คนอื่นอาจไม่รู้ว่าเฉินตันจูเคยมองดูอยู่ด้านนอกประตูของตระกูลเฉา อาจคิดไม่ถึงจุดนี้ในเวลาหนึ่ง แต่บัดนี้ก็ฟังเข้าใจแล้ว
เฉินตันจูพูดอย่างมีนัยยะ
โดยเฉพาะนายท่านเกิ่ง ใจของเขาเต้นระรัว ไม่กล้าที่จะพูดอันใด
ท่านอ๋องอู๋หลงใหลในความงดงาม ชื่นชอบความคึกคัก พระราชวังจึงสร้างอย่างกว้างใหญ่ ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรทั้งสูงทั้งไกล ยืนอยู่ภายในตำหนักก็ยังมองไม่เห็นสีพระพักตร์ของพระองค์
ฮ่องเต้ตอบรับ แต่ก็ฟังไม่ออกถึงอารมณ์
“แต่ข้ารู้สึกว่าคนอื่นยังไม่ได้ทำอันใด” เขาพูด “แต่เจ้าเฉินตันจูจิตใจคับแคบ คาดโทษให้คนอื่นเสียก่อน”
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ถึงแม้จะจำใบหน้าของจางเหม่ยเหรินไม่ได้แล้ว แต่ฮ่องเต้ยังไม่ลืมเรื่องนี้ เขาเพิ่งเข้าใกล้เหม่ยเหรินของท่านอ๋องอู๋เล็กน้อย เฉินตันจูก็ด่าฟ้าด่าดิน ด่าเขาว่าไร้คุณธรรม ทำท่าทางราวกับต้าเซี่ยจะล่มสลาย
สุดท้ายก็เพราะตระกูลของจางเหม่ยเหรินเป็นศัตรูกับนาง
อืม…
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้กังวลไปเอง” เฉินตันจูได้ยินจึงรีบตอบ “เรื่องเหล่านี้ยังมีอีกมาก ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น จวนของตระกูลเกิ่งก็ได้มาด้วยเหตุนี้…”
นายท่านเกิ่งโกรธจัด “เฉินตันจู เจ้า เจ้าหมายความว่าอย่างไร” พูดจบก็คารวะฮ่องเต้ “ฝ่าบาทให้ความเป็นธรรม จวนของตระกูลเกิ่งใช้เงินซื้อมาจากทางหลวง” พูดถึงตรงนี้เสียงของเขาก็สะอื้น
เฉินตันจูตักเตือนอยู่ด้านข้าง “นายท่านเกิ่ง ท่านมีเรื่องใดก็พูดดีๆ ร้องไห้ทำไม!”
ฮ่องเต้แทบจะหัวเราะออกมาบนบัลลังก์มังกร…คนอะไรกัน!
คำที่ฮ่องเต้ตำหนินางก่อนหน้านี้ นางหันมาใช้กับนายท่านเกิ่งทันที นายท่านเกิ่งก็ย่อมรู้ดี ไม่กล้าโต้แย้ง สะอึกจนแทบจะน้ำตาร่วงลงมาจริงๆ
“ฝ่าบาท จวนของกระหม่อมซื้อมาจากมือของทางหลวง” เขากลืนความสะอื้นกลับไป ความกังวลเพียงชั่วขณะก็สงบลง เขาเข้าใจแล้ว เฉินตันจูไม่ได้บุ่มบ่ามเหมือนที่เห็นภายนอก ก่อนที่จะฟ้องที่ว่าการนางต้องสืบเรื่องของตระกูลเขาที่คนนอกไม่รู้มาอย่างแน่นอน แต่แล้วอย่างไร…
เรื่องนี้ทำอย่างซ่อนเร้นและเหมาะสมกับกฎเกณฑ์ ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับตระกูลเขา
นายท่านเกิ่งคิดเรื่องราวทุกอย่างภายในใจ มั่นใจว่าตระกูลของตนเองสะอาดอย่างแน่นอน
“ฝ่าบาทให้ความเป็นธรรม ทางหลวงมีจวนจำนวนมากขาย กระหม่อมเลือกซื้อจากหนึ่งในนั้น มีโฉนดและหลักฐาน”
“แน่นอน หากจะบอกว่าผิดก็มีผิด”
นายท่านเกิ่งคุกเข่าลง เวลานี้ควรจะสะอื้น แต่…ช่างเถิด
“จวนที่ดีของทางหลวงมีน้อย ไม่ใช่ผู้ใดก็ซื้อได้ กระหม่อมจึงมอบเงินให้จำนวนหนึ่ง”
พูดถึงตรงนี้เขาก็เงยหน้าขึ้น
“ฝ่าบาท หวังว่าฝ่าบาทเข้าใจ ท่านพ่อของกระหม่อมเจ็ดสิบแล้ว ท่านยอมย้ายมาเมืองจางจิง กระหม่อมอยากให้เขาพักดีๆ ดังนั้นจึง…”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ฮ่องเต้จึงรีบพูด “ลุกขึ้นพูด” น้ำเสียงห่วงใย “เกิ่งซินแสจะมาแล้วหรือ”
ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่อยู่ในเมืองซีจิง แต่ก็รู้ว่าเมืองซีจิงเกิดเหตุการณ์ถกเถียงไม่น้อยเนื่องจากการย้าย จากบ้านเกิดยาก โดยเฉพาะผู้คนสูงอายุ อีกทั้งผู้คนสูงอายุส่วนใหญ่ล้วนมีอำนาจบารมีที่สุด
ทางองค์รัชทายาทจึงวุ่นวายอย่างมาก
ตระกูลเกิ่งเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซีจิง นายท่านใหญ่ตระกูลเกิ่งย้ายมาเองมีผลต่อการปลอบประโลมอย่างมาก
คนชราเช่นนี้ อย่าว่าแต่หาจวนที่ดีจากในมือของทางหลวง ทางหลวงควรหาให้หนึ่งหลังเสียด้วยซ้ำ
นายท่านเกิ่งลุกขึ้น ฮ่องเต้มองไปยังเฉินตันจู ตำหนิ “เฉินตันจู เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายป้ายสี”
เฉินตันจูตอบรับ “ฝ่าบาท หม่อมฉันก็ไม่ได้พูดอันใด หม่อมฉันแค่ต้องการบอกว่า เจ้าของเดิมของจวนนายท่านเกิ่งเป็นผู้ต้องโทษ ถูกยึดจวนขับไล่ออกจากเมืองอู๋ ข้าพูดถึงเรื่องนี้ ไม่ได้บอกว่านายท่านเกิ่ง…มีส่วนร่วมในเรื่องนี้”
พูดถึงประโยคสุดท้าย นางยังเหลือบมองนายท่านเกิ่งทีหนึ่ง ทำท่าทางเป็นเชิงว่าท่านกินปูนร้อนท้อง
กลอุบายทะเลาะใส่ร้ายแบบเด็กๆ นี้ฮ่องเต้ไม่อยากสนใจ
“พูดเรื่องของเจ้า อย่าพูดถึงคนอื่น” เขาพูดอย่างรำคาญใจ “เจ้าต้องการพูดสิ่งใดกันแน่”
เฉินตันจูเก็บท่าทางหยิ่งยโส หลุบตาต่ำพูด “หม่อมฉันแค่อยากบอกว่าสาเหตุที่หม่อมฉันทำร้ายคนเพราะหม่อมฉันคิดว่าตนเองรักษาภูเขานี้ไว้ไม่ได้แล้ว ไม่เพียงแต่ความในใจที่คุณหนูเกิ่งอยากพูด อีกทั้งยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ มีราษฎรเมืองอู๋มากมายได้ถูกคาดโทษเพียงเพราะพูดถึงท่านอ๋องอู๋ ถึงแม้หม่อมฉันจะนำพระราชโองการมาได้ แต่ก็อาจทำให้หม่อมฉันต้องโทษ รักษาสมบัติของตระกูลไว้ไม่ได้ ดังนั้นหม่อมฉันจึงทำร้ายคน จึงฟ้องที่ว่าการ จึงมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท สิ่งที่หม่อมฉันต้องการขอคือคำประกาศที่บอกแก่ผู้คน การพูดถึงท่านอ๋องอู๋ไม่ผิด ท่านอ๋องอู๋ไม่อยู่แล้ว แต่ทุกสิ่งของราษฎรอู๋ยังสามารถดำรงอยู่ได้”
นายท่านเกิ่งและคนอื่นต่างมองเฉินตันจูด้วยความผงะ ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจสิ่งที่เฉินตันจูต้องการพูด คดีตระกูลชนชั้นสูงในเมืองอู๋ที่ถูกขับไล่ออกไป นางต้องการ คัดค้าน ซักถาม…เสียสติไปแล้วหรือ
น้ำเสียงของฮ่องเต้เย็นชา “ข้าเข้าใจ เฉินตันจู เจ้าไม่ได้มาฟ้องนายท่านเกิ่ง แต่เจ้ามาคาดโทษข้า”
เฉินตันจูหลุบตาต่ำ “หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ…”
นางยังพูดไม่ทันจบ เสียงตะโกนด้วยความโกรธของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นดุจเสียงฟ้าร้อง
“เหตุใดเจ้าจะไม่กล้า เหตุใดเจ้าไม่ด่าข้าเป็นผู้ไร้คุณธรรมกลางตำหนักใหญ่นี้เหมือนครั้งก่อน”
เฉินตันจูคุกเข่าลง นายท่านเกิ่งก็คุกเข่าลง ถึงแม้ฮ่องเต้ด่าเฉินตันจู แต่ความโกรธของโอรสสวรรค์น่าเกรงกลัว ทุกคนล้วนอกสั่นขวัญแขวน เหล่าคุณหนูไร้ซึ่งความตื่นเต้น คนที่ขวัญอ่อนแทบจะสลบไป…
นอกจากหลี่จวิ้นโส่ว ถึงแม้ตัวของเขาจะสั่นเทาแต่ภายในใจไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย มีเพียงความตื่นเต้นที่ปิดบังไว้ไม่อยู่ เขารู้สึกว่าตนเองคุกเข่าอยู่ท่ามกลางลมฝนจริงๆ อีกทั้งยังคิดอยากให้สายฟ้าผ่าลงมาอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น…
แต่เสียงของฮ่องเต้ส่งลงมา
“คนอื่นถอยออกไป! เฉินตันจูอยู่ก่อน!”
นายท่านเกิ่งรีบลุกขึ้นอย่างตระหนก ถึงแม้หลี่จวิ้นโส่วไม่อยากไป แต่ก็ทำได้เพียงก้าวถอยออกไปทีละก้าว ก่อนออกไปเขาเหลือบมองเฉินตันจูหนึ่งที
เด็กหญิงอายุสิบกว่าคุกเข่าอยู่บนพื้น นางดูตัวเล็กยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในตำหนักใหญ่ที่ว่างเปล่า
ภายในตำหนักเงียบสงัดจนน่าอึดอัด
เฉินตันจูก้มหน้า ร่างกายไม่สั่นเทา อีกทั้งไม่ได้ร้องไห้
“เรื่องที่หม่อมฉันพูด สิ่งที่ฝ่าบาททำก็มิใช่เรื่องผิด” นางยังตอบฝ่าบาทต่อ “ดังนั้นหม่อมฉันมาขอร้องฝ่าบาท ไม่ใช่คาดโทษ”
ฮ่องเต้หัวเราะ “สิ่งที่ข้าทำมิใช่เรื่องผิด ข้าขอบใจคำชมของเจ้า”
แต่เขาทำเรื่องใด อืม อันที่จริงเขาก็จำไม่ได้ คงจะเป็นเพราะมีคนจำนวนหนึ่งคัดค้านการเปลี่ยนชื่อ เขียนบทกวีเหม็นเน่า ดังนั้นเขาจึงทำตามความปรารถนาของพวกเขา ให้พวกเขาไปอยู่เคียงข้างท่านอ๋องอู๋ที่พวกเขาระลึกถึง…
“จิ้นจง” ฮ่องเต้เรียกขาน
ขันทีใหญ่เจิ้งจิ้นจงเดินเข้ามา
“ไปถาม ระยะนี้ข้าทำเรื่องอันใดให้ฟ้าโกรธคนด่ากัน” ฮ่องเต้พูดอย่างเย็นชา
ขันทีจิ้นจงตอบรับ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปด้านนอก เขาเหลือบมองเฉินตันจูในขณะที่เดินผ่าน ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความตะลึงอย่างปิดบังไม่ได้ เด็กหญิงนี้โผล่มาได้อย่างไร บังอาจพูดกับฝ่าบาทเช่นนี้…
เขาเดินออกไป ก่อนจะเห็นจู๋หลินที่ยืนอยู่หน้าประตู อืม คนของแม่ทัพหน้ากากเหล็กหรือ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นอันใด ตนเองไม่อยู่จึงทิ้งคนเอาไว้ทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคืองหรือ