ราษฎรเมืองอู๋ถูกคาดโทษว่าเป็นกบฏ จุดประสงค์ก็เพื่อขับไล่ยึดจวน จากนั้นส่งต่อให้เหล่าตระกูลใหญ่ที่มาใหม่ ฮ่องเต้ย่อมรู้ดี แต่ไม่ถามไม่ไถ่แสร้งทำเป็นไม่รู้ ด้านหนึ่งเป็นเพราะไม่ชอบ และขุ่นเคืองราษฎรเมืองอู๋เหล่านี้จริงๆ อีกทั้งเขาก็ไม่อาจยับยั้งเหล่าตระกูลใหญ่ในการซื้อจวน
การขยายเมืองไม่ใช่เรื่องของวันสองวัน คนอพยพมาแล้ว ไม่อาจนอนบนถนนได้ ตระกูลเหล่านี้ล้วนเป็นตระกูลใหญ่ที่ติดตามราชสำนักมานาน อีกทั้งยังอพยพตามมาตั้งแต่เวลาแรก ตามเหตุตามผลแล้วพวกเขาล้วนเป็นราษฎรที่ฮ่องเต้สมควรไว้ใจมากที่สุด
เพื่อราษฎร และขุนนางของเหล่าท่านอ๋องชั่วเหล่านี้ ทำให้เหล่าตระกูลใหญ่เคืองใจ เรื่องเช่นนี้ฮ่องเต้อีกทั้งทำลงไปไม่ได้
แต่เวลานี้ เขามีเฉินตันจู
“เช่นนี้ นางเป็นคนชั่ว ข้าเป็นคนดี ทำให้ตระกูลใหญ่ และราษฎรของทั้งสองที่ปรับตัวเข้าหากันได้ดียิ่งขึ้น” ฮ่องเต้พูด ก่อนจะกินข้าวคำสุดท้ายจนหมด เขาวางถ้วยและตะเกียบลง ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พิงอยู่บนพนักเก้าอี้ มองดูม้วนคดีที่กองสูงอยู่บนโต๊ะ
“นางพูดถูก ช้าสามารถขับไล่ท่านอ๋องอู๋ไปได้ แต่ไม่อาจขับไล่ราษฎรอู๋ทั้งหมดได้ พวกเขาก็เป็น แค่ราษฎรกลุ่มหนึ่ง ในเมื่อเป็นราษฎรของเหล่าท่านอ๋องได้ย่อมเป็นราษฎรของข้าได้ ตอนนั้นเสด็จปู่เป็นคนมอบพวกเขาให้เหล่าท่านอ๋องเลี้ยงเอาไว้ จึงห่างไกลจากราชสำนักข้าคงต้องลำบากเสียเล็กน้อยในการเลี้ยงดูพวกเขาให้กลับมาใกล้ชิดเหมือนเดิมเท่านั้น”
ไม่ว่าคุณหนูตันจูจะเป็นคนชั่วหรือคนดี แต่สิ่งที่นางพูดฮ่องเต้ดันฟังเข้าหูจริงๆ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ขันทีจิ้นจงกระจ่างใจ ถอนหายใจต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท มันไม่ง่ายเลยเสียจริง”
ฮ่องเต้หัวเราะร่า แต่เมื่อนึกถึงจู๋หลินเขาก็ส่งเสียงไม่พอใจออกมา เขารู้ว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กปกป้องเฉินตันจูพอสมควร แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นมอบองครักษ์หลวงให้เฉินตันจูใช้
“เขารู้สึกว่าข้าง่ายหรืออย่างไร จึงปล่อยให้เฉินตันจูวิ่งมาถึงหน้าข้า” ฮ่องเต้ส่ายหัว ก่อนจะลูบคลำคาง
“ตอนที่โจมตีเมืองอู๋เขาก็บอกกับข้า ถึงแม้เฉินตันจูจะเป็นบุคคลเล็กๆ ที่ไม่โดดเด่น แต่สามารถมีประโยชน์ได้อย่างมาก ระหว่างราชสำนักกับเหล่าเมืองของท่านอ๋องต้องการคนเช่นนี้ อีกทั้งนางยินดีที่จะเป็นคนผู้นี้…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงของฮ่องเต้ก็หยุดลง ราวกับนึกอะไรบางอย่างได้เขามองไปยังขันทีจิ้นจง
“ตอนที่เจ้าเด็กนั้นเหลวไหล เขาก็พูดเช่นนี้ใช่หรือไม่”
เจ้าเด็กนั้นหมายถึงผู้ใด เรื่องนี้เป็นความลับ คนที่รู้ความลับนี้มีไม่มาก ขันทีจิ้นจงเป็นหนึ่งในนั้น แต่เขาย่อมไม่มีทางเอ่ยชื่อ เพียงแต่สายตาเต็มไปด้วยความเมตตา “ฝ่าบาท ท่านยังจำได้หรือพ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นเขาเคยพูดเช่นนี้จริง…แผ่นดินต้องการคนเช่นนี้ เช่นนั้นก็ให้เขาเป็นคนผู้นั้น”
เมื่อได้ยินคำพูดของขันทีจิ้นจง ฮ่องเต้คลำคางพลันหัวเราะ “หากพูดตามนี้…มิน่า” สายตาของเขาตกลงไปยังแผนที่ด้านข้าง “หน้ากากเหล็กยังอยู่เมืองฉี?”
ขันทีจิ้นจงตอบรับ ก่อนจะดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากบนโต๊ะ
“นี่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอยู่ตรงนี้” เขาพูด “ก่อนที่โจวเสวียนกลับมา จดหมายของท่านแม่ทัพก็มาถึงแล้ว ทางนั้นต้องการคนจัดการเฝ้าระวังกลับมาไม่ได้”
ฮ่องเต้รับจดหมายมา ก่อนจะนึกได้ว่าตนเองอ่านมันไปแล้ว แต่เนื่องจากมีเรื่องจำนวนมาก อีกทั้งรู้ข่าวว่าโจวเสวียนจะกลับมา มัวแต่รอเขาอย่างใจจดใจจ่อ จึงทำให้จำไม่ได้ว่าภายในจดหมายเขียนไว้ว่าอย่างไร
“ท่านแม่ทัพมักจะไม่พูดมากความ” ขันทีจิ้นจงพูด “พูดเพียงท่านอ๋องฉียอมจำนนรับโทษเป็นคุณงามความดีของโจวเสวียน ให้ฝ่าบาทพระราชทานรางวัลอย่างหนัก”
ฮ่องเต้ตอบรับ ถาม “ท่านอ๋องฉียอมรับโทษไม่ใช่คนเพียงผู้เดียวจะทำได้สำเร็จ เขาถ่อมตนเกินไป ถึงแม้จะต้องพระราชทานรางวัล ก็ย้อมต้องพระราชทานให้แม่ทัพหลักก่อน”
ขันทีจิ้นจงดูจดหมาย “ท่านแม่ทัพบอกว่าความปรารถนาของเขายังไม่สำเร็จ ไม่ต้องการรางวัล รอเขาทำให้สำเร็จค่อยมาขอรางวัลจากฝ่าบาท”
ความปรารถนาของแม่ทัพหน้ากากเหล็กคืออะไร ย่อมคือกองทัพที่แข็งแกร่ง ทำให้ฮ่องเต้ไม่ถูกเหล่าท่านอ๋องรังแกอีก
ฮ่องเต้หัวเราะร่า ไม่ได้พูดอะไรภายใต้การส่องสว่างของแสงไฟ ใบหน้าของเขาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ขันทีจิ้นจงไม่กล้าคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ ภายในตำหนักอึดอัดไปชั่วขณะหนึ่ง จนกระทั่งสายตาของฮ่องเต้เวียนไปยังแผนที่อีกครั้ง
“องค์รัชทายาทจะออกเดินทางแล้วหรือไม่” เขาถามขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมทั้งนั่งตัวตรงขึ้นมา
สีหน้าของขันทีจิ้นจงดีใจ “องค์รัชทายาทยังต้องรออีกระยะ แต่ว่าฮองเฮาจะออกเดินทางในอีกไม่กี่วันแล้ว เดินทางมาก่อนฤดูร้อนจะมาถึง องค์รัชทายาทเป็นกังวลว่าฮองเฮาจะเดินทางลำบาก”
ฮ่องเต้หัวเราะ “เด็กโง่นี้ เขาเดินทางในฤดูร้อนไม่ลำบากหรืออย่างไร”
“องค์รัชทายาทผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดติดตามฝ่าบาท ไม่กลัวลำบาก” จิ้นจงพูด ก่อนจะหยิบจดหมายม้วนเอกสารจำนวนมากขึ้นมาจากโต๊ะ “ฝ่าบาท ท่านดู สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททำในเมืองซีจิง ข่าวการอพยพเมืองเมื่อประกาศออกไป องค์รัชทายาทลำบากยิ่งนัก”
เรื่องใหญ่อย่างการอพยพเมืองหลวง ย่อมต้องมีคนคัดค้าน จึงต้องมีการเกลี้ยกล่อม ต้องปลอบประโลม ต้องบังคับขู่เข็ญ
ฮ่องเต้ย่อมรู้ความลำบากในนั้น เขาไม่อยู่ในเมืองซีจิง ความโกรธของคนเหล่านั้นย่อมต้องพุ่งไปยังองค์รัชทายาท
ฮ่องเต้ไม่ต้องเห็นสถานการณ์นั้นกับตา เพียงแค่คิดก็รู้แล้ว
“องค์รัชทายาททำได้ไม่เลว” ฮ่องเต้สีหน้าภาคภูมิใจ อีกทั้งชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
“ดีกว่าที่ข้าคิดไว้อย่างมาก”
“องค์รัชทายาทถูกฝ่าบาทสอนมากับมือ” ขันทีจิ้นจงพูดด้วยรอยยิ้ม
ฮ่องเต้หัวเราะร่า เขาภาคภูมิใจในตัวขององค์รัชทายาทจริงๆ องค์รัชทายาทนี้ได้มาตอนที่เขาขึ้นครองราชย์ด้วยความวิตกกังวล ถูกเขามองดุจดั่งสมบัติอันล้ำค่า สิ่งแรกที่เขากังวลคือองค์รัชทายาทไม่อาจเติบใหญ่ได้ เกรงว่าหากตนเองตายไป บัลลังก์ของราชวงศ์ต้าเซี่ยจะตกอยู่ในมือของคนอื่น ทะนุถนอมอย่างมาก อีกทั้งเกรงว่าตนเองจะตายเร็ว องค์รัชทายาทกลายเป็นหุ่นเชิดของเหล่าท่านอ๋อง เขาจึงเรียกคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในแผ่นดินทั้งหมดมาสอนสั่ง องค์รัชทายาทก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง เติบใหญ่อย่างปลอดภัย ศึกษาอย่างขยันขันแข็ง อีกทั้งแต่งงาน…มีบุตรมีหลาน เหล่าท่านอ๋องไม่อาจแย่งชิงราชบัลลังก์ได้ อย่างน้อยสองรุ่น ถึงแม้เขาจะตายในทันที ก็สามารถตายตาหลับได้
บัดนี้ช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุดล้วนผ่านไปแล้ว ราชบัลลังก์ของต้าเซี่ยไม่มีภัยคุกคามอีกต่อไป พวกเขาพ่อลูกก็ไม่ต้องกังวลถึงความตาย สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างสงบสุข
“องค์รัชทายาทมาถึง คงไม่อาจพักอยู่ด้านนอกได้ตลอด” ฮ่องเต้เกิดความตื่นเต้นขึ้นมาเขาเรียกขานขันทีจิ้นจง “เอาแผนที่พระราชวังมา ข้าจะนำส่วนหนึ่งของพระราชวัง สร้างวังรัชทายาทให้องค์รัชทายาท”
ขันทีจิ้นจงพูดอย่างดีใจ “ความคิดของฝ่าบาทดียิ่งนัก” เขาเป็นผู้ไปค้นแผนที่ของพระราชวังอู๋ด้วยตนเอง ให้คนนำม้วนเอกสารที่จะทำให้คนขุ่นเคือง และอาหารที่เย็นแล้วออกไป บนโต๊ะปูด้วยแผนที่ ภายในตำหนักใหญ่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ พร้อมกับเสียงหัวเราะของฮ่องเต้ ที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว
…
เหยาฝูคุกเข่าอยู่บนพื้น แม้แต่ร้องไห้ก็ร้องไม่ออก นางรู้ว่าน้ำตาไม่มีประโยชน์ต่อหน้าของแม่นางโง่เขลาไร้จิตใจในสมองมีเพียงรัชทายาท
“ไปเก็บของของนาง” เหยาหมิ่นสั่งนางใน นางอยากจะขับไล่ภาระนี้ทิ้งไปบัดเดี๋ยวนี้ หากมิใช่ประตูวังปิดลงแล้ว เกรงว่าจะรบกวนฮ่องเต้ เวลานี้นางจะจับเหยาฝูยัดขึ้นรถขับไล่ออกไป “พรุ่งนี้เช้าให้กลับเมืองซีจิงไป”
นางในตอบรับ เหยาฝูคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความนิ่งงัน ภายในใจกลับกำลังคิดหาวิธี ยิ่งคิดยิ่งเจ็บปวด นางมีวิธีอะไร นางมีรูปลักษณ์งดงามและสติปัญญาอันชาญฉลาด แต่เพราะไม่ได้กำเนิดในตระกูลของเหยาซู ไม่อาจเป็นพระชายาองค์รัชทายาทได้ ทำได้เพียงถูกขับไล่เหมือนหมูเหมือนสุนัข…
สวรรค์ช่างไร้ดวงตาเสียจริง
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท” ขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างดีใจ “ข่าวดี ข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ”
เหยาหมิ่นผงะ “ข่าวดีอันใด”
ขันทีทำท่าทีดีใจอย่างมาก “ฝ่าบาทจะนำส่วนหนึ่งของพระราชวังสร้างวังให้องค์รัชทายาท กำลังดูแผนที่อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เหยาหมิ่นผงะก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นดีใจ มือกุมไว้บนหน้าอกก่อนจะนั่งลงอย่างนุ่มนวล นางในพูดความในใจของนางออกมา “ดีเสียจริง ฝ่าบาทไม่ได้โกรธองค์รัชทายาท”
เหยาฝูฟื้นชีวิตขึ้นมาในเวลานี้ นางยื่นมือออกไปอย่างอ่อนโยน “ท่านพี่ ข้าบอกแล้ว ข้าไม่ได้ไปยั่วยุเฉินตันจูจริง ๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า…”
เหยาหมิ่นถลึงตาใส่นาง “ออกไป อย่าได้พูดเรื่องนี้อีก”
เหยาฝูไม่กล้าอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว นางลุกขึ้นด้วยความโซเซ ก่อนจะเดินออกมา ไม่กล้าแม้แต่จะพูดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่พักของตนเอง คนที่สมควรไปคือพระชายาองค์รัชทายาท
เหยาฝูยืนอยู่บริเวณมืดด้านนอก มือของนางกุมหน้าอกเอาไว้ ครั้งนี้ถือว่ารอดมาได้แล้ว
ถึงแม้เหยาหมิ่นไม่ได้บอกว่าไม่ให้นางไป แต่แค่ไม่บังคับยัดนางขึ้นรถ นางย่อมไม่มีทางจากไปด้วยตนเอง
เหยาฝูมองไปยังห้องคับแคบดุจดั่งสถานที่พักของนางในบ่าวรับใช้ ได้ยินเสียงหัวเราะของพระชายาองค์รัชทายาทที่ดังมาจากภายในห้อง
องค์รัชทายาทดวงดีเสียจริง มีความรักจากฮ่องเต้
เฉินตันจูดวงดีเสียจริง อาศัยการทรยศหักหลังเมืองอู๋ ทรยศหักหลังท่านอ๋องอู๋ และบิดาของตนเอง จนได้รับความรักจากฮ่องเต้เหมือนกัน
มีแต่นางที่ดวงไม่ดี