื่องนี้ ก่นด่าฮ่องเต้ บอกว่าฮ่องเต้ไม่คู่ควรที่จะเปลี่ยนชื่อเมืองอู๋…”
เช่นนี้หรือ ต้าเซี่ยเป็นของฮ่องเต้ เมืองอู๋ในฐานะที่เป็นพื้นที่ของต้าเซี่ย ก่นด่าฮ่องเต้ว่าไม่คู่ควรที่จะเปลี่ยนชื่อเมืองถือเป็นการขัดขืนจริงๆ
…
เวลานี้หลี่จวิ้นโส่วยังคงรับตำแหน่งจวิ้นโส่ว รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยในเมืองหลวง เขาไม่กล้าคาดหวังที่จะเป็นจิงจ้าวอิ่น[1] เพียงแค่มีหน้าที่ในซานฝู่[2]เขาก็พึงพอใจอย่างมากแล้ว
เวลานี้จวิ้นโส่วฝู่งานยุ่งอย่างมาก แน่นอนว่าราชสำนักส่งขุนนางชั้นผู้น้อยมาช่วยหลี่จวิ้นโส่วมากขึ้น เขาไม่จำเป็นต้องจัดการทุกเรื่องด้วยตนเอง ยกเว้นกรณีพิเศษ อย่างเช่นคนที่ถูกฟ้องว่าขัดขืนฮ่องเต้ ครานี้เขาย่อมต้องเป็นคนสอบสวนเอง
หลี่จวิ้นโส่วมองดูฝูงชนที่ถูกจับกุมในโถง เขารับกระดาษหลายใบมาจากทหารชั้นผู้น้อย มองดูบทกลอนที่เขียนไว้อยู่ด้านบน
“คุณชายเฉา ท่านบอกว่าท่านไม่เคยพูดเหยียดหยามฝ่าบาท” เขาถามอย่างเย็นชา “เช่นนั้นบทกลอนเหล่านี้ท่านจะอธิบายอยากใด เหล่านี้ล้วนเป็นลายมือของท่าน!”
คุณชายอายุน้อยที่ยืนอยู่ในโถงมีสีหน้าขาวซีดยิ่งกว่าแป้ง ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกหลังจากสร่างเมา คำพูดที่พูดก่อนหน้านี้เขาสามารถยืนกรานว่าตนเองไม่เคยพูด แต่ลายมือเหล่านี้…
“ข้าไม่เคยเขียน…” เขาตะโกน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มั่นใจเท่าใดนัก “ข้าดื่มมากเกินไป คนจำนวนมากต่างขับขานบทกลอน…”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ คนอื่นต่างตะโกนขึ้น “เจ้าอย่าได้พูดเหลวไหล พวกข้าไม่เคยขับขานสิ่งเหล่านี้!” “มีแต่เจ้าที่ขับขาน พวกข้าห้ามอยากใดก็ห้ามไม่อยู่ อีกทั้งเจ้ายังดื้อรั้นจะเขียนลงมา!” “เป็นเพราะความอวดดีของเจ้าทำให้พวกข้าต้องลำบาก!” “ก่อนหน้านี้เจ้าก็มีคำพูดที่โอ้อวด ข้ายังเคยห้ามเจ้าเอาไว้”
เสียงของชายหนุ่มถูกกลืนไป สีหน้าของเขายิ่งตระหนก ก่อนหน้านี้คำพูดของเขามีความโอ้อวดไปบ้างก็จริง แต่ชายหนุ่มคนไหนไม่มี เหตุใดเวลานี้จึงกลายเป็นเขาคนเดียวที่ทำผิดครรลองคลองธรรม
เวลานี้มีทหารเดินเข้ามา พูดกับหลี่จวิ้นโส่ว “รื้อค้นจวนตระกูลเฉาแล้ว ไม่พบหลักฐานอันเป็นลายลักษณ์อักษรไปมากกว่านี้”
หลี่จวิ้นโส่วยังพูดไม่จบ ขุนนางชั้นผู้น้อยตาเรียวเล็กคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้น “เช่นนั้นก็ค่อยๆ ค้น ค่อยๆ ถาม”
สายตาของเขากวาดมองไปยังด้านล่าง
เมื่อเห็นสายตาของเขากวาดผ่าน คนที่รวมตัวอยู่ด้านล่างหลีกทางออกไปทันที เหลือเพียงชายหนุ่มผู้นั้นและชายชราอีกคน
สายตาเย็นชาของขุนนางผู้นี้ตกอยู่บนตัวของชายชรา
“คนในตระกูลของนายท่านเฉามีมาก มีเพียงไล่ถามทีละคนแล้ว”
ใบหน้าของชายชรามีน้ำตาหลั่งไหลลงมา เขาคุกเข่าลงอย่างยากลำบาก “ใต้เท้า ข้ามีบุตรตอนแก่ เลี้ยงบุตรได้ไม่ดี เวลานี้ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้ายอมรับผิด หวังว่าท่านจะปล่อยคนในตระกูลของข้าไป”
ชายหนุ่มที่ตื่นตระหนกราวกับเห็นบิดาคุกเข่าต่อคนอื่นเป็นครั้งแรก ทันใดนั้นตกใจอย่างมาก เขาคุกเข่าลงทันที “ท่านพ่อ พวกเรา ข้าเป็นคนของตระกูลเฉา ตระกูลเฉาที่อยู่มาร้อยปีในเมืองอู๋…”
ถึงแม้ตระกูลเฉาในเมืองอู๋จะเป็นตระกูลชั้นสาม แต่ก็อยู่มานานกว่าร้อยปี มีอำนาจบารมีพอควร
แต่เมืองอู๋ใกล้จะหายไปแล้ว ตระกูลร้อยปีแล้วอยากใด ชายชราเหลือบมองบุตรชาย ชีวิตที่สุขสบายนับร้อยปีเงียบสงบเกินไป เมื่อประสบเข้ากับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะสั่งสอนบุตร ฝ่าบาทกำหนดเมืองหลวง อำนาจแต่ละฝ่ายต่างเริ่มเคลื่อนไหว ไม่คิดว่าตระกูลเฉาของพวกเขาจะกลายเป็นไก่ตัวแรกที่ถูกเชือด…ขอเพียงแค่รักษาไว้ซึ่งชีวิตของคนในตระกูลก็เพียงพอ
หลี่จวิ้นโส่วเงียบ ขุนนางด้านข้างเหลือบมองเขา พูดเสียงเบา “ใต้เท้า โอกาสมาแล้ว ท่านอย่าได้ใจอ่อนเหมือนสตรี”
หลี่จวิ้นโส่วเข้าใจ แต่…ด้านนอกมีทหารวิ่งเข้ามารายงานอย่างเร่งรีบ ครานี้นำพาขันทีคนหนึ่งเข้ามา
“หลี่จวิ้นโส่ว ท่านเป็นคนส่งฎีกาให้ฝ่าบาท?” ขันทีถาม สีหน้ารำคาญใจเล็กน้อย
หลี่จวิ้นโส่วรีบเดินขึ้นหน้าคารวะพร้อมตอบรับ “เรื่องสำคัญยิ่งนัก จึงจำเป็นต้องเข้าทูลฝ่าบาท” เขามองไปยังขุนนางด้านข้างอีกครั้ง ขุนนางยกกระดาษในมือขึ้น…
เมื่อชายชราที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเห็นท่าทางนี้จึงมีสีหน้าซีดเผือด จบสิ้นแล้ว…
หลี่จวิ้นโส่วหลุบตาต่ำลงพูดกับขันที “…อีกทั้ง ข้าน้อยได้หลักฐานมาแล้ว ขอให้กงกงเข้าทูลฝ่าบาท”
ขันทีไม่สนใจแม้แต่น้อย อีกทั้งไม่ดูกระดาษที่ขุนนางถือเข้ามา “ฝ่าบาทรู้แล้ว เพียงแค่คนในตระกูลนี้ไม่พึงพอใจที่เมืองอู๋กลายเป็นเมืองหลวงในเวลานี้ ระลึกถึงท่านอ๋องอู๋ไม่ใช่หรือ เรื่องเล็กบางอย่าง ไม่ต้องก่อให้เกิดความวุ่นวาย…ให้พวกเขาเดินทางไปหาท่านอ๋องโจวที่เมืองโจวเถิด”
เช่นนี้หรือ เพียงแค่ขับไล่ ไม่สังหารทั้งตระกูล หลี่จวิ้นโส่วตอบรับด้วยความดีใจยิ่งนัก ชายชราที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็อ่อนแรงลง เขาก้มกราบด้วยความอ่อนล้า “ขอบพระทัยฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระเจริญ”
…
ขันทีจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะมองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น อีกทั้งไม่สนใจว่าผู้ใดบังอาจดูหมิ่นฮ่องเต้ ตระกูลชั้นสูงของเมืองอู๋เก่าก็เป็นเพียงมดตัวน้อยในสายตาของฮ่องเต้
ขันทีจากไป แต่ทางฝั่งหลี่จวิ้นโส่วยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ แต่ขุนนางชั้นผู้น้อยคนหนึ่งของจวิ้นโส่วกลับว่างมาก เขานั่งอยู่ภายในห้องแห่งหนึ่ง ภายในมือถือบทกลอนราวกับกำลังชื่นชม
คุณชายเหวินเปิดม่านประตูหน้าเดินเข้ามา
“น่าเสียดาย” ขุนนางพูดต่อเขา “เดิมทีถวายบทกลอนเหล่านี้ขึ้นไปสามารถเอาชีวิตของพวกเขา และยึดจวนของพวกเขาได้ ชายชราเฉาสะสมของดีไว้ไม่น้อย”
หากแค่ขับไล่ พวกเขาก็ไม่อาจอาศัยนามของการรื้อค้นแย่งชิงมาแล้ว ทำได้เพียงมองดูชายชรานำสมบัติเหล่านั้นจากไป
คุณชายเหวินมาสนใจสิ่งเหล่านี้ ขมวดคิ้วถาม “จวนของตระกูลเฉาต้องใช้เงินซื้อ?”
ตระกูลเฉาถูกขับไล่ จวนย่อมต้องขายทิ้ง
ขุนนางหัวเราะ “เหตุใดคุณชายจึงกลายเป็นคนขี้ขลาดในเวลานี้ ถึงแม้จะยกเว้นโทษประหารตระกูลของพวกเขา แต่เมื่อถูกขับไล่ก็ยังเป็นคนมีโทษ คนมีโทษนำพาสมบัติจากไปด้วยก็แล้วไป จวนและที่ดินย่อมต้องตกเป็นของหลวง!”
คุณชายเหวินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะมอบจดหมายเชิญให้ขุนนาง “เมื่อเรื่องสำเร็จ งานเลี้ยงอพยพของตระกูลเกิ่ง หวังว่าใต้เท้าจะเข้าร่วม”
ตระกูลเกิ่งแห่งหวาอินเป็นตระกูลชนชั้นสูงอันดับหนึ่ง ยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเฉาอย่างมาก
ขุนนางนั่งตัวตรง รับจดหมายเชิญมาด้วยสองมือ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “หลังจากนี้ข้าจะให้คนส่งโฉนดที่ดินไปให้คุณชาย”
คุณชายเหวินพยักหน้า ก่อนจะหันหลังจากไป เมื่อเดินออกจากหยาเหมินคับแคบนี้ เขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดจมูก เฮ้อ หากท่านอ๋องอู๋และท่านพ่อยังอยู่ เขาในฐานะคุณชายตระกูลเหวินย่อมไม่ต้องมาพบขุนนางชั้นผู้น้อยอย่างนี้ด้วยตนเอง
น่าเศร้าเสียเหลือเกิน
…
ภายในเมืองเต็มไปด้วยผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา แต่ละวันล้วนมีคนหน้าใหม่ การจากไปของคนเก่าจึงไม่ได้เป็นที่สนใจของผู้คนยิ่งนัก
ด้านหน้าจวนกำแพงสีขาวหลังคาสีเทาที่กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งตรอกถนน มีทั้งรถทั้งม้าทั้งคนเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย บนรถเต็มไปด้วยลังไม้หนัก ด้านหน้าประตูมีบ่าวรับใช้หลายคนปีนบันไดเก็บกวาดแผ่นป้ายประตู แผ่นป้ายประตูของตระกูลเฉาถูกถอดลงมา แขวนแผ่นป้ายประตูใหม่ขึ้นไป
ราษฎรที่ผ่านไปมารอบด้านมองสองทีก่อนจะจากไป ไม่มีการถกเถียงอีกทั้งไม่กล้าอยู่นาน นอกเสียจากรถม้าคันหนึ่ง
เฉินตันจูเปิดม่านรถออก “จวนนี้เป็นของตระกูลเฉาที่ถูกขับไล่หรือ จวนไม่เลว”
จู๋หลินถามอย่างกังวลอยู่ด้านข้างรถ “คุณหนูตันจู ท่านคิดจะทำอันใด”
[1]จิงจ้าวอิ่น หมายถึง หนึ่งในตำแหน่งผู้ดูแลราชธานีในสมัยจีนโบราณ
[2]ซานฝู่ หมายถึง ระบบการปกครองบริเวณปริมณฑลด้วยจะผู้ดูแลราชธานีสามคน ประกอบด้วย ผู้ดูแลราชธานี ผู้ควบคุมซ้าย ผู้คุ้มครองขวา