แม่ทัพหน้ากากเหล็กได้รับจดหมายจำนวนมากในแต่ละวัน มีทั้งเรื่องราษฎร์เรื่องหลวง เขาย่อมไม่เปิดดูเองทั้งหมด มิฉะนั้นคงต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงมอบหมายให้หวังเจียนอ่าน จากนั้นบอกเรื่องที่สำคัญกับเขา
หวังเจียนไม่ได้อ่านจดหมายทุกฉบับ เขาเป็นที่ปรึกษาไม่ใช่เด็กรับใช้ ดังนั้นเขาจึงหาเด็กรับใช้มาแยกจดหมาย
เด็กรับใช้ไม่ใช่ผู้ใดก็เป็นได้ เขาต้องรู้ความสัมพันธ์รอบด้านของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก อีกทั้งต้องรู้นิสัยของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เช่นนี้ถึงจะรู้ว่าจดหมายฉบับใดต้องรีบดูทันที จดหมายฉบับใดสามารถอ่านยามมีเวลา จดหมายฉบับใดสามารถโยนทิ้งโดยไม่ต้องอ่าน
หวังเจียนพบว่าเฟิงหลินเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด อีกทั้งเขาก็ทำได้ดีเสมอมา
แต่ในเวลานี้เขากลับถือจดหมายฉบับหนึ่งด้วยสีหน้าลังเล
หวังเจียนพลางอ่านจดหมาย พลางตอบจดหมาย หนึ่งใจใช้สองประโยชน์ ยุ่งจนไม่มีเวลาหาว อ้าปากเงยหน้าก็พบว่าเฟิงหลินกำลังเหม่อลอย ทันใดนั้นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที…ไม่กล้าอารมณ์เสียใส่แม่ทัพหน้ากากเหล็ก ยังไม่กล้าอารมณ์เสียใส่ผู้ติดตามเขาอีกหรือ
“เฟิงหลิน เจ้าดูเจ้า ยังกล้าที่จะเหม่อลอย บัดนี้เป็นเวลาใด เป็นเวลาสำคัญที่ต้องตัดสินใจว่าจะรบหรือคืนดีกับเมืองฉี” เขาตบโต๊ะ “เหลวไหลยิ่งนัก!”
เฟิงหลินไม่รีบไม่กลัว สายตายังคงจับจ้องจดหมายในมือ “ข้ากำลังคิดว่าจดหมายฉบับนี้จะแยกอย่างใด”
หวังเจียนหัวเราะออกมา “มีจดหมายที่เจ้าไม่รู้จะแยกอย่างใดด้วยหรือ เป็นจดหมายของผู้ใดกัน”
เฟิงหลินยิ้ม ส่งจดหมายในมือให้อีกฝ่าย “จดหมายของจู๋หลิน”
ถึงแม้จะเป็นองครักษ์หลวงเหมือนกัน ชื่อของเขาก็มีคำว่าหลิน แต่จู๋หลินก็เป็นเพียงองครักษ์หลวงธรรมดา ไม่อาจเทียบกับองครักษ์ลับที่ติดตามฮ่องเต้อย่างมั่วหลินได้
หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจ เขาไม่ใช่คนสำคัญอันใด ต้องลำบากใจถึงเพียงนี้?
“ข้าหมายถึง จดหมายของจู๋หลินเดิมทีต้องเขียนถึงข้า” เฟิงหลินพูด เขาเป็นหัวหน้าองครักษ์หลวงของท่านแม่ทัพ จดหมายขององครักษ์หลวงย่อมต้องส่งให้เขา อีกทั้งเขาก็เพิ่งเขียนจดหมายให้จู๋หลิน แต่จู๋หลินกลับตอบจดหมายมาหาท่านแม่ทัพ
เขาคิดอันใดอยู่ เขียนผิดหรือ
หวังเจียนที่อยู่ด้านข้างนึกขึ้นมาได้ จดหมายที่ส่งมาไม่อ่านแล้ว จดหมายที่ตอบกลับก็เลิกเขียนแล้ว เขายืดตัวมาหยิบจดหมายฉบับนั้นในมือของเฟิงหลิน
จู๋หลินไม่ใช่คนสำคัญอันใด แต่ข้างตัวของจู๋หลินมีคนสำคัญ…อืม ไม่ใช่คนสำคัญ เป็นตัวปัญหา
ตัวปัญหานี้ก่อเรื่องอีกแล้วหรือ จะว่าไปจากเมืองอู๋มาระยะหนึ่งแล้ว เหงาเสียจริง…
หวังเจียนเปิดจดหมายออกอย่างตื่นเต้น แต่เรื่องที่ทำให้เขาหมดความตื่นเต้นคือตัวปัญหาไม่ได้ก่อปัญหาแม้แต่น้อย
“ท่านดูเรื่องนี้ใช้ได้หรือ” หวังเจียนวิ่งเข้ามาในห้องของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก นั่งอยู่หน้าเตา กล่าวโทษอย่างเจ็บปวดใจ “จู๋หลินบอกว่า ระยะนี้นางไม่ได้เกิดความขัดแย้งกับผู้อื่น ไม่ได้บีบบังคับให้ผู้ใดไปตาย ยิ่งไม่ได้ถกเถียงความถูกผิดกับฮ่องเต้…เหมือนว่าเมืองอู๋เป็นดินแดนที่ตัดขาดจากโลกภายนอก”
พูดอย่างกับพวกเขาไม่รู้เรื่องของเมืองอู๋ในระยะนี้
เรื่องใหญ่มีเมืองอู๋จะเปลี่ยนชื่อ เรื่องของคนมีการเดินทางมาถึงของเหล่าองค์ชายองค์หญิง โดยเฉพาะพระชายาของรัชทายาท อีกทั้งยังมีคุณหนูสี่ที่ไม่รู้ว่าเกลี้ยกล่อมพระชายาอย่างใดจึงถูกพามาด้วย
“ถึงแม้คุณหนูตันจูจะไม่รู้เรื่องของคุณหนูสี่” หวังเจียนพูดพลางนับนิ้ว “แต่เรื่องของตระกูลเฉาในระยะนี้ เนื่องจากมีคนอยากได้จวนจึงถูกใส่ร้ายขับไล่…”
นางก็ไม่แม้แต่จะถาม
เขามองไปยังแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่อยู่ด้านหน้า
ถึงแม้เมืองฉียังอยู่ค่อนไปทางเหนือ แต่ภายในห้องในช่วงเวลาฤดูหนาววางเตาอั้งโล่สองใบ ทำให้ภายในห้องอบอุ่นดุจดั่งฤดูใบไม้ผลิ บนหน้าของแม่ทัพหน้ากากเหล็กยังคงสวมหน้ากากเหล็กเอาไว้ แต่ไม่ได้สวมชุดคลุมเหมือนเคย อีกทั้งไม่ได้สวมชุดเกราะ มีเพียงชุดสีเขียวดำ เนื่องจากนั่งขัดสมาธิถือจดหมายไว้ตรงหน้า แขนเสื้อไหลลงเผยให้เห็นข้อมือที่เห็นข้อกระดูกอย่างชัดเจน สีของข้อมือเหลืองเล็กน้อยเหมือนมือของเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเจียน เขาเพียงแค่เงยหน้าพูดขึ้น “ไม่ใช่เรื่องของนาง เจ้าคิดว่านางเป็นผู้ใด จอมยุทธผู้พยุงความยุติธรรม?”
จริงด้วย หวังเจียนผงะเล็กน้อย หญิงสาวคนนั้นเห็นแก่ตัว เขาคิดได้อย่างใดว่านางจะแทรกแซงเรื่องของผู้อื่น
“แต่ก็เรียกว่ายุ่งเรื่องคนอื่นไม่ได้” เขาครุ่นคิด ก่อนจะโต้แย้ง “ต้องเรียกว่าเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน เจ้าหนูนี้ทั้งเห็นแก่ตัวทั้งฉลาดเฉลียว ย่อมต้องมองเห็นกลอุบายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ หรือว่านางไม่เกรงกลัวว่าผู้อื่นจะปฏิบัติเช่นนี้ต่อนาง นางก็เป็นคนเมืองอู๋ อีกทั้งยังเคยเป็นชนชั้นสูง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กวางจดหมายของจู๋หลินลงบนโต๊ะ “ยังไม่มีคนจะปฏิบัติเช่นนี้ต่อนางไม่ใช่หรือ”
หากพูดเช่นนี้ ตัวปัญหาไม่ก่อปัญหาล้วนเป็นเพราะคนในเมืองอู๋ไม่กล้าก่อปัญหา หวังเจียนจิ๊ปาก เหตุใดรู้สึกผิดปกติยิ่งนัก
“นางยังเปิดร้านยาขึ้นมาจริงด้วย” เขาหยิบจดหมายขึ้นมาดูอีกครั้ง “อีกทั้งนางยังคบกับคุณหนูของร้านยา…ทั้งตั้งใจทั้งมั่นคง?”
เขามองประโยคที่จู๋หลินเขียนบรรยาย ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
แต่ก็ไม่แปลกใจที่เฉินตันจูจะเปิดร้านยารักษาคนป่วยได้ ตอนนั้นในกระโจมของหลี่เหลียงในค่ายทหารใหญ่ถังอี้ เพียงแค่ได้กลิ่นยาที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อย เขาก็รู้ว่าหญิงสาวคนนี้มีความสามารถจริง ยาพิษเป็นหนึ่งเดียว ไม่จำเป็นต้องรู้วิชามาก เพียงแค่อาศัยวิชาพิษ การเปิดร้านยาก็ไม่ใช่ปัญหา
เฉินตันจูจะกลายเป็นไต้ฟูที่ช่วยชีวิตคนแล้ว หมดสนุกเสียจริง หวังเจียนถือจดหมายเอาไว้ ก่อนจะมองแม่ทัพหน้ากากเหล็กสลับกับมองเฟิงหลิน “ให้ใคร”
ใครตอบจดหมาย
“ตอบจดหมายอันใดกัน” แม่ทัพหน้ากากเหล็กหัวเราะ “ดูท่าเจ้าจะว่างเกินแล้ว”
ก็จริงจู๋หลินเพียงแค่รายงานสถานการณ์ของคุณหนูตันจูในระยะนี้เท่านั้น หรือว่าพวกเขาต้องตอบกลับรายงานสถานการณ์ของท่านแม่ทัพในระยะนี้หรือ เหลวไหลสิ้นดี…หวังเจียนทิ้งจดหมายเอาไว้อย่างไม่สนใจ
“เมื่อดูจากเวลานี้ ความยโสโอหังของเจ้าหนูก่อนหน้านี้ก็แค่สุนัขที่อาศัยบารมีของนาย…” เขาพูด แต่เช่นนี้ก็เหมือนบอกว่าท่านแม่ทัพยโสโอหัง จึงกลับคำ “ไม่ใช่ สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ”
พูดจบก็รีบเหลือบมองแม่ทัพหน้ากากเหล็ก คำนี้ดีขึ้นมาเสียบ้างหรือไม่
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่สนใจเขา สายตาเคร่งขรึมราวกับกำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง
แหะๆ หวังเจียนหัวเราะกับตนเอง ก่อนจะพูดเรื่องสำคัญขึ้นมา
“ท่านแม่ทัพ ทหารของทางท่านอ๋องฉีล่าถอยไปแล้ว ทหารกองหน้ากำลังรอคอยคำสั่ง ข้าจะเขียนจดหมายออกคำสั่งพวกเขาบัดนี้”
“ถึงเวลาออกคำสั่งแล้ว แต่ซินแสไม่ต้องเขียนจดหมาย” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพยักหน้า ยืดตัวตรงมองหวังเจียน “ท่านไปพบโจวเสวียนด้วยตนเองเถิด”
สีหน้าของหวังเจียนเปลี่ยนไป “เหตุใด ท่านแม่ทัพออกคำสั่งให้เขาแล้วไม่ใช่หรือ หรือว่าเขากล้าครอบครองทหารแต่ไม่ออกรบ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่ายหัว “ข้าไม่ได้เกรงกลัวว่าเขาจะครอบครองทหารแต่ไม่ออกรบ ข้าแค่กังวลว่าเขาจะชิงลงมือก่อน”
สีหน้าของหวังเจียนแปรเปลี่ยนตามการครุ่นคิดความหมายของคำว่าชิงลงมือก่อน…หรือว่าไม่ดี
“ข้าไม่ได้ไม่อยากให้เขารบ” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ข้าแค่ไม่อยากให้เขาบุกก่อน เจ้าไปรั้งเขาเอาไว้ เมืองฉีทิ้งไว้ให้ข้า”
หวังเจียนก่นด่าภายในใจ ภารกิจนี้ไม่ง่ายแม้แต่น้อย!
โจวเสวียนเป็นผู้ใด เขาเป็นคนที่เกลียดแค้นเหล่าท่านอ๋องที่สุด ไปห้ามไม่ให้เขาบุกรุกโจมตีท่านอ๋องฉีเท่ากับเป็นการไปหาที่ตาย
หวังเจียนถลึงตามองแม่ทัพหน้ากากเหล็ก “เรื่องแบบนี้ ท่านแม่ทัพออกหน้าเองดีกว่าหรือไม่”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กยกมือขึ้น…เขาไม่ได้ไว้หนวดเครา…มือของเขาลูบผมขาวเทาที่สยายลงมาข้างแก้ม เสียงแหบพร่าดังขึ้น “ข้าอายุมากแล้ว ไม่อาจมีเรื่องกับเด็กได้ ดูไม่ดี”
หวังเจียนปากกระตุก ลูบคลำหนวดเคราสั้นบนใบหน้า ทำได้เพียงโทษตัวเองชราไม่พอจึงเสียเปรียบ