บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 102 เที่ยวเขา

ตอนที่ 102 เที่ยวเขา

ตามการมาถึงของฝนแรกฝนฤดูใบไม้ผลิในเมืองอู๋ ทหารส่งสารส่งเสียงร้องบอกข่าวดีตลอดทาง ท่านอ๋องฉียอมรับโทษ คุกเข่าอยู่ด้านนอกเมืองฉี

ฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสามวัน แต่ก็ไม่มีผลกระทบต่อคนที่ผ่านไปมานั่งถกเถียงในโรงน้ำชาบริเวณเชิงเขา

เยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อเล่าถึงสิ่งที่ได้ยินมาจากคนเหล่านั้นดุจดั่งเห็นกับตาของตนเอง…ท่านอ๋องฉีบอกว่า เขาเป็นคนส่งมือสังหารไป เนื่องจากเสด็จพ่อของเขาเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับฮ่องเต้องค์ก่อน หากฝ่าบาทตายไป เขาย่อมสามารถขึ้นครองราชบัลลังก์

“เขายอมรับโทษแล้ว เช่นนี้โทษกบฏก็ไม่อาจหนีพ้นได้กระมัง” อาเถียนพลางฟังพลางถาม “อย่างใดก็ต้องประหารอยู่ดี”

สุดท้ายก็ต้องตาย

“ไม่เหมือนกัน” เยี่ยนเอ๋อพูด “ถึงแม้จะยังเป็นโทษกบฏ แต่ท่านอ๋องฉียอมรับโทษเอง ฝ่าบาทเห็นแก่เชื้อสาย ย่อมต้องอภัยโทษให้บุตรหลานของท่านอ๋องฉี”

อาเถียนหันไปถาม “คุณหนู ท่านว่าท่านอ๋องฉีต้องรับโทษตายทั้งตระกูลหรือไม่เจ้าคะ”

เฉินตันจูนั่งอยู่บนทางเดินมองฝนที่ตกลงมาในลาน นางไม่ได้ฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าสาวรับใช้ นางระลึกได้ว่าปีก่อนนางตายในเวลานี้ ก่อนจะฟื้นกลับคืนมา เวลาหนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงถูกอาเถียนดึงสติกลับมา

แต่ถึงแม้จะไม่ได้ฟัง คำถามนี้นางก็ยังสามารถตอบได้

“ไม่” นางพูด “ท่านอ๋องฉียอมจำนนและรับโทษ หากฝ่าบาทประหารเขาก็จะเป็นการไร้คุณธรรม อย่างใดก็ตามอีกฝ่ายก็เป็นพี่ชาย”

ท่านอ๋องฉีที่ร่างกายอ่อนแอนี้ยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี อีกทั้งชาติก่อนนางตายแล้ว แต่เมืองฉียังอยู่ ถึงแม้องค์รัชทายาทเมืองฉีจะไม่ได้กลับเมือง แต่เขาก็กลายเป็นท่านอ๋องฉีในเมืองหลวง

แต่ว่า…

“แต่ว่าอันใด” อาเถียนถามอย่างกังวล

เหล่าสาวรับใช้ที่ดูเหมือนจะพูดคุยสนุกสนาน แต่อันที่จริงภายในใจล้วนเป็นกังวลยิ่งนัก หนึ่งปีนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเกินไป

เฉินตันจูยิ้มปลอบโยนต่อพวกนาง “ข้าหมายถึงท่านอ๋องฉียอมรับโทษเร็วเสียเหลือเกิน”

ตามหลักแล้ว ท่านอ๋องฉียอมรับโทษเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นปีหน้า ชาตินี้คงเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของเมืองอู๋ เมืองอู๋ยอมจำนนต่อราชสำนักอย่างสงบ กองทัพของราชสำนักไม่ได้ถูกควบคุม เมืองโจวถูกตีแตกเร็วขึ้น ท่านอ๋องฉีเห็นว่าอำนาจใหญ่ไปแล้ว ใจของกองทัพกระจัดกระจาย ดังนั้นจึงยอมแพ้

“เดิมทีก็ไม่ควรเกิดสงคราม” อาเถียนถอนหายใจ “ดูเรื่องที่เกิดหลายสิบปีนี้ ล้วนมาจากเหล่าท่านอ๋อง ข้าว่าต่อจากนี้ฝ่าบาทคงไม่กล้าสถาปนาอ๋องให้เหล่าองค์ชายแล้ว”

เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ก็ได้ยินมาจากโรงน้ำชาเชิงเขา เฉินตันจูยิ้ม “สถาปนาอ๋องย่อมต้องสถาปนา เพียงแต่ไม่เหมือนกับเหล่าท่านอ๋ององค์ก่อนก็พอแล้ว”

ใช่แล้ว…ใช่แล้ว อาเถียน เยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อราวกับปล่อยวางภาระหนักลง ก่อนจะคิดได้ว่าสาวรับใช้สามคนอย่างพวกนาง ในมือถือสมุนไพร นั่งกังวลเรื่องการสถาปนาอ๋องของเหล่าองค์ชายภายในอาราม…ทันใดนั้นก็หัวเราะร่าขึ้นมา พวกนางกังวลไปเรื่อยเสียจริง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกนางเลยแม้แต่น้อย

ต่อมาเหมือนดั่งที่เฉินตันจูพูด ฮ่องเต้ยอมรับการรับโทษของท่านอ๋องฉี ไม่ได้ประหารเขา อภัยโทษตายให้เขา ส่วนบทลงโทษอื่น จะทำการตัดสินหลังจากเว่ยถิงสืบสวน

แต่ไม่ว่าอย่างใด ท่านอ๋องฉียอมรับผิด ตั้งแต่ราชสำนักมีคำสั่งลดพื้นที่ศักดินา เหล่าท่านอ๋องร่วมมือกันกำจัดขุนนางข้างตัวกษัตริย์ข่มขู่ราชสำนัก โจวชิงถูกลอบสังหาร จนกระทั่งฮ่องเต้ตัดสินใจเอาโทษเหล่าท่านอ๋อง สงครามสามอ๋องถือว่าสิ้นสุดลงในที่สุด

อีกทั้งประจวบกับช่วงเวลามงคลอย่างการอพยพเมืองหลวงของฮ่องเต้ ยิ่งเป็นการพิสูจน์สิ่งที่พระภิกษุฮุ่ยจื้อบอกว่าเมืองอู๋เป็นเมืองแห่งโอรสสวรรค์ ฮ่องเต้เสด็จไปสักการะพระที่วัดถิงอวิ๋นด้วยตนเองเป็นเวลาสามวัน อีกทั้งแต่งตั้งให้พระภิกษุฮุ่ยจื้อเป็นราชครู สุดท้ายตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ที่วัดถิงอวิ๋นเป็น…

“เมืองจางจิง! คล้ายกับที่ข้าเดาเอาไว้” เยี่ยนเอ๋อหัวเราะอย่างได้ใจในลาน

อาเถียนส่งเสียง “ห่างกันไกลเลยทีเดียว เจ้าทายไว้ว่าหนิงจิง”

ชุ่ยเอ๋อถามอยู่ด้านข้าง “พวกเราทั้งสามล้วนทายผิด ยังต้องให้เงินอยู่หรือไม่”

สาวรับใช้ทั้งสามนำชื่อเมืองหลวงมาวางพนัน อิงกูที่เดินผ่านกระทืบเท้ากระแอมไอ “ซนยิ่งนัก”

ทั้งสามคนหัวเราะคิกคัก

“หยุดเล่นได้แล้ว ฝนตกมาหลายวัน ยาเม็ดหวงมู่ล่าช้าไปมากแล้ว” อิงกูเร่งเร้าพวกนาง “หลายวันนี้มีแต่คนมาถามหา”

ร้านยาของอารามดอกท้อได้รับการยอมรับอย่างช้าๆ ในระยะนี้ ถึงแม้คนที่มารักษามีไม่มาก แต่คนที่มาซื้อยานับวันยิ่งมากขึ้น อย่างเช่น ชาสมุนไพร ยาเม็ดซานจา นอกจากนี้ยังมียาเม็ดหวงมู่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาการที่พบบ่อยอย่างร้อนในเป็นพิษ

เฉินตันจูพูดขึ้นหลังจากได้ยินจากภายในห้อง “วัตถุดิบเหลือไม่มากแล้ว หลายวันนี้เข้าเมืองไปซื้อกลับมา”

“คุณหนูปล่อยให้พวกนางอู้งาน” อิงกูพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเสนอ “หลายวันนี้คนในเมืองมีมาก หรือไม่ให้จู๋หลินไปบอกให้ร้านยาส่งมา”

เฉินตันจูยังไม่ทันพูด อาเถียนก็รีบส่ายหัว “ไม่ได้ ไม่ได้ จู๋หลินไปคนเดียวอาจพูดไม่รู้เรื่อง อีกทั้งเขาไม่ชอบพูด หน้าก็ดุ เมื่อถึงเวลาร้านยาไม่กล้าเก็บเงิน คุณหนูของพวกเราจะถูกคนอื่นนินทาเอา”

องครักษ์คนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังคาหัวเราะเยาะจู๋หลิน “แม่หญิงอาเถียนไม่ชอบเจ้าอย่างมาก”

จู๋หลินส่งเสียงไม่พอใจ อาเถียนไม่ได้ไม่ชอบเขา หากแต่กำลังพูดโกหก…เข้าเมืองซื้อยาไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญคุณหนูหลิวในหุยชุนถัง เขารู้ความคิดของนายบ่าวทั้งสองเป็นอย่างดี

อิงกูไม่รู้ความคิดของอาเถียน เพียงแค่รู้สึกว่านางพูดมีเหตุผล

ก่อนหน้านี้เนื่องจากมีข่าวลือเรื่องขวางทางรักษาโรค บอกว่าให้คุณหนูรักษาให้ต้องจ่ายสมบัติกว่าครึ่งตระกูล ทำให้คนจำนวนมากไม่กล้าเหยียบอารามดอกท้อ หากไม่ผ่านไม่ได้ หลังจากที่รักษาหายก็ล้วนมีท่าทีราวกับเพิ่งเล็ดรอดจากเหตุการณ์อันตราย หลบแทบไม่ทันเสียอย่างนั้น

เวลานี้ตามการรักษาไม่เก็บเงินของคุณหนู ราคายาไม่แตกต่างจากสำนักแพทย์อื่น ข่าวลือจึงค่อยๆ จางไป เวลานี้ทุกคนล้วนถูกการเคลื่อนไหวใหม่ของราชสำนักดึงดูด ลืมเรื่องคุณหนูตันจูในอารามดอกท้อไปแล้ว อิงกูไม่อยากให้คุณหนูเป็นที่สังเกตของคนภายนอกอีก

“ได้ ได้” นางพยักหน้า “ข้าไปดูในคลัง ขาดอันใดข้าจะเขียนลงมา”

ชุ่ยเอ๋อและเยี่ยนเอ๋อย่อมไม่อู้งานจริงๆ หลังจากคุยเล่นกันแล้ว ทั้งสองคนจึงหิ้วกาน้ำไปตักน้ำในป่า

อาเถียนหั่นยาอย่างขะมักเขม้น เฉินตันจูจัดเก็บบันทึกของตนเองต่อ ภายในอารามทั้งเงียบสงบทั้งมีชีวิตชีวา จู๋หลินที่นั่งอยู่บนหลังคาก็สงบราวกับไม่มีตัวตน จนกระทั่งมีคนลอยมาจากต้นไม้ด้านข้าง

“จู๋หลิน” องครักษ์คนนี้หยุดอยู่ข้างตัวของเขาอย่างเงียบเชียบ ก้มลงกระซิบข้างหูของเขา ก่อนจะชี้ไปยังทิศทางหนึ่งบนภูเขา

คิ้วของจู๋หลินขมวดขึ้น

ไม่ใช่ทุกคนล้วนจะไปดื่มชาในโรงน้ำชา ดังนั้นไม่ใช่ทุกคนที่ปีนขึ้นมาบนอารามดอกท้อจะมารักษาหรือซื้อยา

หลังจากฝนในฤดูใบไม้ผลิผ่านไป ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยความเขียวขจี บนอารามดอกท้อยิ่งสดชื่น ในฐานะที่เป็นภูเขาที่ใกล้ที่สุดจากเมืองหลวง คนที่เดินทางมาเที่ยวเล่นจึงมีจำนวนมาก

เวลานี้ริมบ่อน้ำล้อมรอบไปด้วยม่าน ภายในล้วนเป็นหญิงสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปด แต่งกายสวยงามนั่งอยู่บนเบาะผ้าไหม ล้อมอยู่ริมบ่อดื่มสุราเล่นสนุก

ชุ่ยเอ๋อและเยี่ยนเอ๋อเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์นี้ก็ผงะไป ถึงแม้ริมทางก็มีน้ำไหลผ่าน แต่ก็ไม่สะอาดเท่าน้ำในบ่อ พวกนางครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะเดินเข้ามา เมื่อเดินมาถึงหน้าม่านก็ถูกองครักษ์สองคนรั้งเอาไว้

“พวกข้ามาตักน้ำ” เยี่ยนเอ๋ออธิบาย “พวกข้ามาตักน้ำที่นี่ทุกวัน”

องครักษ์ไม่แม้แต่จะมองพวกนาง ส่ายหัว “เวลานี้ไม่ได้ ตอนบ่ายค่อยมาใหม่”

ตอนบ่ายหรือ เช่นนั้นพวกนางแม้แต่จะทำอาหารก็ทำไม่ได้

ชุ่ยเอ๋อขุ่นเคืองเล็กน้อย “ไม่ได้ เดิมทีบ่อน้ำนี้ก็เป็นของพวกข้า”

เวลานี้องครักษ์เหลือบมองพวกนาง เจ้าหนูสองคนหน้าตาไม่เลว แต่พูดจาโอหังเหลือเกิน “เหตุใดบ่อน้ำนี้จึงกลายเป็นของพวกเจ้า”

“เพราะว่าภูเขานี้เป็นของพวกข้า” ชุ่ยเอ๋อพูด ฟังจากสำเนียงขององครักษ์นี้ก็รู้ว่าเป็นคนต่างถิ่น “เจ้าลงไปถามที่เชิงเขาก็ย่อมรู้”

เช่นนี้หรือ องครักษ์ทั้งสองสบตากัน คนหนึ่งส่งสายตาให้อีกคน “ไปถามคุณหนู”

องครักษ์นั้นเดินเข้าม่านไป ชุ่ยเอ๋อและเยี่ยนเอ๋อเขย่งเท้ามองเข้าไปด้านใน ม่านที่พลิ้วไหวปิดบังใบหน้าของเหล่าหญิงสาว เห็นเพียงแต่รูปร่างงดงาม จากนั้นได้ยินเสียงของหญิงสาวพูดขึ้น

“ออกไป…”

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท