จู๋หลินเป็นองครักษ์ที่ดีคนหนึ่ง ความหมายของคำว่าดีคือ เขาไม่เคยมีคำถามต่อคำสั่งของเฉินตันจู เพียงแค่ปฏิบัติตามเท่านั้น
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาถาม
เฉินตันจูราวกับไม่เข้าใจ นางกะพริบตาทำสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าไม่อยากทำอันใด ข้าก็แค่พูดความรู้สึกเท่านั้น จู๋หลิน เจ้าไม่รู้สึกว่าจวนหลังนี้ไม่เลวหรือ”
จิ๊ จู๋หลินไม่เชื่อแม้แต่น้อย เขามองเฉินตันจูด้วยความระแวง
หลังจากที่ได้ยินข่าวที่ชุ่ยเอ๋อพูด เฉินตันจูก็ให้เขาไปสืบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เรื่องนี้เป็นคดีใหญ่ที่รู้กันทั่วไป จู๋หลินแค่ถามก็กระจ่างแล้ว เรื่องโดยรวมฟังดูแล้วปกติดี แต่หากครุ่นคิดอย่างละเอียดก็สามารถสังเกตถึงความผิดปกติได้
เรื่องนี้มีคนวางแผนทำลายตระกูลเฉา
ตอนแรกจู๋หลินคิดว่าเป็นฝีมือของฮ่องเต้ เพราะอย่างไรก็ตามระยะนี้มีคนจำนวนมากคัดค้านการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวง ระลึกถึงท่านอ๋องอู๋ อีกทั้งมีการเล่ากันปากต่อปากคิดว่าฮ่องเต้ไม่ควรทำเช่นนี้…ดังนั้นฮ่องเต้จึงคิดจะเชือดไก่ให้ลิงดู
เวลานั้นจู๋หลินกังวลอย่างมาก นึกถึงประโยคที่เฉินตันจูเคยพูดเอาไว้ “ไม่ใช่ทุกสนามรบต้องเห็นเลือดเห็นเนื้อ สนามรบที่โหดเหี้ยมที่สุดคือราชสำนัก”
ดังนั้นท่านแม่ทัพจึงทิ้งเขาเอาไว้ที่นี่เพื่อจับตาดู
อืม ถึงแม้ท่านแม่ทัพจะไม่ได้พูดเช่นนี้ แต่ในเมื่อเขายังอยู่ที่นี่ เมืองหลวงเกิดเรื่องอันใดขึ้น ฮ่องเต้มีการเคลื่อนไหวอย่างไร ย่อมต้องรายงานท่านแม่ทัพเสีย…
เขาทั้งดึงกำลังพลทั้งสืบอย่างไร้ร่องรอยด้วยความกังวล จากนั้นพบว่าเป็นเรื่องตื่นตูมกันไปเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้แม้แต่น้อย แต่มีสาเหตุมาจากขุนนางเล็กคิดจะประจบตระกูลชนชั้นสูงที่มาจากซีจิง…ตระกูลชนชั้นสูงนี้ชื่นชอบจวนของตระกูลเฉา
โดยรวมแล้วเรื่องนี้ดูจากภายนอกคือคดีใหญ่ที่มีโทษด้านการขัดขืนฮ่องเต้ แต่อันที่จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่กลอุบายของขุนนางชั้นผู้น้อย
จู๋หลินกระจ่างแล้ว เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจไม่ได้รายงานเรื่องเหล่านี้ต่อเฉินตันจู เพียงแค่บอกเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้กับนาง อย่างเช่นตระกูลเฉาถูกฟ้องอย่างไร มีหลักฐานอันใด ฮ่องเต้ตัดสินอย่างไร แต่ว่า…
เฉินตันจูพลางใช้มีดเล็กหั่นเนื้อหมูกินพลางฟังเขารายงานอย่างเรียบเฉย ก่อนจะวางมีดเล็กลงแล้วพูดขึ้น “เข้าเมือง ข้าจะไปดูจวนตระกูลเฉา”
เวลานั้นขนแขนของจู๋หลินลุกซู่ขึ้นทันที! แต่เขาก็ไม่อาจบอกว่าไม่ไปไม่ได้ มิฉะนั้นนางจะรู้ว่าเขาปิดบังบางเรื่องเอาไว้
…
เวลานี้มาคิดดูแล้ว เฉินตันจูยังพูดเช่นนี้อีก นางไม่มีความคิดถึงจะแปลก
จู๋หลินพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณหนูตันจู เรื่องนี้ท่านอย่าได้แทรกแซง”
เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นกลอุบายของคนชั้นผู้น้อย เปรียบเหมือนดั่งตาข่ายแมงมุม ดูเหมือนไม่มีอันใด แต่เมื่อพัวพันเข้าไปจะส่งผลกระทบทั้งหมด…คุณหนูตันจูมีชื่อเสียงไม่ดีอย่างมากในสายตาของราษฎรอู๋แล้ว หากทำให้ชนชั้นสูงที่มาจากซีจิงขุ่นเคืองอีก นางคงได้กลายเป็นศัตรูกับทุกคน
อย่าหวังที่จะมีชีวิตอย่างสงบสุขอีก
เฉินตันจูมองจู๋หลิน หุบยิ้มพยักหน้าอย่างจริงจัง “จู๋หลิน เรื่องนี้ข้าไม่ยุ่ง”
จู๋หลินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อาเถียนฟังไม่เข้าใจ นางมองจู๋หลินสลับกับเฉินตันจู เลือกที่จะรักษาความสงบเอาไว้
“ที่ข้ามาดู สนใจเรื่องนี้ ก็เพราะข้าเองก็มีจวน” เฉินตันจูพูดอย่างเปิดเผย “ครั้งก่อนเจ้าก็เห็น จวนของข้าดีกว่าตระกูลเฉามาก อีกทั้งตำแหน่งดีพื้นที่กว้าง องค์ชายองค์หญิงอยู่ล้วนสะดวกสบาย”
จู๋หลินพยักหน้า เข้าใจอีกฝ่าย
เฉินตันจูมองจวนตระกูลเฉาด้านหน้า ร่องรอยของตระกูลเฉาถูกลบเลือนไปในไม่กี่วัน
“ตระกูลเฉาไม่มีคุณงามความดีแต่ก็ไม่มีโทษ เป็นตระกูลบริสุทธิ์มีชื่อเสียงดี แต่ยังต้องเผชิญกับจุดจบเช่นนี้ ตระกูลข้า ท่านพ่อของข้ามีชื่อเสียงเสียหาย เป็นผู้มีโทษไม่ว่าต่อเมืองอู๋หรือราชสำนัก หากมีผู้ใดต้องการจวนของตระกูลข้า…”
อาเถียนส่งเสียงอุทานออกมา ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทั้งสองคนกำลังพูดถึงเรื่องอันใด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางกังวลเสมอมา ถึงแม้จะพบกับชายหนุ่มที่แอบส่องจวนที่หน้าประตูเพียงครั้งเดียว!
“คุณหนู ผู้ใดคิดจะแย่งจวนของพวกเรา ข้าจะปะทะกับเขาให้ถึงที่สุด!” นางตะโกน
นางอยากร้องไห้ แต่ก็รู้สึกว่าตนเองต้องเข้มแข็งร้องไห้ไม่ได้ คุณหนูยังไม่เกรงกลัว นางย่อมต้องไม่เกรงกลัว…หลังจากสิ้นเสียง ดวงตาของเฉินตันจูแดงก่ำ น้ำตาหลั่งไหลลงบนใบหน้าขาวสะอาด หล่นลงบนผ้าคลุม
“จวนนี้พี่สาวข้าทิ้งเอาไว้ให้ข้า” เสียงของนางสะอื้น “เดิมทีให้ข้าขายมันเพื่อใช้ชีวิต แต่หากมันเป็นสาเหตุของการขัดขวางทางรอด ข้าก็คงทำได้เพียง…”
“คุณหนูไม่ต้องกังวล” จู๋หลินทนฟังต่อไม่ได้ จึงพูดขัดขึ้นเสียงดัง “ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อท่านแม่ทัพ มีท่านแม่ทัพอยู่ เหล่าผู้น้อยพวกนั้นอย่าได้คิดแย่งชิงสมบัติของตระกูลคุณหนู”
เฉินตันจูมองเขาอย่างไม่พูดอันใด แต่อาเถียนกระโดดเข้ามาจับแขนของเขาส่ายไปมาอย่างแรง “เจ้าต้องบอกท่านแม่ทัพ อย่าให้พวกเขารังแกคุณหนู!”
จู๋หลินพยักหน้า “ข้าจะรายงาน” เรื่องที่กังวลภายในใจปล่อยวางลง มองดูหญิงสาวอ่อนแอทั้งสองตรงหน้า จู๋หลินก็ฟื้นคืนความสุขุมกลับมาอีกครั้ง “อันที่จริงตระกูลเฉาถูกใส่ร้ายด้วยกลอุบายเล็กน้อย กลอุบายเหล่านี้พวกเขาใช้บนตัวของคุณหนูตันจูไม่ได้”
เฉินตันจูพยักหน้า “ข้ารู้” นางถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะมองจวนตระกูลเฉาอีกครั้ง “ไปเถิด”
พูดจบก็นั่งเข้าไปภายในรถ
อาเถียนพูดกับจู๋หลิน “จู๋หลิน ข้าเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้ว สามารถคืนท่านได้เร็วๆ นี้แล้ว”
จู๋หลินกวักมือให้นาง “ขึ้นรถ”
รถม้ายังคงเคลื่อนที่ไปบนท้องถนนที่คึกคัก ครานี้อาเถียนไม่มีอารมณ์มองด้านนอก นางรู้สึกได้ว่าเมืองอู๋ที่กลายเป็นเมืองหลวง นอกจากความรุ่งเรืองแล้ว ยังมีการเคลื่อนไหวในที่ลับบางอย่าง เฉินตันจูเปิดม่านรถขึ้นมองออกไปด้านนอก บนหน้าไร้ซึ่งน้ำตา หรือความกังวลเป็นทุกข์
เรื่องนี้อยู่ในความคาดหมายของนาง ถึงแม้จะไม่มีหลี่เหลียง แต่คนที่คิดจะเหยียบคนเมืองอู๋เพื่อแสวงหาผลประโยชน์มีอยู่มากมาย
เรื่องของตระกูลเฉานางไม่สนใจ เพราะไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางจะบุกเข้าไปเพื่ออันใด อีกทั้งฮ่องเต้อภัยโทษให้ตระกูลเฉาแล้ว เพียงแค่ขับไล่พวกเขาออกไปเท่านั้น หากนางปฏิบัติตนก้าวร้าวจะกลายเป็นการยื่นด้ามมีดให้คนอื่น นอกจากการหาที่ตายเองแล้ว ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
ถึงแม้จะหาคนที่ใส่ร้ายตระกูลเฉาเจอแล้วอย่างไร ตระกูลชนชั้นสูงของเมืองอู๋ยังมีอีกมาก อีกทั้งคนที่เดินทางมาใหม่ขาดแคลนที่ดินและจวนก็มีมากเช่นเดียวกัน
การสั่นคลอนของเมืองอู๋ ความเจ็บปวดของราษฎรอู๋ ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เฉินตันจูปล่อยม่านรถลง นางไม่ใช่เทวดา หากแต่เป็นหญิงสาวอ่อนแอที่ไม่อาจปกป้องตนเองได้
ท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดถึงนางว่านอกจากวางยาพิษให้หลี่เหลียงได้แล้ว นางไม่สามารถวางยาผู้ใดได้อีก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
อาเถียนมองคุณหนูด้วยความกังวล เวลานี้คุณหนูบทจะร้องไห้ก็ร้อง บทจะหัวเราะก็หัวเราะออกมา นางไม่รู้เรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จแล้ว…
“อย่าคิดมาก” เฉินตันจูยื่นนิ้วออกมาจากชุดคลุมจิ้มลงไปยังหน้าผากของอาเถียน “รีบคิดเร็วเข้า อยากกินอันใด พวกเราก็ซื้อกลับไป เข้าเมืองครั้งหนึ่งไม่ง่าย”
จริงด้วย บัดนี้งานยุ่งมาก ทั้งทำยาทั้งช่วยขายชา ไม่มีเวลาแม้แต่เข้าเมือง ถึงแม้จะเรียกใช้จู๋หลินได้ แต่สิ่งของบางอย่างหากไม่ได้ซื้อเอง สิ่งที่คนอื่นซื้อกลับมามักรู้สึกไม่พึงพอใจ อาเถียนจึงรีบตั้งใจครุ่นคิด
เฉินตันจูไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก ถึงแม้ภายในโรงน้ำชาจะมีการถกเถียงเรื่องที่คล้ายคลึงกับเรื่องของตระกูลเฉาอีกหลายเรื่อง นางก็ไม่ได้ให้เขาไปสืบอีก จู๋หลินจึงเริ่มวางใจเขียนจดหมายให้ท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็ก