หวังเจียนคลุมผ้าหนาไว้บนตัว เดินทางไปยังทิศทางตะวันตกเฉียงเหนืออันเป็นสถานที่อยู่ของ
โจวเสวียนภายใต้การคุ้มกันของทหาร
หลังจากหนึ่งวันหนึ่งคืนก็เดินทางมาถึงค่ายทหารใหญ่ รวมไปถึงธงที่เขียนว่าโจวพลิ้วไหวอยู่ด้านบนกระโจมของแม่ทัพ
ซึ่งเป็นสถานที่พักของแม่ทัพเล็กโจวเสวียน
โจวเสวียนเป็นผู้ใด เขาไม่ได้เป็นที่รู้จักของทุกคนในต้าเซี่ย เขาไม่มีชื่อเสียงเหมือนแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แต่หากพูดถึงบิดาของเขา ไม่มีผู้ใดไม่รู้…สหายร่วมเรียนของฮ่องเต้ เป็นผู้เสนอให้มีการลดพื้นที่ศักดินา เป็นขุนนางข้างกายของฮ่องเต้ที่ถูกเหล่าท่านอ๋องเรียกว่าขุนนางชั่วและถูกลอบสังหารจนตัวตาย ฮ่องเต้กริ้วหนักออกรบปะทะเหล่าท่านอ๋องเพื่ออวี้สื่อต้าฟูโจวชิง
สองปีก่อนโจวชิงถูกลอบทำร้าย บุตรคนรองโจวเสวียนซึ่งมีอายุสิบแปดปีในเวลานั้นกำลังเรียนหนังสือพร้อมกับเหล่าองค์ชาย เมื่อได้ยินข่าวบิดาเสียชีวิตจากการถูกลอบสังหาร เขากอดตำราภายในมือร้องไห้โฮอยู่ครึ่งวัน แต่เขาไม่ได้วิ่งกลับจวนไป หากแต่นั่งเรียนต่อ คนในตระกูลมาเรียกเขากลับไปงานศพของโจวชิง เขาก็ไม่ไป ทุกคนล้วนคิดว่าเด็กคนนี้เสียสติไปแล้ว
โจวเสวียนนั่งอ่านตำราคนเดียวอยู่ในพระราชวังเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน พลาดงานศพของโจวชิงไป จนกระทั่งอ่านตำราบนโต๊ะจนจบสิ้น เขาถึงได้วิ่งไปคุกเข่าต่อหน้าหลุมศพของโจวชิงด้วยผมเผ้าสยายเป็นเวลาสองวัน ก่อนจะวิ่งไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่พระราชวังพร้อมทั้งทูลเกล้าว่าตนเองจะไม่เรียนหนังสือแล้ว ตนเองต้องการเข้าร่วมกองทัพ ท่านพ่อไม่อาจจัดการเหล่าท่านอ๋องด้วยความรู้ได้ เช่นนั้นให้เขาใช้มีดดาบในมือในการปราบปรามพวกเขาแทน
ฮ่องเต้หวั่นไหวอย่างมาก ไม่เพียงเห็นด้วยกับคำขอของเขา อีกทั้งยังตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นตั้งแต่เวลานี้ หลังจากโจวเสวียนเข้าร่วมกองทัพได้ครึ่งปี ถิงเว่ยฝู่[1]ประกาศผลการสืบสวนเรื่องโจวชิงถูกลอบสังหารเป็นฝีมือของเหล่าท่านอ๋อง เป้าหมายเพื่อลอบสังหารฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่มีท่าทีถดถอยต่อเหล่าท่านอ๋องเหมือนอย่างเคย ตัดสินใจซักโทษกบฏต่อเหล่าท่านอ๋องอย่างเด็ดเดี่ยว หลังจากนั้นสามเดือน กองทัพส่วนใหญ่ของราชสำนักแยกย้ายกันไปสามทางมุ่งหน้าไปยังเมืองโจว เมืองฉี และเมืองอู๋
เนื่องจากเมืองอู๋มีกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในสามเมือง ฮ่องเต้จึงนั่งบัญชาการทัพด้วยตนเอง มีแม่ทัพหน้ากากเหล็กนำทัพคุ้มกัน ส่วนโจวเสวียนอยู่ในกองทัพที่ปะทะกับเมืองโจวและเมืองฉี
ในฐานะบุตรหลานที่ชื่นชมกำลังในเมืองหลวง โจวเสวียนถึงแม้จะเป็นผู้เรียนหนังสือ แต่เขาก็สามารถขี่ม้ายิงธนู เข้าร่วมกองทัพระยะครึ่งปีกว่า ยิ่งขยันขันแข็งในการฝึกฝน วิชาที่ฝึกฝนเพื่อสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายในเวลาอันสั้นก็สามารถบุกโจมตีตะลุยแนวข้าศึกได้
หลังจากราชสำนักประกาศศึกต่อเหล่าท่านอ๋อง โจวเสวียนนำหน้าไปยังสถานที่ตั้งหลักของกองทัพเมืองโจวและเมืองฉี เขาไม่เกรงกลัวความตายในการตะลุยแนวข้าศึก อีกทั้งมีความรู้และกลอุบาย รวมทั้งมีเรื่องการตายของบิดาโจวชิง เขาจึงมีอิทธิพลในกองทัพอย่างยิ่ง เผชิญหน้าทางสงครามน้อยใหญ่กับทหารเมืองโจวและเมืองฉีอย่างไม่ขาดสายภายในหนึ่งปี
ก่อนหน้านี้เมืองอู๋และราชวงศ์เจรจาอย่างสันติ ทำให้กองทัพเมืองโจวตื่นตระหนก โจวเสวียนนำทัพบุกรุกเข้าใกล้เมืองโจว หากไม่ใช่ท่านมหาราชครูเมืองโจวยอมแพ้ก่อน เมืองโจวคงต้องถูกโจวเสวียนโจมตีจนเมืองแตกอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงประหารท่านอ๋องโจวด้วยตนเองหลังจากที่เข้าเมือง ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงออกพระราชโองการแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้นำทัพของกองทัพหนึ่ง
เดิมทีฮ่องเต้เพียงแค่ให้เขารอคอยคำสั่งในเมืองโจว ดูแลความมั่นคงของกองทัพและราษฎรเมืองโจว รอคอยท่านอ๋องโจวองค์ใหม่…หรือก็คือท่านอ๋องอู๋ แต่โจวเสวียนไม่ฟังแม้แต่น้อย ไม่รอท่านอ๋องโจวองค์ใหม่เดินทางมาถึง เขาก็นำพาทหารครึ่งกองทัพโจมตีรุกรานไปทางเมืองฉี
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลมแรงพัดจนหวังเจียนต้องกระชับผ้าคลุมให้แน่นขึ้น แต่เขาก็ไม่กล้าอ้าปากก่นด่า เพราะเกรงว่าลมหนาวจะพัดเข้าปาก เนื่องจากมีโจวชิง โจวเสวียนพูดคำไหนคำนั้นแม้แต่อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ เพียงแค่ฟ้าไม่พังทลายลง เขาจะก่อเรื่องอย่างไรก็ไม่เป็นอันใด
โจวเสวียนไม่ฟังคำสั่งของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็ไม่มีวิธี ทำได้เพียงปล่อยเขาไปอย่างระอา แม้แต่สั่งสอนตักเตือนบังหน้ายังไม่มี
เวลานี้โจวเสวียนรุกรานเมืองฉี แม่ทัพหน้ากากเหล็กให้เขามาออกคำสั่งให้โจวเสวียนรอคอยคำสั่ง อย่าให้สังหารท่านอ๋องฉีไปด้วย…ฮ่องเต้ย่อมต้องอยากกำจัดเหล่าท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋องทั้งสามนี้ล้วนเป็นเสด็จอาและพี่น้องของฮ่องเต้ ถึงแม้จะสังหารก็ย่อมต้องรอหลังการสอบสวนและประกาศ…โดยเฉพาะเวลานี้มีท่านอ๋องอู๋เป็นตัวอย่าง เช่นนี้ชื่อเสียงบารมีของฮ่องเต้จะยิ่งมากขึ้น
แต่สำหรับโจวเสวียนแล้ว เขาเพียงแค่ต้องการแก้แค้นให้บิดา ต้องการสังหารเหล่าท่านอ๋องให้หมดภายในหนึ่งคืน เขาย่อมไม่ยอมรอ แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่กล้าเกลี้ยกล่อมอีกทั้งเกลี้ยกล่อมไม่อยู่ แต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กกลับให้เขามาเกลี้ยกล่อม เขาจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร
เขามีทั้งฝีปากมีทั้งกลอุบายก็จริง แต่โจวเสวียนเป็นคนบ้า หวังเจียนก่นด่าอย่างขุ่นเคืองภายในใจ อีกทั้งยังมีคนบ้าอย่างแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ตอนที่เขาถาม อีกฝ่ายกลับบอกว่าหากเกลี้ยกล่อมไม่ได้จริงๆ ให้เขาวางยาโจวเสวียน ทำให้โจวเสวียนหลับเสียสิบวันครึ่งเดือน…
คิดว่าเขาเป็นผู้ใด เฉินตันจูหรือ
เฮ้อ สายตาขุ่นเคืองของหวังเจียนลุกวาว หากเกลี้ยกล่อมไม่ได้จริงๆ ก็คงมีเพียงวิธีนี้แล้ว
อืม อย่างน้อยเขาก็เก่งกว่าเฉินตันจู ยาที่ใช้สามารถทำให้โจวเสวียนหลับไปอย่างน้อยสิบวันอย่างไร้ความเจ็บปวดและไร้ร่องไร้รอย…
“หวังไต้ฟูใช่หรือไม่” ทหารด้านหน้าขี่ม้ามารับด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับคารวะด้วยความเคารพ “ท่านแม่ทัพโจวสั่งให้พวกข้ามาต้อนรับ”
หวังเจียนพยักหน้า ก่อนจะปล่อยให้ทหารขบวนนี้เปิดทางมุ่งหน้าสู่ค่ายใหญ่
“หวังไต้ฟู หลังจากท่านแม่ทัพโจวได้รับคำสั่งจากท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กก็รอคอยอยู่ตลอดแล้ว” เมื่อมาถึงด้านหน้ากระโจมแม่ทัพ รองแม่ทัพที่รออยู่ด้านนอกสองคนเดินขึ้นหน้าคารวะ “เชิญขอรับ”
หวังเจียนพยักหน้าก้าวเท้าเดินเข้าไป ทันทีที่เดินเข้าไปเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติตามสัญชาตญาณ แต่ก็สายไปแล้ว น้ำถังหนึ่งสาดลงมาจากบนหัว
หวังเจียนถูกน้ำสาดไปทั่วทั้งตัวอย่างไม่ทันระวัง ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “โจวเสวียน!”
ภายในกระโจมไม่มีคนตอบรับ รองแม่ทัพด้านหน้ากระโจมรวมไปถึงเหล่าองครักษ์ของหวังเจียนต่างเดินเข้ามา เมื่อพวกเขาเห็นสภาพของหวังเจียนต่างก็ผงะไป
“นี่มันเรื่องอันใดกัน” องครักษ์ของหวังเจียนตะโกน ก่อนจะถอดผ้าคลุมห่อหวังเจียนเอาไว้ให้เขาเช็ดตัว
หวังเจียนก่นด่าโจวเสวียนภายในใจ ก่อนจะก่นด่าแม่ทัพหน้ากากเหล็ก หลังจากที่เช็ดคราบน้ำบนใบหน้าแล้ว ถึงพบว่าภายในกระโจมไม่มีร่างของโจวเสวียนแม้แต่น้อย
เขาสบถออกมา ก่อนจะมองไปยังเหล่าทหารของโจวเสวียน ถามด้วยความเยือกเย็น “เรื่องเป็นอย่างไร”
คนเหล่านี้ต่างเผยสีหน้าลำบากใจ สายตาหลบหลีก “เรื่องนี้ พวกข้าก็ไม่รู้ขอรับ”
“กระโจมของท่านแม่ทัพโจวเล็ก พวกข้าก็ไม่อาจเข้ามาได้ตามใจ” พูดเพียงคำแก้ตัวเหล่านี้ ก่อนจะสั่งให้คนนำเตาอั้งโล่ ถังอาบน้ำและเสื้อผ้าสะอาดมาปรนนิบัติหวังเจียน
ฤดูหนาวไม่อาจตัวเปียกชื้นเช่นนี้ได้ หวังเจียนจึงทำได้เพียงให้พวกเขาส่งถังอาบน้ำเข้ามา แต่ครั้งนี้เขาระวังมากขึ้น ตรวจดูถังอาบน้ำและเสื้อผ้าด้วยตนเองเพื่อมั่นใจว่าไม่มีปัญหา และต่อมาก็ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นอีก หลังจากยุ่งมาครึ่งวัน หวังเจียนก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ รวมทั้งเป่าผมจนแห้ง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งว่าโจวเสวียนอยู่ที่ใด
รองแม่ทัพของโจวเสวียนถึงได้ก้มหน้าพูดขึ้น “ตอนที่หวังไต้ฟูอาบน้ำ ท่านแม่ทัพโจวรออยู่ด้านนอก แต่มีรายงานด่วนว่ามีกองทัพฉีบุกรุกค่ายทหาร ท่านแม่ทัพจึง…”
เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกหวังเจียนขัดขึ้น
หลอกคนโง่หรือ
“พูด” หวังเจียนสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง “เขาอยู่ที่ใด”
เหล่ารองแม่ทัพสบตากัน ก่อนจะยิ้มขมขื่น ล้มเลิกที่จะเสแสร้ง พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งของโจวเสวียนเช่นนี้ก็ขายหน้ามากแล้ว
“หวังไต้ฟู ท่านแม่ทัพโจวบุกไปเมืองฉีก่อนที่ท่านจะมาแล้ว” รองแม่ทัพคนหนึ่งพูดอย่างระอา ก่อนจะคุกเข่าลงหนึ่งข้างต่อหวังไต้ฟู “ข้าน้อย รั้งไม่อยู่”
เจ้าเด็กเหลวไหล หวังเจียนโกรธจนกัดฟันกรอด เขายังคงมาช้าไปหนึ่งก้าว
เฮ้อ ทำได้เพียงโทษท่านอ๋องฉีที่โชคไม่ดี อย่างไรท่านอ๋องฉีก็ต้องตายอยู่แล้ว เอาเถิด เอาเถิด คนมากโรคอย่างท่านอ๋องฉีเดิมทีก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว
แม่ทัพหน้ากากเหล็กลูบคลำมุมโต๊ะแผ่วเบาเมื่อได้ยินเขากลับมารายงาน สายตาลึกล้ำด้านหลังหน้ากากเหล็กหลุบต่ำลง “อันที่จริง ข้าไม่ได้กังวลเรื่องการตายของท่านอ๋องฉี”
เช่นนั้นกังวลเรื่องอันใด หวังเจียนขมวดคิ้ว
…
บนท้องถนนของเมืองฉีในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเต็มไปด้วยทหารที่วิ่งไปมา เหล่าราษฎรหลบอยู่ในจวนด้วยตัวสั่นเทา ราวกับได้กลิ่นคาวเลือดที่ลอยเข้ามาจากนอกเมือง
เมืองฉีไม่มีกำแพงเมืองที่สูงและหนา ความแข็งแกร่งของเหล่าท่านอ๋องเป็นเกาะป้องกันที่แข็งแรงที่สุดเสมอมา
แต่เวลานี้ท่านอ๋องอู๋ยอมจำนนต่อราชสำนัก ท่านอ๋องโจวถูกสังหาร หัวใจของกองทัพฉีไม่มีอยู่แล้ว บารมีของท่านอ๋องก็สลายไปตามท่านอ๋องฉีองค์ก่อน ภายในสิบปีที่ท่านอ๋องฉีองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ มีห้าปีที่เขานอนป่วย
ท่านอ๋องฉีอายุสี่สิบกว่านอนอยู่บนเตียง สีหน้าอ่อนเพลีย ส่งเสียงหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยดุจดั่งชายชราอายุเจ็ดสิบกว่า
รอบเตียงไม่มีองครักษ์ ขันทีหรือนางใน มีเพียงเงาสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งสะท้อนบนม่านผ้าไหม มุมหนึ่งของม่านถูกยกขึ้นมาเช็ดมีดเงาด้ามหนึ่ง
“เจ้าเป็นบุตรของโจวชิง?” ท่านอ๋องฉีเปล่งเสียงออกมา ราวกับต้องการเงยหน้ามองหน้าของอีกฝ่าย
“ข้าชื่อโจวเสวียน” เสียงของอีกฝ่ายลอยเข้าหูของท่านอ๋องฉีอย่างชัดเจนผ่านม่านที่กั้นไว้
เสียงนี้ชัดเจนเหมือนเวลาที่เหล่านักเรียนกำลังอ่านตำรา
อืม เหมือนน้ำเสียงอ่อนโยนของโจวชิงที่ประกาศพระราชโองการลดพื้นที่ศักดินา
ถึงแม้โจวชิงจะประกาศพระราชโองการลดพื้นที่ศักดินา แต่เขาไม่เคยได้เดินทางเข้าเมืองฉี หากเพียงเวลานี้บุตรของเขาเข้ามาแล้ว
ท่านอ๋องฉีพึมพำ “เจ้าลักลอบเข้ามาได้อย่างไร ผู้ใด…”
ผู้ใดบังอาจปล่อยแม่ทัพใหญ่ของราชสำนักคนนี้เข้ามา แต่ถามในเวลานี้ยังมีความหมายอันใด ท่านอ๋องฉีจึงเงียบลง
เขานอนอยู่บนหมอนหยก มองดูมุกมณีที่ห้องลงจากเตียง สายตาเต็มไปด้วยความเสียดายและเหม่อลอย
“เจ้ามาฆ่าข้า” เขาพูด “ลงมือเถิด”
ผ้าไหมที่เช็ดมีดถูกปล่อยลง แต่มีดไม่ได้วางลง
“ท่าทางของเจ้าเช่นนี้ ฆ่าเจ้าไปก็ไร้ความหมาย” น้ำเสียงด้านหลังม่านเต็มไปด้วยความดูถูก “เจ้า ยอมรับโทษ จำนนเสียเถิด”
[1] ถิงเว่ยฝู่ หมายถึง กระทรวงยุติธรรมในสมัยโบราณ ซึ่งมีหน้าที่สนับสนุนการใช้การบริหารและการตีความกฎหมาย มีฐานะเป็นเหมือนศาลฎีกาสูงสุด รับพิจารณาคดีที่ส่งต่อมายังราชธานีจากหัวเมืองต่างๆ มีอำนาจไต่สวนคดีรวมไปถึงอำนาจในการลงโทษ การลดหย่อนหรือการอภัยโทษ และการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย