ปีใหม่มาเยือนเมืองอู๋ ปีใหม่นี้เป็นปีใหม่สุดท้ายของเมืองอู๋…หลังจากข้ามผ่านปีใหม่นี้ไป เมืองอู๋ก็ต้องเปลี่ยนชื่อแล้ว
แต่ว่าจะตั้งชื่อเมืองว่าอย่างไร หลังจากฮ่องเต้บูชาฟ้าดินแล้วถึงจะประกาศ
“คุณหนู ท่านทายว่าจะตั้งเป็นชื่ออันใด” อาเถียนถามอย่างตื่นเต้นเมื่อนั่งอยู่บนรถม้า
เวลานี้ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ โรงบ่อนภายในเมืองเปิดการพนันเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เฉินตันจูยิ้ม เรื่องนี้นางไม่ต้องทาย ทันใดนั้นมีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้น หรือว่านางจะไปลงพนันในโรงบ่อน นางต้องทายถูกอย่างแน่นอน จากนั้นชนะได้เงินมากมาย…
แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก นางอย่าได้มีส่วนเกี่ยวข้องเสียดีกว่า โดยเฉพาะนางเป็นหญิงชนชั้นสูงของเมืองอู๋เก่า ปัญหาระหว่างเมืองอู๋และราชสำนักได้รับการแก้ไขอย่างสันติภาพในชาตินี้ ท่านอ๋องอู๋มิได้ขัดขืนราชสำนัก ไม่ได้แบกรับโทษกบฏ ราษฎรเมืองอู๋ไม่ได้กลายเป็นราษฎรผู้มีโทษ ไม่ต้องถูกเหยียดหยามรังแกเหมือนดั่งชาติก่อน อีกทั้งชาตินี้ไม่มีหลี่เหลียงที่เห็นแก่คุณงามความดีด้วยการอาศัยการกดขี่ราษฎรเมืองอู๋ กำจัดกองกำลังที่เหลือของท่านอ๋องอู๋แล้ว
แต่อย่างไรผู้คนที่ย้ายมาจากเมืองซีจิงและราษฎรเมืองอู๋ย่อมต้องเกิดการปะทะกัน
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พื้นที่มีขนาดจำกัด การหลอมรวมต้องใช้เวลา
ฐานะของนาง แม้จะไม่ก่อเรื่องแต่ก็ยังคงมีเรื่องมาเยือน นางอยู่นิ่งๆ เสียดีกว่า อีกทั้งที่สำคัญที่สุด นางยังไม่ลืมหญิงสาวคนนั้น…ภรรยาอีกคนของหลี่เหลียงที่เกือบจะฆ่านางในครั้งก่อน จากนั้นหายตัวไป
นางไม่รู้แม้แต่รูปลักษณ์ของอีกฝ่าย ศัตรูอยู่ในที่มืด แต่นางอยู่ในที่แจ้ง ไม่แน่ว่าหญิงสาวคนนั้นกำลังจับตาเฝ้าดูนางอยู่ในเมืองอู๋ในเวลานี้…
อาเถียนน้ำเสียงสั่นเทา “คุณหนู ถ้าทายไม่ได้ก็ไม่ทายแล้วเจ้าค่ะ”
ไม่จำเป็นต้องใช้สีหน้าอำมหิตเพียงนี้
เฉินตันจูหัวเราะนาง “ข้ากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่”
อาเถียนโล่งใจ แต่ก็ยังวิตกเล็กน้อย นางมองไปยังม่านรถ ก่อนจะกดเสียงต่ำลง “คุณหนู อันที่จริงข้าว่าไม่เปลี่ยนชื่อก็ไม่เป็นอันใด”
สำหรับเรื่องของการเปลี่ยนชื่อเมืองอู๋ มีคนจำนวนมากยินดี ดีใจ แต่ก็ยังมีคนบางส่วนคัดค้าน ชื่อของเมืองอู๋อยู่มานับพันปี หากเปลี่ยนทิ้งไปก็เหมือนดั่งสูญเสียจิตวิญญาณ
ความคิดนี้ย่อมมาจากราษฎรเมืองอู๋เป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้ราษฎรเมืองอู๋จำนวนมากดีใจที่จะได้กลายเป็นคนเมืองหลวง แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยระลึกถึงท่านอ๋องอู๋ เมื่อนึกถึงความลำบากที่ต้องเผชิญในภายภาคหน้า สำหรับผู้คนจากเมืองหลวงเก่าที่ติดตามฮ่องเต้เสมอมานั้น พวกเขายังห่างอีกชั้น…ภายในโรงน้ำชาของหญิงชราขายชาล้วนเป็นคนที่เดินทางผ่านไปมา พบปะเจอหน้ากันโดยบังเอิญก่อนจะแยกย้ายกันจากไป ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากกล้าที่จะพูด ระยะนี้อาเถียนพบเจอประสบการณ์มากมาย
นางเห็นสีหน้าโหดเหี้ยมของเฉินตันจู จึงคิดว่าเฉินตันจูก็คิดเช่นนี้
เฉินตันจูหัวเราะขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินคำอธิบายของอาเถียน นางไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ นางไม่มีความผูกพันต่อท่านอ๋องอู๋ อีกฝ่ายคือผู้ที่สังหารคนในตระกูลของนางเมื่อชาติก่อน ส่วนราษฎรเมืองอู๋ที่จะถูกเบียดเบียนรังแก ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในอนาคต นางมีการเตรียมการไว้ก่อนแล้ว…ยากลำบากเพียงใดจะเทียบเท่ากับที่นางเผชิญมาเมื่อชาติก่อนหรือ
แน่นอน นางไม่มีทางใช้ชีวิตอย่างยากลำบากหลังจากเกิดใหม่อีกครั้ง
“เจ้าวางใจเถิด ชาตินี้พวกเราไม่ถูกรังแกอย่างแน่นอน” นางลูบหัวของอาเถียนเบาๆ “การรังแกพวกเราเป็นเรื่องที่กฎแห่งฟ้าก็ไม่อาจยอมรับได้”
ถึงแม้จะฟังไม่เข้าใจ อย่างเช่นอะไรคือชาตินี้ แต่ในเมื่อคุณหนูบอกว่าไม่ นางก็จะเชื่อ อาเถียนพยักหน้าอย่างดีใจ
เสียงของจู๋หลินลอยเข้ามาจากนอกรถ “คุณหนูตันจู ไปหุยชุนถังหรือไม่ขอรับ”
อาเถียนเกิดความระแวงขึ้นภายในใจ จะให้อีกฝ่ายตระหนักว่าคนที่คุณหนูตามหามีความเกี่ยวข้องกับหุยชุนถังไม่ได้!
“ไม่ต้อง ไปหุยชุนถังทำอันใด” นางเปิดม่านขึ้นพูดอย่างตั้งใจ “วันนี้ไปร้านยาอี๋ซิง เวลานี้กิจการของพวกเราดีขึ้นอย่างมากแล้ว ต่อจากนี้ต้องสร้างความสัมพันธ์กับร้านยา ไม่ต้องไปร้านอื่นแล้ว”
จู๋หลินแอบเหลือบมองฟ้าภายในใจ ก่อนจะตอบรับ
อาเถียนหดตัวกลับมาแอบยิ้มให้เฉินตันจู พร้อมส่งสายตาราวกับต้องการถามว่าข้าฉลาดใช่หรือไม่ให้อีกฝ่าย เฉินตันจูหัวเราะออกมา ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกไม่มีความจำเป็น แต่ร้านยาก็ยังคงต้องไป เวลานี้นางไม่จำเป็นต้องซื้อยาจากหุยชุนถังแล้ว แต่ว่านางก็ไม่ลืมเป้าหมายในการเปิดร้านยาหาเงินของตนเอง…เพื่อเวลาที่จางเหยาเข้าเมืองหลวงมา จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย ไม่ต้องมีความกังวล
ดังนั้นหลังจากไปซื้อสิ่งที่ต้องการในร้านยาแล้ว นางจึงบอกจุดหมายต่อไป “ไปหุยชุนถัง”
จู๋หลินเหลือบมองอาเถียน อาเถียนก็มองเขากลับพลางพูด “หุยชุนถังเคยช่วยเหลือคุณหนูในเวลานั้น เมื่อเข้าเมืองย่อมต้องไปเยือน เกิดเป็นมนุษย์ต้องมีน้ำใจ”
น้ำใจ…จู๋หลินเคลื่อนรถเดินทางไปโดยไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว เขาเกรงว่าหากพูดมากเกินตนเองจะหัวเราะออกมา
เฉินตันจูไม่ได้มาหุยชุนถังระยะหนึ่งแล้ว ถึงแม้นางมีใจอยากจะสร้างความสัมพันธ์กับหุยชุนถัง แต่อันดับแรกต้องเปิดร้านยาขึ้นมาให้ได้เสียก่อน มิฉะนั้นถึงแม้จะมีความสัมพันธ์กันแต่ก็ไม่มั่นคง
หุยชุนถังผ่านการซ่อมแซมตกแต่งใหม่ เพิ่มตู้ยามากขึ้นอีกหนึ่งตู้ อีกทั้งช่วงเวลาปีใหม่ คนในร้านจึงมีจำนวนมาก ดูแล้วกิจการดีขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างมาก
ไต้ฟูชราในร้านยังจำนางได้ เมื่อเห็นนางจึงกล่าวอย่างดีใจ “คุณหนูไม่ได้มาเสียนาน”
เฉินตันจูยิ้มให้เขาก่อนจะชี้ไปด้านข้าง “ข้าจะไปต่อแถว มีอาการที่ไม่เข้าใจอยากจะถามท่าน”
เฉินตันจูให้อาเถียนต่อแถวแทนนาง ส่วนตนเองเดินไปด้านหน้าตู้ยา หลิวจั่งกุ้ยไม่อยู่ แต่เด็กในร้านล้วนรู้จักนาง…หญิงสาวที่งดงาม ยากที่ทุกคนจะไม่รู้จัก
เด็กในร้านสองคนแย่งกันพูดกับนาง “ครั้งนี้คุณหนูต้องการยาอันใดขอรับ”
“ร้านยาของท่านยังเปิดอยู่หรือไม่ขอรับ”
เฉินตันจูตอบคำถามพวกเขา ก่อนจะซื้อยาสองสามประเภท จากนั้นมองไปรอบด้านพลางถามขึ้น “หลิวจั่งกุ้ยวันนี้ไม่มาหรือ”
“หลายวันนี้ในจวนของจั่งกุ้ยมีเรื่องเล็กน้อยขอรับ” เด็กในร้านคนหนึ่งตอบ “มาน้อยครั้งนัก”
มีเรื่อง? เฉินตันจูได้ยินจึงกังวลขึ้น “มีเรื่องอันใด”
เหล่าหญิงสาวล้วนมีความอยากรู้เช่นนี้หรือ เด็กในร้านส่ายหัวอย่างเสียดาย “ข้าก็ไม่รู้ขอรับ”
พวกเขาไม่ได้รู้เรื่องของนายทุกเรื่อง เพียงแต่เดาได้ว่าในบ้านมีเรื่องเท่านั้น เพราะว่าวันนั้น
หลิวจั่งกุ้ยถูกเรียกกลับอย่างเร่งรีบ วันที่สองมาร้านสายมาก อีกทั้งสีหน้ายังเหน็ดเหนื่อยมาก จากนั้นบอกว่าต้องเดินทางไปหาญาติ…
“ญาติที่เป็นท่านยายคนนั้นหรือ” เฉินตันจูถามด้วยความสงสัย ก่อนจะแสร้งทำท่าเรียบเฉย “ครั้งก่อนข้าได้ยินหลิวจั่งกุ้ยพูดถึง…”
พูดถึงหรือ เช่นนั้นพวกเขาพูดก็ไม่เป็นอันใด เด็กในร้านอีกคนพูดขึ้น “ใช่ขอรับ จั่งกุ้ยมีท่านยายคนนี้เป็นญาติคนเดียวในเมืองหลวง…”
หลิวจั่งกุ้ยถือว่าแต่งเข้า ตระกูลไม่ได้อยู่ที่นี่
การพูดเช่นนี้เป็นการไม่เคารพเล็กน้อย เด็กในร้านพูดจบก็รู้สึกกังวล ก่อนจะเห็นเฉินตันจูทำท่าเงียบเสียงอย่างทะเล้นให้ตนเอง ทำให้เขาผ่อนคลายลงไม่น้อย
“จั่งกุ้ยมาแล้ว” เด็กในร้านอีกคนพูดขึ้น “คุณหนูก็มาด้วย”
เฉินตันจูรีบหันไปมอง ก่อนจะเห็นหลิวจั่งกุ้ยย่างเท้าเข้ามา สีหน้าไม่ดีนัก ใต้ตาเขียวคล้ำ ด้านหลังของเขาคือคุณหนูหลิว นางยื่นมือจับหลิวจั่งกุ้ยเอาไว้ราวกับกลัวอีกฝ่ายจะเดินหนีไป
“ท่านพ่อ ท่านเขียนจดหมายให้เขาแล้วใช่หรือไม่” คุณหนูหลิวพูด “ท่านรีบเขียนให้เขา ท่านบอกว่าไม่มีข่าวของตระกูลจางไม่ใช่หรือ ตอนนี้มีแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่พูด ท่านไป…ถอนที่ท่านยายหาให้ข้าได้อย่างไร”
คุณหนูหลิวพูดอย่างคลุมเครือด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่เฉินตันจูได้ยินเพียงคำว่าจางก็ตื่นตัวทันที อีกทั้งยังวิเคราะห์ออกมาได้ทันทีว่า ต้องเป็นจางเหยาอย่างแน่นอน! เขาส่งจดหมายมาแล้ว!
“เวยเวย” หลิวจั่งกุ้ยถูกบุตรสาวดึงตัวเอาไว้ลำบากใจเล็กน้อย “ข้าไม่อาจปฏิเสธได้ บิดามารดาของจางเหยาจากไปแล้ว ข้าจะพูดเช่นนั้นออกไปได้อย่างไร”
คุณหนูหลิวน้ำตาร่วงรินลงมาทันที “ท่านพ่อ เช่นนั้นท่านจะไม่สนใจข้าหรือ บิดามารดาของเขาไม่อยู่แล้วไม่ใช่ความผิดของข้า เหตุใดข้าต้องเห็นใจเขา”
หลิวจั่งกุ้ยต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตารอบด้านที่มองมา ความเงียบสงัดภายในร้านยา เขาถึงตั้งสติขึ้นได้ จากนั้นจึงรีบดึงบุตรสาวเดินเข้าไปยังโถงด้านหลัง
เหล่าเด็กในร้านที่เห็นเหตุการณ์นี้ก็ไม่กล้าพูดคุยกับเฉินตันจูแล้ว ส่วนเฉินตันจูก็ไม่มีจิตใจที่อยากจะคุยกับพวกเขา ความอยากรู้เต็มปริ่มทั่วทั้งใจ จางเหยาเขียนจดหมายมาแล้ว? บนจดหมายเขียนว่าอย่างไร บอกว่าจะเข้าเมืองหรือไม่ เขาบอกหรือไม่ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ใด
เฉินตันจูชะเง้อมองไปยังโถงด้านหลัง อยากจะอ่านจดหมายฉบับนั้นเสียจริง นางมองออกไปนอกประตู ให้จู๋หลินขโมยจดหมายออกมาได้หรือไม่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับจู๋หลินใช่หรือไม่…แต่สำหรับนางแล้วเป็นเรื่องยาก นางจะอธิบายกับจู๋หลินอย่างไรที่ให้อีกฝ่ายไปขโมยจดหมายของผู้อื่น
เฉินตันจูนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว ครุ่นคิดว่าจะหลอกถามข่าวของจางเหยาจากปากของคนตระกูลหลิวอย่างไรให้ได้มากที่สุด
…
คุณหนูหลิวแยกย้ายกับบิดาของตนเองอย่างไม่ราบรื่น นางก้มหน้าข่มน้ำตาเดินออกมา ในขณะที่ก้าวเท้าออกจากประตูก็พบหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้า
“พี่สาว” นางถามด้วยสีหน้ากังวล “ท่านเป็นอันใด เหตุใดจึงไม่มีความสุข”
คุณหนูหลิวผงะเล็กน้อย รู้สึกหงุดหงิดที่ถูกคนแปลกหน้าซักถาม แต่เมื่อเห็นใบหน้างดงามของหญิงสาวตรงหน้า และดวงตาที่แสดงออกถึงความกังวลอย่างจริงใจ…ผู้ใดจะอารมณ์เสียต่อความห่วงใยของหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ได้
เวลานี้นางก็จำคนตรงหน้าได้ หญิงสาวคนนี้มักจะมาซื้อยาที่ร้านของตระกูลนาง ท่านพ่อเคยบอกว่าแปลกประหลาดอะไรสักอย่าง นางไม่ได้ใส่ใจ
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหางตาเบาๆ ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “ไม่เป็นอันใด ขอบใจเจ้ามาก”
เฉินตันจูไม่ได้ถอยออกไป ดวงตาของนางจ้องมองคุณหนูหลิว “พี่สาว ท่านอย่าร้องไห้ ท่านงามเพียงนี้ ร้องไห้ขึ้นมาทำให้ข้าเจ็บปวดใจยิ่งนัก”
เสียงของนางอ่อนนุ่ม เมื่อคุณหนูหลิวได้ยิน น้ำตาที่อัดอั้นเอาไว้ก็หลั่งไหลลงมา…คนแปลกหน้าเห็นตนเองร้องไห้ยังสงสาร แต่บิดาของนางกลับปฏิบัติต่อนางเช่นนี้
อาเถียนที่อยู่ด้านข้างถึงแม้จะเคยเห็นคุณหนูบอกว่าร้องไห้ก็ร้องไห้ แต่ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนโยนเพียงนี้ นางก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทำให้นางแอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย
จู๋หลินที่อยู่อีกฝั่งมองขึ้นฟ้า รอคอยมานานเพียงนี้ ที่แท้น้ำใจของคุณหนูตันจูอยู่บนตัวของคุณหนูหลิวท่านนี้เอง