ฮ่องเต้ด่าทุกคนออกมา แต่ไม่ได้ให้บทสรุปของคดีนี้ ดังนั้นหลี่จวิ้นโส่วจึงนำพวกเขากลับมาจวิ้นโส่วฝู่อีกครั้ง
คนทั้งขบวนออกจากพระราชวังภายใต้สายตาของราษฎร เมื่อเดินทางมาถึงจวิ้นโส่วฝู่อีกครั้ง หลี่จวิ้นโส่วหารือกฎหมายทีละข้อกับเหล่าขุนนาง แต่ในเวลานี้ ผู้ถูกฟ้องที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างไม่โวยวายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
เกิ่งเสวี่ยพูดอย่างหมดแรง “ใต้เท้าไม่ต้องสืบแล้ว โทษอันใดพวกเราล้วนยอมรับ” เขาเหลือบมองเฉินตันจูที่นั่งอยู่ตรงข้าม
เฉินตันจูถือกระจกมองตนเอง เมื่อได้ยินเกิ่งเสวี่ยพูด นางจึงร้องโอดครวญขึ้นมา “อาเถียน เจ้าดูตาข้าบวมขึ้นมาหรือไม่”
อาเถียนถือไฟเอาไว้ “ใช่เจ้าค่ะ” พูดพลางหลั่งน้ำตา
เกิ่งเสวี่ยมีสีหน้าเรียบเฉย “ความเสียหายและค่ารักษาของคุณหนูตันจูพวกเราจะชดใช้ให้”
เฉินตันจูวางกระจกใบเล็กลง “เช่นนี้ย่อมดี ข้าก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล พวกท่านรู้ผิดสามารถแก้ไข…”
นางยังพูดไม่ทันจบ หลี่จวิ้นโส่วก็ขัดขึ้น
“คุณหนูตันจู ท่านก็มีส่วนผิด” เขาพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “อย่าได้สั่งสอนคนอื่น” จากนั้นมองไปยังทุกคน
“แม่นางอย่างพวกท่าน รวมตัวก่อเรื่องทะเลาะ ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ รบกวนฝ่าบาทตามกฎต้องจับเข้าคุกแต่เห็นแก่ที่พวกท่านทำผิดครั้งแรก จึงมอบหมายให้คนในตระกูลเฝ้าดูกักบริเวณ อาการบาดเจ็บของทั้งสองฝ่ายพวกท่านรับผิดชอบเอง”
เกิ่งเสวี่ยไม่สนใจต่อการตัดสินแม้แต่น้อย เรื่องนี้จบลงตั้งแต่อยู่ในพระราชวังแล้ว เวลานี้ก็เป็นเพียงกระบวนการ พวกเขาทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งหวาดกลัว สิ่งที่หลี่จวิ้นโส่วพูดไม่ได้เข้าหูแม้แต่น้อย
หากแต่เฉินตันจูตั้งใจฟังอย่างมาก อีกทั้งยังถามเรื่องของภูเขาดอกท้อในอนาคต หลี่จวิ้นโส่วก็ตอบนาง ภูเขาดอกท้อเป็นของนาง แต่ต้องระบุพื้นที่เก็บเงินอย่างชัดเจน ไม่อาจหลอกทรัพย์ของผู้อื่นได้
หลังจากตัดสินเสร็จสิ้นท้องฟ้าก็มืดลงอย่างสนิท พวกเขาถูกปล่อยออกมาจากหลี่จวิ้นโส่วในที่สุด เหล่าทหารยามขับไล่ราษฎรให้กระจายตัวออกไป เมื่อเผชิญหน้ากับการซักถามของเหล่าราษฎร พวกเขาก็ตอบเพียงแค่เป็นเรื่องทะเลาะกันของหญิงสาว ทั้งสองฝ่ายทำความเข้าใจกันแล้ว
แต่เหล่าราษฎรไม่โง่ ทำความเข้าใจกันแล้วแสดงว่าตระกูลเกิ่งและคนอื่นแพ้ เฉินตันจูชนะ
ผ่านเหตุการณ์ครึ่งวันนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขาดอกท้อแพร่กระจายไปทั่ว ทุกคนรู้ดีราวกับอยู่ในเหตุการณ์เวลานั้น ส่วนเรื่องต่างๆ ของเฉินตันจูก่อนหน้านี้ก็ถูกพูดถึงขึ้นอีกครั้ง…
ตอนที่ท่านอ๋องอู๋อยู่ เฉินตันจูกำเริบเสิบสาน บัดนี้ท่านอ๋องอู๋ไม่อยู่แล้ว เฉินตันจูยังคงกำเริบเสิบสาน แม้แต่ตระกูลใหญ่จากเมืองซีจิงยังทำอันใดนางไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเฉินตันจูได้รับความรักใคร่จากฮ่องเต้มากเพียงใด
เหตุใดเฉินตันจูถึงได้รับความรักใคร่เพียงนี้ ย่อมเป็นเพราะว่านางช่วยเหลือฝ่าบาทในการเรียกคืนเมืองอู๋โดยไม่ต้องใช้กำลัง อีกทั้งขับไล่ท่านอ๋องอู๋…
“ตระกูลเฉินทรยศท่านอ๋องอู๋ เจริญก้าวหน้า”
คนจำนวนมากอุทานออกมาภายในยามค่ำคืน
เมื่อผ่านเหตุการณ์นี้ ในที่สุดพวกเขาก็รับรู้ถึงความจริงส่วนเรื่องนี้เป็นอย่างไร ไม่สำคัญสำหรับเหล่าราษฎร
รถม้าเคลื่อนผ่านสายตาของผู้คนเข้าไปภายในจวนของตระกูล คุณหนูเกิ่งและนายหญิงเกิ่งกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ในที่สุด พวกนางร้องไห้ขึ้นมา
“ท่านพ่อ” เกิ่งเสวี่ยคุกเข่าลงทันทีหลังจากลงรถ “ข้าทำให้ตระกูลลำบาก”
ถึงแม้ไม่ได้เดินทางไปเอง แต่นางก็รับรู้ได้จากผู้อาวุโสคนอื่นในตระกูลเกิ่ง สีหน้าของนางหวาดกลัว
“ฝ่าบาทจะขับไล่พวกเราจริงหรือเจ้าคะ”
ถึงแม้สีหน้าของเกิ่งเสวี่ยจะท้อแท้ แต่ไม่มีความหวาดกลัวเหมือนก่อนหน้านี้ หลังจากได้รับความตกใจภายในพระราชวัง ทำให้เขาตั้งสติได้ เขาไม่ได้ตอบคำถามของทุกคน เพียงแต่มองไปรอบด้าน จวนแห่งนี้ถูกตกแต่งใหม่แล้ว แต่เจ้าของเดิมอาศัยอยู่นับร้อยปีกลิ่นอายยังคงหลงเหลืออยู่ทุกที่…
“ไม่ ฝ่าบาทไม่ขับไล่พวกเรา” เขาพูด “ฝ่าบาทไม่ได้โกรธเคืองพวกเรา อีกทั้งเฉินตันจูก็ไม่ได้หาเรื่องพวกเราจริงๆ”
เอ๊ะ? แล้วคืออันใด ทุกคนในตระกูลเกิ่งต่างมองหน้ากัน เกิ่งเสวี่ยก็หยุดร้องไห้ นางเป็นคนประสบกับเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยตนเอง ได้ยินเสียงด่าของฮ่องเต้…ท่านพ่อทั้งโกรธทั้งตกใจจนเลอะเลือนแล้ว?
เกิ่งเสวี่ยไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะแม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่ได้พูดแต่ภายในใจของเขากระจ่างเป็นอย่างดี
“พวกเจ้ารอดูเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็จะกระจ่างเอง” เกิ่งเสวี่ยพูดเพียงเท่านี้ ก่อนจะยิ้มขมขื่น
“ครานี้พวกเราทุกคนล้วนถูกเฉินตันจูหลอกใช้แล้ว”
ถูกเฉินตันจูหลอกใช้? เกิ่งเสวี่ยมองบิดาด้วยน้ำตา ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความฉงน เรื่องที่เกิดวันนี้เป็นเรื่องที่นางไม่คาดฝัน เมื่อถึงเวลานี้สมองของนางยังคงสับสน
“เฉินตันจูมีแผนการอยู่ก่อนแล้ว” เกิ่งเสวี่ยพูด เขามองดูบุตรสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “บังเอิญพวกเจ้าบุกเข้าไปด้านหน้าของนาง ตอนนี้เจ้าลองคิดดู ท่าทางที่นางปฏิบัติต่อพวกเจ้าไม่แปลกหรือ”
กำเริบเสิบสาน แปลกประหลาดอันใด เกิ่งเสวี่ยไม่เข้าใจ
คนอื่นเองก็ไม่เข้าใจ เพราะพวกเขาไม่รู้จักเฉินตันจูมากนัก
“พี่ใหญ่ท่านหมายถึง เฉินตันจูไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูกับพวกเรา” นายท่านรองตระกูลเกิ่งถาม
สายตาของเกิ่งเสวี่ยหลุบต่ำลง “ย่อมคิดจะเป็นศัตรู ถึงแม้เป้าหมายของนางไม่ใช่พวกเรา แต่นางจับจ้องพวกเรา หลอกใช้พวกเราทำให้พวกเราอับอายขายหน้าอย่างแท้จริง” พูดจบเขาก็มองไปยังทุกคน “ต่อจากนี้อยู่ไกลจากแม่นางคนนี้เอาไว้”
แม่นางที่มีชื่อเสียงย่ำแย่ ความประพฤติโอหัง จิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ไม่อาจคบได้
“อีกอย่าง” ภรรยาของนายท่านรองพึมพำขึ้นในเวลานี้ “เหล่าคุณหนูในตระกูลก็อย่ารีบร้อนจะออกไปเที่ยวเล่น ตอนที่พี่สะใภ้ใหญ่พูด ข้าก็รู้สึกไม่ดีนัก…พวกเราเพิ่งเดินทางมาถึงยังไม่คุ้นชิน ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน ดู เกิดปัญหาจนได้”
นายหญิงเกิ่งที่หลั่งน้ำตาอยู่นั้นเหลือบมองไปด้วยความขุ่นเคือง น้องสะใภ้ที่เกรงกลัวเอาใจนางแต่ก่อนไม่เกรงกลัวนางต่อความขุ่นเคืองของนางในเวลานี้ อีกทั้งยังเบะปากอย่างไม่ใส่ใจ
“พี่สะใภ้ใหญ่ได้ยินว่าพระชายาองค์รัชทายาทให้ทุกคนคบหากับตระกูลใหญ่ในเมืองอู๋ จึงไม่สนใจอันใดทั้งสิ้นแล้ว ดูตอนนี้ดีแล้ว ได้รับความสำคัญจากพระชายาองค์รัชทายาทหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ทางฝ่าบาทจำพวกเราได้อย่างแน่นอน”
“พอแล้ว” เกิ่งเสวี่ยตะโกนตำหนิ
นายท่านรองก็รีบตำหนิภรรยา หญิงสาวจึงหยุดพูด
นายหญิงเกิ่งมองดูบุตรสาวที่ถูกทำร้ายและผงะไปด้วยความตกใจ ก่อนจะมองเหล่าชายหนุ่มที่มีสีหน้ากังวล ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเพราะตนเองให้บุตรสาวออกไปเที่ยวเล่น ภายในใจทั้งโกรธทั้งขุ่นเคืองทั้งเสียใจทั้งไร้คำพูด ทำได้เพียงปิดหน้าร้องไห้
ตามการมาของยามค่ำคืน ภายในเมืองต่างแพร่กระจายเรื่องนี้ ภายในพระราชวัง ตำหนักของพระสนมเสียนเฟยในที่สุดก็รอคอยการมาถึงของ…ขันทีของฮ่องเต้
“เดิมทีฝ่าบาทคิดจะมา แต่มีเรื่องกะทันหันจึงมาไม่ได้แล้ว” ขันทีพูดพลางถอนหายใจ ก่อนจะชี้ไปด้านหลัง
“อาหารเหล่านี้ฝ่าบาทพระราชทานมา” ก่อนจะมองไปยังโจวเสวียนที่นั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าองค์ชาย ยกยิ้มขึ้น “ล้วนเป็นอาหารที่คุณชายสองชอบ อีกทั้งยังให้คุณชายสองอยู่ดื่มก่อน”
โจวเสวียนยิ้มให้ขันที “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ก่อนจะยื่นมือหยิบเนื้อชิ้นหนึ่งจากจานที่วางอยู่เข้าปาก พลางพูดขึ้น “ข้าไม่ได้กินอิงเถวโร่ว[1]มานานมาแล้ว”
แต่ว่าฮ่องเต้ไม่มาแล้ว ทุกคนจึงหมดอารมณ์ในการกิน พระสนมเสียนเฟยถาม
“เรื่องอันใด ฝ่าบาทแม้แต่ข้าวก็ไม่กินแล้วหรือ”
แม้แต่อาเสวียนกลับมาก็ไม่อยู่หรือ
“ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี” ขันทีไม่ได้ปฏิเสธที่จะตอบ เขามองดูทุกคน อยากจะพูดแต่ก็ชะงักไป สุดท้ายจึงข่มเสียงต่ำ “คุณหนูตันจูทะเลาะกับคุณหนูตระกูลใหญ่หลายท่าน เรื่องนี้มาถึงฝ่าบาท”
พระสนมเสียนเฟย เหล่าองค์ชายและพระชายาองค์รัชทายาทต่างผงะไป โจวเสวียนที่กินอาหารอยู่สำลักออกมาเสียงดัง
คุณหนูนี้มีฝีมือดีเสียจริง ทะเลาะกันยังสามารถทะเลาะมาถึงหน้าโอรสสวรรค์ได้
[1]อิงเถาโร่ว หมายถึง อาหารอันมีชื่อเสียงของมณฑลเจียงซู ประเทศจีน ทำมาจากหมูสามชั้น เนื้อของหมูสามชั้นมีสีแดงก่ำเหมือนผลเชอร์รี่หรืออิงเถา ชิ้นกลมเล็ก รสชาติหวานปนเค็ม