นายท่านเกิ่ง หลี่จวิ้นโส่วและคนอื่นล้วนถูกไล่ให้ออกไปรออยู่ด้านนอกตำหนัก ถึงแม้พวกเขาจะได้ยินสิ่งที่ฮ่องเต้พูดอยู่ภายในตำหนักได้ไม่ชัด แต่พวกเขาเห็นขันทีจิ้นจงออกมาสั่งการให้ขันทีคนอื่นไปทำเรื่องบางอย่าง จากนั้นพวกเขาก็เห็นเหล่าขันทียกลังกลับมา อีกทั้งยังมีเหล่าขุนนางยืนรออยู่ด้านนอกตำหนัก
นายท่านเกิ่งและคนอื่นไม่รู้จักขุนนางเหล่านี้ แต่หลี่จวิ้นโส่วรู้จัก เขามั่นใจสิ่งที่คาดเดามากขึ้น หัวใจของเขาเต้นระรัว สีหน้าที่มองเข้าไปในตำหนักยิ่งแสดงออกถึงความกังวล
จากนั้นภายในตำหนักมีเสียงดังขึ้น อาทิเสียงสิ่งของตกกระทบลงพื้น เสียงด่าของฮ่องเต้
หลี่จวิ้นโส่วฟังอย่างอกสั่นขวัญแขวน แต่นายท่านเกิ่งและคนอื่นต่างวางใจลง อีกทั้งยังเผยรอยยิ้มบางในบางคราที่สบตากัน
ส่วนบริเวณที่ห่างออกจากตำหนักใหญ่ไปไกลนั้น ก็มีขันทีเข้ามาแอบดูสถานการณ์เป็นครั้งครา เมื่อเห็นบรรยากาศและได้ยินเสียงในตำหนัก เขาก็วิ่งจากไปอย่างระมัดระวัง
เวลานี้ใกล้พลบค่ำ ช่วงต้นของฤดูร้อนกลางวันมีเวลายาวนาว ตำหนักของพระสนมเสียนเฟยเปิดโล่งสว่างไสว ด้านในเต็มไปด้วยหญิงชายนั่งอยู่ มีทั้งพระสนมวังหลังและองค์หญิงตัวน้อย พวกเขานั่งสนทนากันด้วยบรรยากาศที่สนุกสนาน
เพียงแค่ภายในความสนุกสนานนี้ มักมีความกังวลแผ่ออกมาจากดวงตาที่มองออกไปด้านนอกเป็นบางเวลา
ขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งมาข้างตัวของพระสนมเสียนเฟย ก้มตัวกระซิบเสียงเบา
พระสนมเสียนเฟยที่อมยิ้มอยู่นั้นขมวดคิ้วมุ่นขึ้นในทันที
เมื่อเห็นท่าทางของนาง ทุกคนล้วนหยุดพูดลง พระชายาองค์รัชทายาทให้คนอุ้มองค์หญิงขึ้น
พระสนมเสียนเฟยเป็นเสด็จแม่ขององค์ชายสอง เขาจึงไม่เกร็งนักเมื่ออยู่ที่นี่ องค์ชายสองถามขึ้น “เสด็จแม่ เสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง”
นิสัยของพระสนมเสียนเฟยเหมือนดั่งชื่อของนาง อ่อนโยนต่อผู้คน นางรู้ว่าเวลานี้ทุกคนต่างเหม่อลอย คิดถึงฮ่องเต้ที่บอกว่าจะเดินทางมา จึงพูดขึ้น “ทางฝ่าบาทเหมือนมีเรื่องใหญ่ ยังคงอาละวาดอยู่”
พระชายาองค์รัชทายาทก็อดไม่ได้ ถามองค์ชายสองและคนอื่น “คนที่อยู่ทางนั้นคือผู้ใด” นางมองชายหนุ่มอายุน้อยที่นั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าองค์ชาย “อาเสวียนกลับมาก็ยังถูกขัด เป็นเรื่องสำคัญในราชสำนักหรือ”
องค์ชายสองและองค์ชายสี่เป็นคนพูดน้อย เรื่องเช่นนี้ยิ่งไม่ยอมพูด ทำเพียงแค่ส่ายหัวบอกไม่รู้
องค์ชายห้าไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย “ไม่ใช่เรื่องสำคัญในราชสำนัก ข้าได้ยินเสด็จพ่อพูดว่าเหลวไหล” เขารู้สึกยินดีปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “ต้องมีคนก่อเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน”
คนที่ก่อเรื่องจนมาถึงหน้าฮ่องเต้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
“อาจเกี่ยวข้องกับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก” ชายหนุ่มที่นั่งเงียบพูดขึ้น
เมื่อเขาพูดขึ้น สายตาของทุกคนจึงจับจ้องไปบนตัวเขา แสงของพระอาทิตย์ตกทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มยิ่งสว่างไสวมากขึ้น
คิ้วเรียวยาว จมูกสูงโด่ง ใบหน้างดงาม ถึงแม้จะนั่งอยู่ท่ามกลางองค์ชายทั้งสามก็ไม่แพ้พ่ายแม้แต่น้อย
พระสนมเสียนเฟยมองเขาด้วยใบหน้าเมตตายิ่งขึ้น ก่อนจะเหม่อลอยเล็กน้อย โจวเสวียนหน้าตาเหมือนพ่อของเขายิ่งนัก แค่เวลานี้ท่าทางอ่อนโยนของนักเรียนถดถอยไป เหลือเพียงดวงตาแหลมคม…เข้ากองทัพแตกต่างจากการเรียนหนังสือ
“องครักษ์หลวงคนนั้นฝ่าบาทเป็นคนพระราชทานให้แม่ทัพหน้ากากเหล็ก” โจวเสวียนพูดต่อ “แต่ตอนที่ข้ากลับมา เมืองฉีทุกอย่างมั่นคง ไม่มีปัญหาอันใด”
ขันทีพูดเสริมขึ้นด้านข้าง “ผู้ที่รอคอยอยู่ด้านนอกตำหนักไม่มีทหาร มีแต่คนของตระกูลชนชั้นสูง”
แสดงว่าไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับสงคราม ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน องค์ชายห้ายิ่งรู้สึกสงสัยจึงยุยง
โจวเสวียน “เจ้าลองไปดูทางเสด็จพ่อ อย่างไรเสด็จพ่อก็ไม่ด่าเจ้า”
โจวเสวียนราวกับสนใจ พระสนมเสียนเฟยรีบห้ามเอาไว้ “อย่าได้เหลวไหล ฝ่าบาทมีเรื่องสำคัญ พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้”
องค์ชายห้าเพียงแค่พูด หากโจวเสวียนไม่ไป เขาย่อมไม่มีทางไปหาเรื่อง
ส่วนเหล่าคนที่รอคอยอยู่ด้านนอกตำหนักในเวลานี้ หลังจากได้ยินเสียงสิ่งของบางอย่างถูกถีบคว่ำและเสียงก่นด่าของฮ่องเต้แล้ว ขันทีจิ้นจงจึงเปิดประตูตำหนักออก ฮ่องเต้บอกให้พวกเขาเข้ามา
สีหน้าของหลี่จวิ้นโส่วไม่ดีอย่างมาก แต่นายท่านเกิ่งและคนอื่นไม่มีความเกรงกลัว เมื่อด่าเฉินตันจูแล้ว ก็ถึงคราวปลอบประโลมพวกเขา พวกเขาจัดระเบียบเครื่องแต่งกาย กำชับกับภรรยาและบุตรสาวของตนเองให้ระวังมารยาทเสียงเบา ก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมกัน
เฉินตันจูยังคงคุกเข่าอยู่ภายในตำหนัก มีขันทีสองคนกำลังก้มหน้าเก็บสิ่งของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น นายท่านเกิ่งและคนอื่นกวาดตามอง เป็นดั่งที่พวกเขาคาดเดา ลังตำราถูกฮ่องเต้ถีบลงบนพื้น ก่อนจะมองฮ่องเต้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าดำทะมึน เห็นได้ชัดว่าโกรธมากเพียงใด…
“ฝ่าบาทระงับความโกรธ…” นายท่านเกิ่งคารวะ
ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกฮ่องเต้ขัดขึ้น “ข้าจะระงับความโกรธได้อย่างไร! พวกเจ้ามาถึงเมืองจางจิงไม่นานก็ก่อเรื่องไปทั่ว!”
เอ๊ะ? นายท่านเกิ่งและคนอื่นต่างชะงักลมหายใจ เหตุใดฮ่องเต้จึงด่าพวกเขาด้วย อย่ากังวล มันคือการระบายความโกรธ มันคือการตีวัวกระทบคราด อันที่จริงฝ่าบาทกำลังด่าเฉินตันจู…
“พวกกระหม่อมมีโทษ” พวกเขารีบคุกเข่าลง
“พวกเจ้ามีโทษอย่างแน่นอน” น้ำเสียงและสายตาของฮ่องเต้เย็นชา “มาถึงเมืองใหม่ ไม่ปฏิบัติเรื่องอย่างมั่นคง แสดงออกถึงภาพลักษณ์ของชนชั้นสูงในเมืองหลวงเก่า หากแต่ปล่อยให้บุตรหลานในตระกูลเดินทางเที่ยวเล่นไปทั่ว อีกทั้งยังทำกำเริบเสิบสาน เป็นเพราะข้าไม่ได้อยู่ในซีจิงมานาน พวกเจ้าล้วนเปลี่ยนไป หรือเป็นเพราะเดินทางมาถึงเมืองหลวงใหม่ จึงเผยธาตุแท้ออกมา”
ฝ่าบาทกำลังด่าพวกเขาจริงๆ อีกทั้งยังด่าอย่างรุนแรง นายท่านเกิ่งและคนอื่นตกใจ แย่แล้ว ครั้งนี้พวกเขาคุกเข่าลงบนพื้นอย่างจริงจัง
“ฝ่าบาท” มีคนเงยหน้าขึ้นโต้แย้งด้วยความใจกล้า “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมไม่ได้…”
ฮ่องเต้ตะโกน “ไม่ได้ ไม่ได้ทะเลาะ? ไม่ได้ทะเลาะจะมาถึงหน้าข้าได้อย่างไร” ชี้นิ้วไปทางพวกเขา “พวกเจ้าอายุมากเพียงนี้ แม้แต่บุตรหลานของตนเองยังดูแลไม่ได้ หรือต้องให้ข้าดูแลแทนพวกเจ้า”
ไม่ใช่พวกเขาดูแลไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่าเฉินตันจูหาเรื่องมาถึงหน้าฝ่าบาท ไม่เกี่ยวกับพวกเขา นายท่านเกิ่งและคนอื่นต่างตื่นตระหนก “ฝ่าบาท เรื่องนี้…”
“เรื่องนี้เป็นอย่างไรข้าไม่อยากฟังแล้ว” ฮ่องเต้พูดเสียงเย็น “หากพวกเจ้าไม่คุ้นชินกับที่นี่ก็กลับไปยัง
ซีจิงเถิด”
ขับไล่! นายท่านเกิ่งและคนอื่นต่างตัวเย็นวาบ พวกเขาไม่กล้าพูดมากอีก ทำเพียงก้มตัวลงกับพื้น ร่างกายและน้ำเสียงสั่นเทา “พวกกระหม่อมมีความผิด”
ฮ่องเต้ไม่ได้ซักถามความผิดของพวกเขาต่อ เพียงแต่สายตามองไปยังหลี่จวิ้นโส่ว
“หลี่จวิ้นโส่ว” เขาพูดเสียงเย็น “หากเรื่องเพียงเท่านี้เจ้ายังจัดการไม่ได้ เจ้าก็กลับบ้านไปโดยเร็ว”
หลี่จวิ้นโส่วยืนตัวตรง ก้มตัวลงอย่างรวดเร็ว “กระหม่อมรับผิด!”
ฮ่องเต้มองดูเหล่าคนที่คุกเข่าอยู่ภายในตำหนัก พูดอย่างขุ่นเคือง “ถอยออกไปให้หมด”
อาเถียนพลางชะเง้อมองพลางเหม่อลอยอยู่ด้านนอกพระราชวัง แสงสว่างสุดท้ายตกลงไปแล้ว ความมืดเริ่มครอบงำพื้นดิน เวลานี้ใบหน้าของนางก็เริ่มบวมช้ำขึ้นมา แต่นางไม่รับรู้ถึงความเจ็บแม้แต่น้อย น้ำตาคลออยู่ภายในดวงตา แต่ก็พยายามอดกลั้นไว้ ในที่สุดคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นภายในสายตา มองผ่านชายหนุ่มเหล่านั้น หญิงสาวที่ประคองกันและกัน นางมองเห็นหญิงสาวที่เดินอยู่ท้ายสุด…นางเดินมา! ไม่ได้ถูกองครักษ์รักษาพระองค์จับตัว
“คุณหนู” เสียงของอาเถียนสะอื้น น้ำตาไหลรินลงมาดุจหยาดฝน
เฉินตันจูเดินอยู่คนสุดท้าย ถึงแม้จะดูเหมือนเดินปกติ แต่อันที่จริงแล้วเพราะว่านางคุกเข่าเป็นเวลานาน เจ็บเข่าอย่างยิ่ง…
แต่ในเมื่อไม่ได้อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้แล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำตัวน่าสงสาร หากแต่ต้องการดูความน่าสงสารของคนอื่น
ดังนั้นนางจึงเดินอยู่ด้านหลังสุดอย่างเชื่องช้า บนใบหน้ามองดูความอกสั่นขวัญหายของนายท่านเกิ่งและคนอื่นด้วยรอยยิ้ม
จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกของอาเถียน…ที่แท้ก็เดินมาถึงหน้าประตูพระราชวังแล้ว ร่างกายที่ตึงเครียดชะงักไป เท้าที่ยกขึ้นเจ็บแปลบทันทีที่วางลง คนทั้งคนเซไปด้านหน้า แต่นางไม่ได้ล้มลง เพราะว่ามีแขนข้างหนึ่งยื่นมาพยุงแขนของนางเอาไว้
เฉินตันจูมองไป “ท่านใต้เท้า” นางยืมแรงของอีกฝ่ายเพื่อยืนให้มั่น “ท่านยังต้องไปสืบคดีที่ที่ว่าการต่อหรือไม่”
หลี่จวิ้นโส่วปล่อยมือออก “ขอรับ คดียังไม่ตัดสิน” พูดจบพลางคารวะเฉินตันจู
เฉินตันจูผงะไป หลังจากคารวะหลี่จวิ้นโส่วไม่ได้พูดอันใด เพียงแค่หันหลังเดินจากไป
เฉินตันจูเม้มปาก เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ก่อนจะยิ้มให้สาวรับใช้อาเถียนที่เดินเข้ามา
นางพูดด้วยรอยยิ้ม “อาเถียน…ฝ่าบาทด่าพวกเขาแทนข้าแล้ว”
อาเถียนจับมือของเฉินตันจูเอาไว้ ก่อนจะตะโกนด้วยเสียงสะอื้น “คนเลวเหล่านี้สมควรถูกด่า! คุณหนูถูกพวกเขารังแก น่าสงสารอย่างมาก”
เมื่อนายท่านเกิ่งและคนอื่นที่เดินอยู่ด้านหน้าได้ยินก็แทบจะสะดุดขาตัวเองล้ม สีหน้าของพวกเขาโกรธเคือง แต่เมื่อมองไปยังตำหนักวังที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังก็เกรงกลัว จึงไม่ได้พูดโต้แย้ง
เหล่าราษฎรที่รวมตัวดูสถานการณ์อยู่ด้านหน้าประตูพระราชวังได้ยินคำพูดของเฉินตันจู ก่อนจะมองเห็นท่าทางของนายท่านเกิ่งและคนอื่น ทันใดนั้นก็กระจ่าง
เฉินตันจูฟ้องชนะ? แม้แต่ตระกูลชนชั้นสูงจากซีจิงยังทำอันใดนางไม่ได้ เฉินตันจูนี้ยังคงสามารถทำตัวกำเริบเสิบสานอย่างไร้ความเกรงกลัว!