เฉินตันจูทำท่าทางราวกับถูกถามจนตอบไม่ถูก
นางกัดริมฝีปากล่าง ขนตาหลุบต่ำ น้ำตาหลั่งไหลลงมา “พวกท่านรังแกข้า…” ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดเอาไว้ ร้องไห้จนไหล่สั่นเทา
หลี่จวิ้นโส่วกลอกตาขาวอยู่ด้านข้าง มาไม้นี้อีกแล้ว เหล่าคนที่เกลียดนางไม่สนใจน้ำตาของนางแม้แต่น้อย
นายท่านเกิ่งรีบขัด “รังแกหรือไม่ คุณหนูตันจูนำพระราชโองการออกมา หลังจากที่ว่าการตัดสินแล้วค่อยว่ากันเถิด หากเวลานั้นที่ว่าการตัดสินว่าพวกข้าผิด พวกข้าเป็นคนรังแกคุณหนูตันจู พวกข้าย่อมต้องให้คำอธิบายกับคุณหนูตันจู”
แต่การสมมุตินี้ไม่มีทางเป็นไปได้
เฉินตันจูไม่มีทางนำพระราชโองการออกมาพิสูจน์ว่าภูเขานี้เป็นของนาง หลี่จวิ้นโส่วยืนมองอยู่ด้านข้างอย่างเย็นชา คำโบราณว่าไว้ผู้ที่น่าเวทนาย่อมมีส่วนที่น่าเกลียดชัง ส่วนเฉินตันจูมีเพียงส่วนที่น่าเกลียดชังไม่มีส่วนที่น่าเวทนาแม้แต่น้อย…สถานการณ์ในเวลานี้ล้วนเป็นสิ่งที่นางสมควรได้รับ
ทำร้ายคนก็ทำร้ายไปแล้ว หากไม่พูดไม่จา คนเหล่านี้อาจไม่เอาผิด อย่างมากต่อจากนี้แค่เดินอ้อมเจ้า แต่เจ้ากลับยังวิ่งมาฟ้องที่ว่าการ ดังนั้นก็อย่าโทษว่าคนอื่นตัดทางรอด ขับไล่เจ้าออกจากภูเขาดอกท้อ ทำให้เจ้าไร้ที่ยืนในเมืองหลวง
อันที่จริงนางควรจะจากไปเหมือนดั่งบิดาของนาง ไม่รู้ว่าจะอยู่เพื่ออันใด หลี่จวิ้นโส่วยืนมองอย่างไม่พูดแม้แต่คำเดียว
เฉินตันจูเงยหน้าขึ้น มองซ้ายมองขวา ราวกับหาตัวช่วยไม่ได้แม้แต่คนเดียว ดังนั้นนางจึงเช็ดน้ำตา พลางพูด “ข้าจะเข้าพบฝ่าบาท”
อ่อ หลี่จวิ้นโส่วนึกขึ้นได้ ครั้งแรกที่เฉินตันจูฟ้องหยางจิ้งลวนลาม ทำให้ฮ่องเต้ตื่นตระหนก ฮ่องเต้ยังส่งขันทีและทหารมาซักถาม คุ้มครองเฉินตันจู แต่หากจะบอกว่าฮ่องเต้คุ้มครองเฉินตันจู สู้บอกว่าฮ่องเต้ต้องการสร้างพลานุภาพให้แก่ขุนนางอู๋และราษฎรอู๋ในเวลานั้น เพราะเวลานั้นท่านอ๋องอู๋ยังไม่ยอมจากไป การเรียกคืนพื้นดินอู๋ยังไม่สำเร็จ
แต่บัดนี้…
หลี่จวิ้นโส่วยังไม่ทันพูด นายท่านเกิ่งยิ้มขึ้น “เข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือ” รอยยิ้มของเขาเย็นชาและเสียดสี นางจะใช้ฮ่องเต้มาข่มพวกเขาหรือ “ได้” เขาจัดระเบียบเครื่องแต่งกาย “ข้าก็ต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทถามท่านอ๋องโจวว่ามีเรื่องนี้หรือไม่ มีพระราชโองการนี้หรือไม่”
เขาพูดจบ มีคนอีกสองตระกูลยืนขึ้น สนับสนุนการขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท
คิดว่ามีแค่นางที่สามารถเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้หรือ อย่าลืมว่าฝ่าบาทเดินทางมาถึงเมืองอู๋ยังไม่ถึงหนึ่งปี แต่อยู่ในเมืองซีจิงตั้งแต่กำเนิดจนเติบโตมาสี่สิบกว่าปี ตระกูลของพวกเขาล้วนมีคนเป็นขุนนางในราชสำนัก ถึงแม้จะไม่ใช่เชื้อสายราชวงศ์ แต่พวกเขาก็มีโอกาสเข้าออกพระราชวัง เข้าเฝ้าฝ่าบาท พูดชื่อแซ่ของผู้อาวุโสในตระกูล ฮ่องเต้ล้วนรู้จัก
เข้าเฝ้าฝ่าบาทมีสิ่งใดน่ากลัว ก็คงมีเพียงทำให้คนเมืองอู๋เหล่านี้กลัวได้เท่านั้น
หลี่จวิ้นโส่วยังพูดอะไรได้อีก แม้แต่เขายังไม่อาจเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้ตามใจ คดีที่เกี่ยวข้องกับการกบฏก่อนหน้านี้ เขาสามารถเข้าทูลฝ่าบาท ให้ฝ่าบาทตัดสินได้ แต่เวลานี้เรื่องนี้คืออันใดกัน เกี่ยวอะไรกับฮ่องเต้ หรือว่าต้องให้เขาไปบอกฮ่องเต้ว่า เหล่าคุณหนูมีเรื่องทะเลาะกัน ขอให้ท่านช่วยตัดสิน?
ฮ่องเต้อาจตัดสินเขาก่อนว่ามีสิทธิ์ในการเป็นจวิ้นโส่วอยู่หรือไม่
ในเมื่อพวกท่านทั้งสองฝ่ายเก่งกาจเพียงนี้ ก็เชิญตามสบายเถิด
คนกลุ่มหนึ่งย่อมไม่อาจถลาเข้าไปในพระราชวังเช่นนี้ อย่างไรพระราชวังไม่ใช่ที่ว่าการ ดังนั้นจึงส่งคนของตนเองเดินทางไปรายงานในพระราชวัง ส่วนฮ่องเต้จะพบหรือไม่ พบเมื่อใดก็มีเพียงรอคอยเท่านั้น
เฉินตันจูย่อมต้องส่งจู๋หลินไปส่งข่าว
จู๋หลินเดินทางมายังหน้าประตูพระราชวังด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก ทุกครั้งที่เขายกเท้าขึ้นก็ชักกลับมาทันที มีความคิดอยากจะหันหลังวิ่งออกประตูเมืองไปทางเมืองโจวพบท่านแม่ทัพ เขาไม่มีหน้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทจริงๆ
องครักษ์รักษาพระองค์ของพระราชวังพบเขาเข้า จึงเรียกขานจับเขามา ถามเขาว่าเป็นผู้ใดจึงแอบมองอยู่ด้านหน้าพระราชวัง…
จู๋หลินก้มหน้าไม่อยากให้พวกเขาเห็นหน้าของตนเอง แต่ถูกค้นพบป้ายห้อยเอวบนตัว…
องครักษ์หลวง! เหล่าองครักษ์รักษาพระองค์ตกใจ ก่อนจะมีหัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์ที่เดินทางมาหลังจากได้ข่าวเขาจำจู๋หลินได้ รู้ว่าจู๋หลินเป็นคนที่ฮ่องเต้พระราชทานให้แม่ทัพหน้ากากเหล็ก ไม่ต้องให้
จู๋หลินเอ่ยปาก เขาก็นำพาจู๋หลินมาหาฮ่องเต้โดยตรง
ทางฮ่องเต้ราวกับมีคนจำนวนไม่น้อย ภายในตำหนักมีเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาเป็นครั้งครา เมื่อได้ยินว่าจู๋หลินขอเข้าเฝ้า ฮ่องเต้ก็ประหลาดใจเล็กน้อย ให้ขันทีคนหนึ่งมาถามว่ามีเรื่องอันใด
จู๋หลินก้มหน้ามองเท้าไม่พูดไม่จา ขันทีจึงเร่งเร้าอย่างรีบร้อน “มีอันใดรีบพูด ฝ่าบาทกำลังยุ่งอยู่ยังให้ข้ามาถาม เจ้ากำลังล้อฝ่าบาทเล่นหรือ”
จู๋หลินคิดภายในใจ ฝ่าบาทกำลังยุ่ง เขาพูดเรื่องนี้ออกมาถึงจะเป็นการล้อฝ่าบาทเล่น แต่เรื่องมาถึงบัดนี้ก็ไม่มีวิธีอื่น เขาทำได้เพียงก้มหน้าพูด
ขันทีคิดว่าตนเองได้ยินผิด ถามขึ้นอีกครั้งอย่างเหลือเชื่อ จู๋หลินเงยหน้ามองสีหน้าแปลกประหลาดของขันที เขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง “คุณหนูตันจูทะเลาะกับคนอื่น ขอให้ฝ่าบาทตัดสินความเป็นธรรม”
ขันทีชี้หน้าเขา สีหน้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะตายหรือตนเองจะตาย ก่อนจะมองไปยังขันทีเล็กที่ชะเง้อมองออกมาจากข้างในเป็นเชิงเร่งเร้าว่าฝ่าบาทรออยู่ ขันทีจึงทำได้เพียงกระทืบเท้าหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าไป
จู๋หลินเงยหน้าเห็นด้านในมีคนอยู่ไม่น้อย แต่ละคนแต่งกายงดงาม อีกทั้งยังมีคนเรียก “เสด็จพ่อ ข้าเป็นลูกแท้ๆ ของท่าน…”
ถึงแม้จะไม่เห็นหน้า แต่จู๋หลินจำได้ว่าเป็นเสียงขององค์ชายห้า ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะขององค์ชายสองและองค์ชายสี่…พูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้ ช่างขายหน้าเสียจริง อีกทั้งยังเป็นหน้าของท่านแม่ทัพ
จู๋หลินก้มหน้าลง ประตูก็ปิดลง ปิดกั้นเสียงพูดคุยภายใน
องค์ชายทั้งหลายล้วนชอบพูดชอบหัวเราะ เมื่อรวมตัวอยู่ด้วยกันจึงคึกคักอย่างมาก อีกทั้งคนที่มาใหม่ก็มีนิสัยตรงไปตรงมา ฮ่องเต้พูดแทรกไม่ได้แม้แต่น้อย แต่ว่าฮ่องเต้ไม่โกรธแต่อย่างไร อีกทั้งยังมองดูพวกเขาอย่างดีใจ จนกระทั่งขันทีคนหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างระมัดระวังราวกับต้องการทูลอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้า
ฮ่องเต้อารมณ์ดี จึงถามขึ้น “เรื่องอันใด”
ขันทีทำได้เพียงเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างระอา จนกระทั่งเคลื่อนตัวไปข้างตัวของฮ่องเต้ ยังไม่พอ เขาก้มลงไปกระซิบข้างหู “ฝ่าบาท องครักษ์หลวงจู๋หลินอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์หลวงล้วนเป็นผู้ที่ได้รับคัดเลือกมาอย่างดีเพื่ออยู่ข้างกายฮ่องเต้ แต่มีหลายร้อยคนฮ่องเต้ก็จำได้ไม่หมด แต่เมื่อพูดถึงจู๋หลิน ฮ่องเต้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เขาเองหรือ หนึ่งในคนที่ข้ามอบให้แม่ทัพหน้ากากเหล็ก”
เมื่อได้ยินคำว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็ก คนหนึ่งที่นั่งสนทนาอยู่ท่ามกลางเหล่าองค์ชายชะงักไป สายตามองข้ามมา
“เขาเป็นอันใด มีเรื่องอันใด” ฮ่องเต้ถาม
ขันทีทำท่าทางลำบากใจอย่างมาก ก่อนจะกระซิบเสียงเบาลงกว่าเดิม “เขาบอกว่า คุณหนูตันจูทะเลาะกับผู้อื่น บัดนี้ต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท ขอให้ฝ่าบาทช่วยตัดสิน…”
พูดจบเขาก็ก้มหน้าถอยลงไป ไม่กล้ามองสีหน้าของฮ่องเต้
ฮ่องเต้ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เพียงแค่สีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะขมวดคิ้ว “เหลวไหล!”
ถึงแม้เหล่าองค์ชายจะพูดคุยกันอย่างสนุกสาน แต่ก็คอยจับตาดูฮ่องเต้อยู่เสมอ เมื่อได้ยินคำว่าเหลวไหลก็เงียบสงบลงทันที
มีเพียงคนที่หยุดลงก่อนยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม แขนเสื้อกว้างใหญ่ปิดบังใบหน้าของเขาเอาไว้
“เสด็จพ่อ” องค์ชายห้าถาม “เรื่องอันใด ผู้ใดเหลวไหล” พูดพลางยกมือขึ้น “ระยะนี้ข้าอ่านตำราอย่างเชื่อฟังนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อ่านตำราอันใด หนีไปอ่านตำราบนเรือหรือ” ฮ่องเต้ถลึงตาใส่เขา
องค์ชายห้าตอบ “อ่านตำราเหนื่อยก็ย่อมต้องไปเดินเล่น โบราณว่าไว้ตึงบ้างผ่อนบ้าง”
องค์ชายสองและองค์ชายสี่ต่างหัวเราะขึ้นมา อีกทั้งเป็นพยานว่าระยะนี้องค์ชายห้าอ่านตำราไม่น้อย
ฮ่องเต้ชอบที่จะเห็นพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างเป็นที่สุด เมื่อได้ยินจึงยิ้มขึ้น “รอองค์รัชทายาทมา ให้เขาสอบเจ้า ข้าค่อยคิดบัญชีกับเจ้า” พูดจบพลางอธิบาย “ข้าไม่ได้หมายถึงพวกเจ้า”
องค์ชายห้าอยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าผู้ใดถูกฮ่องเต้ด่า
ฮ่องเต้ไม่พูด เขาขมวดคิ้วสักพัก “พวกเจ้าพาอาเสวียนไปหาเสวียนเฟย พระชายาก็อยู่ ข้าจะตามไปมื้อเย็น”
องค์ชายทั้งสามตอบรับ คนที่ดื่มเหล้าก็วางแก้วเหล้าลง เผยให้เห็นใบหน้างดงาม เขาคารวะฮ่องเต้ ก่อนจะถอยออกจากตำหนักใหญ่ไปพร้อมเหล่าองค์ชาย
เมื่อเดินออกมาเขากวาดตาไปด้านนอกตำหนัก สายตาจับจ้องอยู่บนตัวของจู๋หลิน…คนที่ยืนอยู่บริเวณนี้ไม่ใช่องครักษ์รักษาพระองค์ก็เป็นขันที คนที่แต่งตัวธรรมดานี้ดึงดูดสายตาอย่างมาก
แต่ว่าเหล่าองค์ชายไม่สนใจ คนข้างตัวฝ่าบาทมีทุกรูปแบบ ไม่ใช่คนที่พวกเขาสนใจได้
“อาเสวียน ไปเถิด” องค์ชายห้าเรียก
อาเสวียน? ชื่อนี้เข้าหูของจู๋หลิน เขาเงยหน้าขึ้นมอง แต่คนเดินผ่านไปแล้ว ทำให้เห็นเพียงแผ่นหลังของอีกฝ่าย อายุยี่สิบ รูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดขุนนางทหาร หากแต่มีกลิ่นอายของนักเรียน เขาเดินอยู่ท่ามกลาง
องค์ชายทั้งสาม ไม่มีความเกรงกลัวแต่อย่างใด ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
ใต้หล้านี้จะมีอาเสวียนใดเป็นเช่นนี้ มีเพียงบุตรชายของโจวชิง โจวเสวียน
โจวเสวียนกลับมาแล้ว
ทันทีที่จู๋หลินมีความคิดนี้ปรากฏขึ้น ขันทีคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ้า เข้ามา”
จู๋หลินไม่มีจิตใจคิดถึงผู้อื่นในทันใด เขาก้มหน้าเดินเข้าตำหนัก