ผู้ติดตามขององค์ชายห้าบอกคุณชายเหวินว่าองค์ชายห้ากำลังรอคอยพบใครบางคนก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว ต่อจากนั้นเขาไม่ได้พูดอันใดอีก เพียงแค่ขอตัวจากไป
คุณชายเหวินนั่งลงดื่มชา คาดเดาตัวตนของอีกฝ่าย
ผู้ที่ทำให้องค์ชายห้ารอคอยได้ย่อมเป็นบุคคลสำคัญ หลังจากผ่านมาครึ่งปี หลายวันก่อนเขาก็ได้พบกับองค์ชายห้าที่เที่ยวเล่นอยู่บนแม่น้ำเป่ยหูในที่สุด
ถึงแม้องค์ชายห้าไม่รู้จักเขา แต่เขารู้จักเหวินจง ราชสำนักครอบครองข่าวของผู้เป็นขุนนางสำคัญของเหล่าท่านอ๋องทุกคน ถึงแม้ท่านอ๋องจากไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่องค์ชายห้าขุนนางของท่านอ๋องเหล่านี้ น้ำเสียงยังคงเต็มไปด้วยความเสียดสี
คุณชายเหวินแสดงความจงรักภักดีและไร้ทางเลือกของบิดาที่มีต่อราชสำนัก ในฐานะบุตรหลานขุนนางในเมืองอู๋ เขาเชี่ยวชาญในการเล่นสนุกอย่างมาก ดังนั้นจึงสามารถทำให้องค์ชายห้าอารมณ์ดีได้อย่างรวดเร็ว องค์ชายห้าจึงให้เขาช่วยหาจวนที่เหมาะสมหนึ่งหลัง
ต่อมาก็คือการสานสัมพันธ์กับเหล่าขันทีขององค์ชายห้า ตัวขององค์ชายห้าไม่อาจพบเจอได้บ่อยนัก พบหน้ากันเพียงระยะสั้น คุณชายเหวินก็มองออกว่าองค์ชายห้าเป็นผู้ที่อารมณ์ร้ายและมีนิสัยหยิ่งยโส
องค์ชายห้าเคารพเพียงองค์รัชทายาท ส่วนองค์ชายอื่นล้วนไม่อยู่ในสายตาเขา หรืออาจจะบอกได้ว่าไม่ถูกชะตา
องค์ชายสองและองค์ชายสี่ก็เข้าเมืองมาแล้ว ถึงแม้เวลานี้พวกเขาจะเข้าเมืองมา แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับจวนของตนเองในสายตาองค์ชายห้า
หรือว่าจะเป็นองค์รัชทายาท?
คุณชายเหวินเรียกผู้ติดตามเข้ามา “มีข่าวองค์รัชทายาทเข้าเมืองหรือไม่”
เหวินจงติดตามท่านอ๋องอู๋ไป แต่เขาทิ้งคนที่สะสมมาทั้งชีวิตเอาไว้ในเมืองอู๋ เพียงพอที่จะเป็นหูเป็นตาให้คุณชายเหวิน
ผู้ติดตามนั้นส่ายหัว “ไม่ได้ข่าวขอรับ อีกทั้งไม่มีทางที่องค์รัชทายาทเข้าเมืองอย่างไร้เสียง เขานั่งบัญชาการในเมืองเก่า ความมั่นคงของเมืองเก่าและเมืองใหม่ล้วนไม่มีเขาไม่ได้ อีกทั้งยังมีฮองเฮาอีก”
ขบวนนั้นคงต้องยิ่งใหญ่กว่าเหล่าองค์ชาย พระสนม และองค์หญิงก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน ฝ่าบาทก็คงต้องเดินทางไปรับด้วยตนเอง
แต่ยังมีองค์ชายใดอีก
“ยังมีองค์ชายหก” ผู้ติดตามพูด
คุณชายเหวินหัวเราะออกมาโดยไม่คิด องค์ชายหก องค์ชายหกเทียบไม่ได้แม้แต่องค์ชายสองหรือองค์ชายสี่ เขาเปรียบดั่งคนตายในสายตาขององค์ชายห้า
หากเป็นคนขององค์รัชทายาท? ก็มีความเป็นไปได้ คุณชายเหวินให้ผู้ติดตามไปสืบข่าว ผู้ติดตามรีบออกไปทันที ก่อนจะวิ่งกลับมาอีกครั้ง
“คุณชาย แย่แล้วขอรับ” ผู้ติดตามพูดเสียงต่ำ “เฉินตันจูฟ้องตระกูลเกิ่งขอรับ”
คุณชายเหวินรู้จักสองชื่อนี้อย่างดี แต่สองชื่อนี้เชื่อมโยงกัน ทำให้เขาผงะไป รู้สึกเหมือนฟังไม่ชัด
“เฉินตันจูกับตระกูลเกิ่ง?” เขาพึมพำ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “หรือว่าเป็นเพราะเรื่องตระกูลเฉา”
ผู้ติดตามผงะเมื่อได้ยินเขาพูด ก่อนจะหัวเราะออกมา “ไม่เกี่ยวกันขอรับ”
คุณชายเหวินก็หัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน จริงสิ เฉินตันจูจะรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนตระกูลเฉา? เฉินตันจูเป็นใคร เขาคิดอันใดอยู่กัน
แต่สองคนนี้ไม่เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย เหตุใดจึง
“อย่าพูดเลย” ผู้ติดตามพูด “ระยะนี้เหล่าคุณหนูจากเมืองหลวงชอบเที่ยวเล่นไปทั่ว คุณหนูตระกูลเกิ่งก็เช่นเดียวกัน นางพาคนกลุ่มหนึ่งเดินทางไปภูเขาดอกท้อ”
เขาส่งเสียงจึ๊
“จากนั้นพบกับเฉินตันจู สุดท้าย ไม่รู้ว่าเป็นไปอย่างใด เฉินตันจูลงมือทำร้ายคุณหนูตระกูลเกิ่งขึ้นมา”
คุณชายเหวินหัวเราะ
“ไม่เพียงทำร้าย นางยังฟ้องที่ว่าการอำเภอก่อน อีกทั้งยังเรียกให้ลงโทษตระกูลเกิ่ง ตระกูลเกิ่งจึงไม่ยอมจึงไปเอาความเหมือนกัน ไม่เพียงตระกูลเกิ่ง ยังมีอีกหลายตระกูลที่อยู่ในเหตุการณ์เวลานั้นด้วย”
บัดนี้ข่าวแพร่กระจายออกไปแล้ว เหล่าราษฎรต่างหลั่งไหลไปดูยังที่ว่าการ
คุณชายเหวินหัวเราะร่า “ไป พวกเราก็ไปดูเฉินตันจูนี้จะหาที่ตายอย่างใด”
ความคึกคักด้านนอกจวิ้นโส่วฝู่คนด้านในไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย หลังจากความโหวกเหวกผ่านไปในโถงด้านหลังของจวิ้นโส่วฝู่ ในที่สุดก็เงียบสงบลง…เถียงจนเหนื่อยแล้ว
เฉินตันจูขอน้ำชามาดื่ม หลี่จวิ้นโส่วไม่อยากให้นางอย่างมาก ก่นด่าอยู่ภายในใจ แต่เห็นว่านายท่านคนอื่นต่างก็ต้องการ ทำได้เพียงให้คนถวายน้ำชา
“ทุกท่าน ความเป็นมาของเรื่องนี้ข้าจับใจความได้แล้ว” หลี่จวิ้นโส่วพูด ภายในใจคิดว่าอารมณ์ของพวกเขาก็ระบายจนเกือบหมดแล้ว “ความเป็นมาของเรื่องนี้คือ คุณหนูเกิ่งและคนอื่นขึ้นไปเที่ยวเล่นบนภูเขา กระทบต่อการตักน้ำของคุณหนูตันจู คุณหนูตันจูจึงเรียกเก็บค่าขึ้นเขากับคุณหนูเกิ่งและคนอื่น จากนั้นเกิดปากเสียงกัน คุณหนูตันจูจึงลงมือทำร้าย ใช่หรือไม่”
นายท่านเกิ่งและคนอื่นไม่มีความเห็น เพียงแค่มั่นใจว่าเกิดปากเสียงกัน และคุณหนูตันจูจึงลงมือทำร้ายคนก่อนก็พอ
เฉินตันจูดื่มชา ก่อนจะส่งเสียงไม่พอใจ “อันใดเรียกกระทบ ขัดขวางและขับไล่คือคำว่ากระทบหรือ อีกอย่างการกระทำนั้นกระทบต่อการตักน้ำของข้าเพียงอย่างเดียวหรือ การกระทำนั้นคือกระทบต่อข้าในฐานะเจ้าของภูเขา”
หลี่จวิ้นโส่วหัวเราะ สีหน้าเสียดสีอย่างปิดบังไม่ได้ คุณหนูตันจู ท่านยังมีชื่อเสียงอันใดอีก ท่านคิดว่าภูเขาลูกนี้เป็นของตนเองอีกหรือ หากไม่ใช่ชุดขุนนางบนตัว เขาก็คงอยากถามเหมือนเหล่าคุณหนู พ่อท่านไม่ใช่ขุนนางของท่านอ๋องอู๋แล้ว ยังยึดภูเขาที่ท่านอ๋องอู๋พระราชทานให้อีกหรือ
ความอดทนของเขาใช้หมดลงแล้ว เหตุใดขุนนางอู๋ ราษฎรอู๋จึงมีเฉินตันจู
“คุณหนูตันจู ถึงแม้คุณหนูเกิ่งจะทำผิดก่อน” หลี่จวิ้นโส่วพูดอย่างเรียบเฉย “เงินท่านก็เก็บแล้ว คนท่านก็ทำร้ายแล้ว ท่านต้องการอันใดอีก”
คนโง่ก็ฟังออกว่าหลี่จวิ้นโส่วกำลังตำหนิเฉินตันจู อาเถียนรีบพูดขึ้นมา “ใต้เท้า ท่านหมายความอย่างใด คุณหนูของพวกข้าก็ถูกทำร้ายเหมือนกัน”
สาวรับใช้ก็กล้าตำหนิเขา? มีนายอย่างใดก็ย่อมมีบ่าวอย่างนั้น หลี่จวิ้นโส่วเย่อหยิ่งไม่สนใจ
อาเถียนทั้งอายทั้งโกรธ น้ำตาวนเวียนอยู่ในดวงตา แต่ไม่ยอมตกลงมา
เฉินตันจูดึงนางกลับมา ไม่ได้ร้องไห้ แต่พูดอย่างจริงจัง “สิ่งที่ข้าต้องการง่ายมาก แค่เพียงท่านลงโทษพวกเขา เช่นนี้ย่อมเป็นตัวอย่างได้ ต่อไปจะได้ไม่มีคนกล้ามารังแกข้าที่ภูเขาดอกท้อ อย่างใดข้าก็เป็นหญิง อีกทั้งตัวคนเดียว ไม่เหมือนคุณหนูเกิ่งที่มีคนจำนวนมาก ข้าสามารถทำร้ายนางคนเดียวได้ แต่ทำร้ายคนมากเช่นนี้ไม่ได้”
หลี่จวิ้นโส่วโกรธจนหัวเราะออกมา “คุณหนูตันจูวางใจเถิด ต่อจากนี้ไม่มีผู้ใดไปภูเขาดอกท้อของท่าน…”
เขาพูดถึงตรงนี้ นายท่านเกิ่งก็แทรกขึ้น
“ใต้เท้า เรื่องนี้ต้องสืบให้ดี” เขาพูด “ครานี้พวกข้าถูกทำร้าย รู้แล้วว่าภูเขาดอกท้อแตะไม่ได้ แต่คนอื่นไม่รู้ ยังมีราษฎรที่อพยพมาใหม่อย่างต่อเนื่อง ภูเขานี้อยู่นอกเมืองหลวง เกิดจากธรรมชาติ ทุกคนย่อมเดินขึ้นไปชมวิวอย่างไม่ทันระวัง หากพวกเขาล้วนต้องถูกคุณหนูตันจูชิงทรัพย์หรือทำร้าย สังคมภายใต้เท้าของโอรสสวรรค์คงพังทลาย ข้าว่าต้องหารือกันให้ดี ภูเขาดอกท้อนี้เป็นของคุณหนูตันจูจริงหรือไม่ จะได้ประกาศให้ราษฎรได้รู้”
เห็นหรือยัง คนอื่นไม่ยอมเลิกราแล้ว เขาต้องการถลกหนังท่านลงมาให้ได้ หลี่จวิ้นโส่วมองเฉินตันจูด้วยความสงสาร เฉินตันจูเอ๋ยเฉินตันจู เจ้ายังคิดว่าบัดนี้เป็นเวลาที่เจ้าจะยโสโอหังได้หรือ
เฉินตันจูไม่รู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย “มีอันใดต้องหารือ ภูเขานี้เป็นของตระกูลข้า คนในเมืองอู๋ต่างรู้ดี”
“มีโฉนดที่ดินหรือ” นายท่านของอีกตระกูลถาม
“โฉนดที่ดิน?” เฉินตันจูส่งเสียงไม่พอใจ “โฉนดที่ดินคือพระราชโองการของท่านอ๋องอู๋”
“พระราชโองการท่านอ๋องอู๋เล่า?” นายท่านของอีกตระกูลถาม
“พระราชโองการของท่านอ๋องอู๋…” เฉินตันจูชะงักไป พระราชโองการย่อมมีการบันทึกไว้ในพระราชวัง แต่ก็ล้วนถูกส่งไปพร้อมท่านอ๋องอู๋ นางชี้นิ้วออกไป “อยู่เมืองโจว”
“ท่านอ๋องอู๋ไม่ใช่ท่านอ๋องอู๋อีกต่อไป พ่อของเจ้าก็ไม่ใช่ขุนนางของท่านอ๋องแล้ว” นายท่านเกิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “มีหรือไม่มีสิ่งนี้ เอาออกมาให้ทุกคนได้เห็นเสียดีกว่า เชิญคุณหนูตันจูไปนำพระราชโองการมาเถิด”
อาเถียนกำมือแน่น ถึงแม้นางจะเป็นสาวรับใช้ที่ไม่รู้อันใดแม้แต่น้อย แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้…ท่านอ๋องอู๋จะมอบให้ได้อย่างใด โดยเฉพาะเฉินเลี่ยหู่ทำเรื่องทรยศท่านอ๋องอู๋ต่อหน้าทุกคนเช่นนั้น ท่านอ๋องอู๋เกลียดแค้นตระกูลเฉินอย่างมาก
ไปขอพระราชโองการย่อมไม่มีทางได้ บางทีอาจเรียกคืนพระราชโองการเสียด้วยซ้ำ
ครานี้จะทำอย่างใด คนเหล่านี้ คนเหล่านี้บีบบังคับรังแกคุณหนู…
โถงด้านหลังเงียบสงบ ตระกูลเกิ่งและคนอื่นมองเฉินตันจูด้วยใบหน้าเย็นชา หลี่จวิ้นโส่วและขุนนางอีกสองคนก็ไม่พูดจา
จู๋หลินสีหน้าเรียบเฉย เรื่องเก่าที่เกี่ยวข้องกับตระกูลท่านและท่านอ๋องอู๋ ยกท่านแม่ทัพออกมาก็ไม่มีประโยชน์
เขาครุ่นคิดวิธีเล่าเรื่องนี้ให้ท่านแม่ทัพฟังเสียดีกว่า เพิ่งบอกว่าคุณหนูตันจูอยู่อย่างสงบ สุดท้ายผ่านไปไม่นานก็ก่อเรื่องทำร้ายฟ้องร้อง ทำให้ตระกูลชั้นสูงเจ็ดแปดตระกูลขุ่นเคือง