การจากไปของแม่ทัพหน้ากากเหล็กไร้วี่แววสำหรับเมืองอู๋ ไม่มีผู้ใดสนใจ เหมือนดั่งตอนที่เขาเข้าเมืองมา
ไม่มีสงครามไม่มีการปะทะ เขานำพาสามร้อยคนคุ้มกันฮ่องเต้ ถึงแม้หน้ากากเหล็กน่ากลัว แต่มีฮ่องเต้อยู่ ไม่มีผู้ใดจดจำคนอื่นได้
เมืองอู๋ในเวลานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน…มันกลายเป็นเมืองหลวงแล้ว
คนที่เดิมทีเตรียมตัวจะไปก็ไม่ไปแล้ว คนที่เดินทางจากไปก่อนหน้านี้ก็ถูกเรียกตัวกลับมา…ส่วนท่านอ๋องอู๋ที่กลายเป็นท่านอ๋องโจว? ไม่ต้องสนใจ มีท่านมหาราชครูเฉินเป็นตัวอย่าง ท่านอ๋องอู๋ที่กลายเป็นท่านอ๋องโจวไม่ใช่ท่านอ๋องของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
เหล่าขุนนางของซีจิงที่เตรียมตัวไว้ก่อนหน้านี้ เหล่าพ่อค้าที่รู้ข่าวต่างหลั่งไหลเข้ามา ประตูเมืองทั้งสี่ทิศของเมืองอู๋คึกคักทั้งเช้าทั้งเย็น
คนที่เดินทางผ่านเขาภูเขาดอกท้อก็กลับมามากขึ้น
เหมือนดั่งที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ คนที่รู้ชื่อเสียงของเฉินตันจูมีน้อยกว่าคนที่ไม่รู้ คนจากต่างถิ่นเดินทางเข้ามาจำนวนมาก
เฉินตันจูย่อมไม่ได้รั้งคนเอาไว้เหมือนโจร ใช่ว่าจะพบเจอคนที่มีวิกฤตชีวิตได้ทุกวัน
ถึงแม้คนจากต่างถิ่นจะสงสัยในตัวของหญิงสาวที่เปิดร้านยาคนนี้ แต่ไม่ได้ปฏิเสธยาที่อาเถียนมอบให้ อีกทั้งมีคนให้เฉินตันจูรักษาให้จริง
บางคนสงสัย บางคนสนุก บางคนพักผ่อน บางคนต้องการดูหญิงงาม หากดูอย่างเดียวคงไม่มีปัญหา เฉินตันจูก็ไม่สนใจที่จะถูกคนมอง นางเห็นคนหน้าตางดงามที่ผ่านไปมาก็มักจะจ้องมอง แต่หากมองมากเกินไป หรือพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด…หญิงงามเพียงนี้มาเปิดร้านอยู่ริมทาง ถึงจะบอกว่าเปิดร้านยา แต่บางทีเบื้องหลังอาจเป็นกิจการอย่างอื่น ถึงแม้จะเปิดร้านยาจริง ก็คงไม่ใช่คนในตระกูลชนชั้นสูงอะไร ตระกูลเล็กถึงจะให้หญิงสาวออกมาเปิดเผยหน้าตา รังแกเสียหน่อยก็ไม่เป็นอะไร…
ดังนั้นจึงมักมีคนที่ไม่รู้เรื่องเดินเข้าไป จากนั้นถูกจู๋หลินตีเกือบตาย ก่อนจะเรียกคนจากที่ว่าการมา…เวลานี้เฉินตันจูไม่ต้องไปฟ้องศาลในเมือง หากแต่ให้องครักษ์ไปเรียกคนมา
เวลานี้หลี่จวิ้นโส่วยังคงเป็นจวิ้นโส่ว ถึงแม้จะมีขุนนางของราชสำนักรับมือเรื่องต่างๆ ในเมืองอู๋แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ถูกถอนตำแหน่ง ดังนั้นเขายิ่งระวังมากขึ้น
ทันทีที่เฉินตันจูบอกว่าต้องการฟ้องร้อง เขาก็รีบส่งคนมา…จะให้เฉินตันจูมาที่ว่าการไม่ได้ ยิ่งไปฟ้องต่อหน้าฮ่องเต้ยิ่งไม่ได้
หลังจากคนจากที่ว่าการมาถึง คำถามเดียวที่ถามเฉินตันจูก็คือ “ผู้ใด” เฉินตันจูชี้ไปที่ใคร พวกเขาก็รีบจับคนผู้นั้นไป โทษหนักขังเข้าคุก โทษเบาขับไล่ออกจากเมือง ยึดสมบัติที่พกติดตัวมามอบให้เฉินตันจู…ทำให้คนที่มุงดูต่างอกสั่นขวัญแขวน
คนในพื้นที่ที่เห็นและได้ยินเหตุการณ์คุ้นชินอย่างมาก พูดทับถม “สมควร สวรรค์มีทางเจ้าไม่เดิน ดันบุกเข้าไปในตำหนักยมราช”
หลังจากนี้หลายครั้ง คนต่างถิ่นที่หาที่ตายก็น้อยลง ไม่ต้องให้หญิงชราขายชาตักเตือน บนถนนเส้นนี้ไม่ได้มีเพียงนางที่ขายชา โรงน้ำชาระหว่างทางมักจะตักเตือนผู้คนด้วยความหวังดี เดินทางผ่านเส้นทางนี้ต้องระวัง คนที่มีโรคต้องระวัง คนที่ไม่มีโรคก็ต้องระวัง ด้านหน้ามีภูเขาดอกท้อ บนภูเขาดอกท้อมีอารามดอกท้อ ภายในอารามมีคุณหนูรองเฉิน…
…
“คุณหนูตันจู มียาที่ไม่เสียเงินจริงหรือ”
คนที่เดินทางถามอย่างระวังอยู่ด้านหน้าร้านยา ชะโงกหัวพินิจตู้ยา สายตาเคลื่อนผ่านหญิงสาวที่นั่งอยู่ ไม่กล้าจับจ้องนาน
เฉินตันจูตอบรับ ถามเขา “เจ้าไม่สบายหรือ เข้ามาให้ข้าดูเถิด”
คนที่เดินทางกลัวจนก้าวถอยหลัง “ข้าไม่ได้ป่วยอะไร เพียงแต่ระยะนี้เจ็บคอเล็กน้อย ดื่มน้ำให้มากก็พอ หากมียาที่ชงน้ำดื่ม…”
เฉินตันจูไม่ได้บังคับให้เขาเข้ามา จากนั้นจึงเรียกขานอาเถียน “นำยาที่ทำเมื่อวานให้ลุงท่านนี้”
อาเถียนหยิบยาห่อหนึ่งออกมาจากตู้ยาส่งให้เขา “ท่านนำกลับไปดื่ม หากไม่หายกลับมาเอาได้อีก”
คนที่เดินทางกล่าวขอบคุณก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว
อาเถียนหันกลับมาเบะปากต่อเฉินตันจู “คุณหนู พวกเราให้ไม่เก็บเงินเช่นนี้ ให้ออกมาจำนวนมาก เงินที่ได้มาจากคราวที่แล้วจะใช้หมดอยู่แล้ว”
เฉินตันจูหยิบขนมดอกหอมหมื่นลี้ พลางถาม “เรามีลังไม้ที่ยึดมาจากคนที่ถูกจับตัดมือครั้งก่อนไม่ใช่หรือ”
“ใกล้จะหมดแล้วเช่นเดียวกัน” อาเถียนพูด “อีกทั้งลังไม้นั้นไม่มีของมีค่ามากมายนัก”
เฉินตันจูกินขนม “ใช่ ต้องมีคนที่มารักษาอีกคน หรือไม่ก็ต้องมีคนมาล่วงเกินข้าอีกคน…”
อาเถียนหัวเราะ “คุณหนู เรื่องนี้เป็นเรื่องขมขื่น เหตุใดท่านจึงพูดได้น่าขันเช่นนี้”
เฉินตันจูส่งขนมชิ้นหนึ่งเข้าปากนาง พูดด้วยรอยยิ้ม “ขมตรงไหน หวานมากต่างหาก”
อาเถียนกินลงไปในคำเดียว ก่อนจะลิ้มรสอย่างละเอียด “หวานก็จริง แต่เลี่ยนไปเล็กน้อย ฝีมือของอิงกูสู้แม่ครัวในจวนไม่ได้”
เสียดายที่แม่ครัวคนนั้นถูกเลิกจ้างไปแล้ว เวลานั้นควรขอมาให้คุณหนู
ชาติก่อนแม้แต่อิงกูก็ไม่มี นางพึงพอใจแล้ว เฉินตันจูกินขนมด้วยรอยยิ้ม หลังจากกินเสร็จก็หาวขึ้นมา
“ถึงเวลานอนกลางวันแล้ว” อาเถียนพูด ก่อนจะรับชามมา ยกกาน้ำชาเล็กขึ้น เร่งเร้าให้เฉินตันจูกลับอาราม
เฉินตันจูพยักหน้า ทำการค้าไม่เร่งรีบ ถึงเวลาต้องพักผ่อนก็พักผ่อน
อาเถียนขึ้นเขาพร้อมนาง ก่อนจะมองต้นไม้รอบด้านเรียกขานหาจู๋หลิน “เฝ้าเพิงไว้ให้ดี”
จู๋หลินยืนพิงต้นไม้อยู่บนกิ่งมองดูนายบ่าวที่กำลังสนทนากันเดินขึ้นเขาไป เขาเบะปาก เพิงนั้นมีอะไรให้เฝ้า ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เสียหน่อย กลัวที่จะโดนปล้นหรืออย่างไร
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและรวดเร็ว
เชื่องช้าเพราะเมืองหลวงมีคนจำนวนมาก ระยะนี้เฉินตันจูเข้าเมืองน้อยครั้ง อีกทั้งไม่ได้ไปร้านยาตระกูลหลิวอีก แต่ละวันทำกิจกรรมซ้ำไปซ้ำมา เก็บยา ผลิตยา มอบยา อ่านตำราแพทย์ เขียนบันทึก ซ้ำซ้อนจนเฉินตันจูนึกว่าตนเองกำลังฝัน จนกระทั้งจู๋หลินส่งข่าวของคนในตระกูลมา ทำให้เฉินตันจูรู้ว่าชีวิตนี้แตกต่างจากชาติก่อน
รวดเร็วเพราะนางตื่นขึ้นมาท่ามกลางหยาดฝนในฤดูใบไม้ผลิ จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นชุดในฤดูร้อน จนกระทั่งเวลานี้สวมใส่ชุดผ้านุ่น เวลาผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
ฤดูหนาวมาเยือนเมืองอู๋ ส่วนเชื้อสายราชวงศ์คนแรกก็เดินทางมาถึงเมืองอู๋
วันนี้เชิงเขาเปิดทาง ร้านยาและโรงน้ำชาไม่อนุญาตให้เปิด ถึงแม้จะเป็นเฉินตันจูก็ไม่ได้ เฉินตันจูก็ไม่ดื้อดึงจะเปิด นางนำเยี่ยนเอ๋อและอิงกูยืนมองขบวนทหารเคลื่อนที่ไปอยู่บนไหล่เขา ภายในขบวนมีชายหนุ่มที่ตัวสวมชุดผ้าไหม หัวสวมที่ครอบทองคำ…
แสงแดดท่ามกลางป่าไม้ ทำให้เห็นใบหน้าอันงดงามของเขา ลักษณะที่แตกต่างจากบุตรหลานชนชั้นสูงของเมืองอู๋
“ผู้ใดกัน” เยี่ยนเอ๋อถามอย่างสงสัย
อาเถียนไม่คาดเดา นางเรียกขานจู๋หลิน จริงสิ พวกนางมีองครักษ์ของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก องครักษ์นี้เป็นคนซีจิง ย่องต้องคุ้นชินกับเชื้อสายราชวงศ์
จู๋หลินยืนอยู่บนต้นไม้ไม่อยากตอบ แต่ก็ไม่ตอบไม่ได้ จึงพูดขึ้น “องค์ชายห้า”
ที่แท้ก็เป็นองค์ชาย อาเถียนและคนอื่นยิ่งคึกคัก พูดจาถกเถียงกันอย่างสนุกสนาม ด้านหลังขององค์ชายห้ามีรถม้าอีกหนึ่งคัน ทั้งโบราณและหรูหรา
“คนที่นั่งอยู่ในรถคือผู้ใด พระชายาหรือ” อาเถียนถามอย่างสงสัย
จู๋หลินกระแอมไป “องค์ชายห้ายังไม่แต่งงาน”
ไม่ใช่พระชายา แล้วคนที่นั่งอยู่ในรถคือผู้ใด อาเถียนสงสัย ในขณะที่พวกนางกำลังคาดเดา เฉินตันจูที่ยืนเงียบอยู่ด้านหลังพวกนางพูดขึ้นเสียงเบา “คือองค์ชายสามใช่หรือไม่”
จู๋หลินได้ยิน สายตาของเขาก็ตกตะลึง
นางเดาได้อย่างไรว่าเป็นองค์ชายสาม