ทุกคนต่างคาดเดาว่าเป็นเรื่องสำคัญทางราชสำนัก แต่ไม่มีใครคิดว่าเรื่องที่กินเวลาฮ่องเต้ไปครึ่งวัน เลื่อนงานเลี้ยงยามค่ำคืนกับพระสนมเสียนเฟย องค์ชาย องค์หญิงและโจวเสวียนที่เพิ่งกลับมาจะเป็นเพราะเรื่องทะเลาะกันของเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่
พระสนมเสียนเฟยไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี ทำได้เพียงให้นางในไปลูบหลังให้โจวเสวียน “ดูสิ ทำให้อาเสวียนกลัวจนตกใจ”
ถึงแม้จะตกใจ แต่ก็ไม่ได้เพราะกลัว โจวเสวียนปิดปากกระแอมไอ
“เหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ทะเลาะกัน?” เขาถาม “ทะเลาะกันมาถึงหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท?”
ขันทีอุทานออกมา “คุณหนูตันจูนั้น…”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีโจวเสวียน โจวเสวียนเกลียดชังเหล่าท่านอ๋องและขุนนางของท่านอ๋องที่สุด ขุนนางของท่านอ๋องอย่างเฉินเลี่ยหู่ยิ่งมีชื่อเสียงอย่างมากต่อราชสำนัก หากพูดถึงบุตรสาวของเขา เกรงว่าโจวเสวียนจะโวยวายขึ้นมา
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่เจ็ดแปดคน ทะเลาะวิวาทกันตอนที่เที่ยวเล่นอยู่ด้านนอก สุดท้ายลงมือขึ้นมา”
โจวเสวียนเหลือบมองขันทีนี้ทีหนึ่ง ไม่พูดอะไร
องค์ชายห้ามององค์ชายสองและองค์ชายสี่ “เยี่ยมไปเลย เสด็จพ่อสนใจเรื่องนี้ด้วย? พวกเราพี่น้องทะเลาะกันตั้งแต่เด็ก เสด็จพ่อไม่แม้แต่จะถาม ปล่อยให้ท่านอาจารย์ลงโทษให้คุกเข่า”
องค์ชายสี่หัวเราะ “อย่าพูดเหลวไหล ข้าไม่เคยทะเลาะ มีแต่เจ้า”
“เหตุใดจึงมาถึงหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทได้” พระสนมเสียนเฟยถามด้วยคิ้วที่ขมวด
“ทะเลาะกันรุนแรงมากพ่ะย่ะค่ะ” ขันทียินดีที่จะเล่าเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง อันที่จริงเขาโตมาขนาดนี้ก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน “คุณหนูตระกูลเกิ่งถูกหามเข้ามา ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก หญิงสาวทะเลาะกันจะน่ากลัวเพียงนี้”
โจวเสวียนหัวเราะอยู่ด้านข้าง ถึงแม้จะเกินจริงไปบ้าง แต่หญิงสาวนั้นลงมือได้อย่างคล่องแคล่วจริงๆ
ขันทียังคงพูดต่อ “เดิมทีฝ่าบาทไม่รู้ว่าเรื่องอันใด เมื่อเห็นว่ามีตระกูลใหญ่ขอเข้าเฝ้าหลายตระกูล
พระสนม ฝ่าบาทพวกท่านก็รู้ ทุกคนล้วนเพิ่งย้ายมา ฝ่าบาทไม่ให้ความสำคัญไม่ได้”
พระสนมเสียนเฟยพยักหน้า ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์นั้น ตระกูลใหญ่ขอเข้าเฝ้าหลายตระกูลอย่างกะทันหัน คงน่าตกใจไม่น้อย
“สุดท้ายฝ่าบาทเรียกเข้ามาถาม ถึงได้รู้ว่าตอนที่เหล่าคุณหนูเที่ยวเล่นเกิดปากเสียงขึ้น ทำให้ฝ่าบาทโกรธอย่างมาก” ขันทีส่ายหัวโบกมือ ก่อนจะกดเสียงต่ำลง “ข้าวของกระจัดกระจายเลยพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมเสียนเฟยส่ายหัว “เหลวไหลเสียจริง ฝ่าบาทมีงานมากในเวลานี้…”
องค์ชายห้าหัวเราะ ก่อนจะกระซิบกับองค์ชายสองและองค์ชายสี่ “ไม่คิดว่าหญิงสาวจะทะเลาะกัน แต่ก่อนไม่เคยเห็น”
“แต่ก่อนจะมีได้อย่างไร ย่อมต้องเป็นเพราะ…” พระสนมเสียนเฟยพูด ชื่อของคุณหนูตันจูมาถึงมุมปากก็ถูกกลืนกลับไป นางเหลือบมองโจวเสวียน ไม่อาจพูดชื่อของเฉินเลี่ยหู่ต่อหน้าโจวเสวียนได้ อีกทั้งนางเป็นคนระมัดระวัง ทันใดนั้นกระแอมไอเสียงเบา ก่อนจะถามขันที “สุดท้ายฝ่าบาทจัดการอย่างไร”
ขันทีพูดอย่างระอา “ทำอย่างไรได้ เรื่องเล็กเพียงนี้ ฝ่าบาทด่าพวกเขาไป ให้ตระกูลใหญ่ดูแลบุตรหลานให้ดี อย่าได้เที่ยวเล่นก่อเรื่อง มิฉะนั้นให้พวกเขากลับเมืองซีจิงไป”
เมื่อฟังจนจบประโยคสุดท้าย ทุกคนในเหตุการณ์ต่างกระจ่าง คุณหนูตันจูฟ้องชนะ ความโกรธของฮ่องเต้ตกลงบนหัวของเหล่าตระกูลใหญ่ อีกทั้งยังพูดขับไล่ออกมา
คุณหนูตันจูนี้…ร้ายกาจกว่าที่พวกเขาคิดไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าบาท
พระสนมเสียนเฟยจึงส่ายหัว “เหล่าบุตรหลานของตระกูลใหญ่ก็เหลวไหล ไม่อยู่ในจวนอย่างสงบ เที่ยวเล่นไปทั่ว…” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็นึกบางอย่างขึ้นได้ สายตามองไปยังพระชายาองค์รัชทายาท
ตั้งแต่ขันทีพูดถึงเรื่องของเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่เกิดการทะเลาะวิวาทระหว่างการเที่ยวเล่นนั้น
พระชายาองค์รัชทายาทก็เงียบลง อีกทั้งยังนั่งถอยไปด้านหลังเล็กน้อย เวลานี้เมื่อสายตาของพระสนม
เสียนเฟยมองมา ทำให้นางยิ่งกังวล
พระสนมเสียนเฟยไม่ได้พูดอันใด นางเบนสายตากลับ ถามด้วยความห่วงใย “แต่ฝ่าบาทก็ต้องเสวยบ้าง ไม่เสวยไม่ได้”
ขันทีตอบรับ “ห้องเครื่องเตรียมอาหารไว้แล้ว ฝ่าบาทเสวยไปเล็กน้อย เวลานี้กำลังดูรายงานอยู่ มีเรื่องอีกมากมายพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมเสียนเฟยส่ายหัว “วางใจไม่ได้ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่” นางเรียกนางในของตนเองไปหยิบอาหารที่ตนเองทำเอาไว้ “กงกงนำไปให้ฝ่าบาทเสวยในตอนที่หิว”
ขันทีโน้มตัวตอบรับ ก่อนจะหิ้วตะกร้าอาหารจากไป
พระสนมเสียนเฟยมองไปยังคนอื่น องค์ชายห้าไม่รู้คิดอะไรได้ กระซิบกระซาบอยู่กับองค์ชายสอง
องค์ชายสี่และโจวเสวียน ส่วนพระชายาองค์รัชทายาทนั่งอย่างไม่สงบ…คนเหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อกินข้าวในเดิมที
“ฝ่าบาทหมดอารมณ์เสวยแล้ว พวกเราก็แยกย้ายเถิด” พระสนมเสียนเฟยพูดอย่างเด็ดขาด ก่อนจะมองไปยังโจวเสวียนด้วยรอยยิ้ม “อาเสวียน งานเลี้ยงต้อนรับข้าจะจัดให้เจ้าในภายหลัง”
องค์ชายห้าทนรอไม่ได้อยู่นานแล้ว เขาลากโจวเสวียนขึ้นพลางพูด “เสียนเฟยเหนียงเหนียงไม่ต้องกังวล พวกข้าต้อนรับอาเสวียนให้เอง”
พระสนมเสียนเฟยกำชับ “ต้อนรับอาเสวียนได้ แต่อย่าได้ดื่มสุรามากจนก่อเรื่อง ฝ่าบาทกำลังโกรธ ไม่ปล่อยพวกเจ้าแน่”
องค์ชายห้าตอบรับ ก่อนจะเรียกองค์ชายสอง องค์ชายสี่และโจวเสวียนจากไป
พระชายาองค์รัชทายาทก็ลุกขึ้นขอตัว
พระสนมเสียนเฟยเหลือบมองนาง ก่อนจะพูดอย่างมีนัย “อาหมิ่น ฮองเฮายังเดินทางมาไม่ถึง ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับเจ้า เจ้าทำอันใดต้องคิดให้มาก”
พระชายาองค์รัชทายาทตอบรับด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะขอตัวจากไปอย่างรีบร้อน
เมื่อเห็นท่าทางวิ่งหนีไปของพระชายาองค์รัชทายาท พระสนมเสียนเฟยยิ้มอย่างเสียดสีและดูถูก นางย่อมรู้ดี เรื่องที่เหล่าคุณหนูของตระกูลใหญ่เหล่านี้ออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกเป็นฝีมือของพระชายาองค์รัชทายาท นางคิดจะสร้างคุณงามความดีทำให้ตระกูลใหญ่หลอมรวมเข้ามาในเมืองใหม่ก่อนที่ฮองเฮาจะมาถึง แต่คิดไม่ถึงว่าเมืองใหม่นี้จะมีเฉินตันจู…ครานี้ไม่มีคุณงามความที่ทำให้ตระกูลใหญ่หลอมรวมเข้ามาในเมืองใหม่ มีเพียงก่อเรื่องทะเลาะวิวาท
พระชายาองค์รัชทายาทเหมือนกับองค์รัชทายาท มักจะทำท่ายโสโอหังเหมือนว่าตนเองเก่งกาจ พระสนมเสียนเฟยไม่ชอบนางมาตั้งนานแล้ว
“เฉินตันจูนี้ ฝ่าบาทให้ความสำคัญอย่างไม่ธรรมดา” พระสนมเสียนเฟยพึมพำกับตนเอง ถึงแม้จะได้ยินว่าสาเหตุที่ฮ่องเต้สามารถเจรจากับท่านอ๋องอู๋ได้ เพราะว่ามีบุตรสาวของเฉินเลี่ยหู่เฉินตันจูชักนำ แต่เนื่องจากตัวตนของเฉินเลี่ยหู่ และความแค้นของฮ่องเต้ที่มีต่อเหล่าท่านอ๋อง นางรู้สึกว่าตระกูลของเฉินเลี่ยหู่ยังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่ามีความเมตตามากแล้ว ไม่คิดว่า…
พระสนมเสียนเฟยเรียกนางในคนสนิทมา “ไปสืบเรื่องของคุณหนูตันจูนั้นเสียหน่อย”
รู้จักมากขึ้น มีการเตรียมการไว้จะดีกว่า
นางในตอบรับ
พระชายาองค์รัชทายาทเดินบุกเข้ามาในที่พักของเหยาฝู ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายมาพบเหยาฝูด้วยตนเอง เหยาฝูไม่คิดว่าจะมีเรื่องดีอะไร คงจะมีแต่เรื่องตกใจ
เป็นไปดั่งที่คาด ทันทีที่นางตะโกนเรียกท่านพี่ พร้อมกับต้อนรับด้วยรอยยิ้มนั้น นางก็ถูกพระชายาองค์รัชทายาทตบเข้าที่หน้า
ทันในนั้นบนใบหน้าและในใจของเหยาฝูล้วนแสบร้อน นางรีบคุกเข่าลงพลางสะอื้น “ท่านพี่…”
“อย่าเรียกข้าว่าพี่” เหยาหมิ่นตะโกนด้วยความโกรธ ถึงแม้จะไม่มีคนกล้าตบนาง แต่ใบหน้าของนางก็แดงก่ำราวกับถูกตบ “ล้วนเป็นเรื่องดีๆ ที่เจ้าก่อทั้งนั้น!”
เรื่องดีหรือ เหยาฝูฉงนเล็กน้อย อันที่จริงก่อนหน้านี้นางกำลังยินดีปรีดากับเรื่องดีจริงๆ คนด้านนอกส่งข่าวมาให้นาง บอกว่าทั้งเมืองกำลังถกเถียงความกำเริบเสิบสานของเฉินตันจู การอาศัยอำนาจรังแกคน ยโสโอหัง ยึดภูเขาเป็นของตนเอง รังแกทั้งชายทั้งหญิง…
เรื่องทะเลาะวิวาทของเฉินตันจูและเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปถึงหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้
ถึงแม้นางจะอยู่ในพระราชวัง แต่นางไม่อาจสืบข่าวทางฮ่องเต้ได้ ส่วนคนด้านนอกพระราชวังส่งข่าวได้ช้า…จึงยังไม่มีข่าวใหม่ล่าสุดส่งมา
แต่สำหรับนางแล้ว เรื่องนี้ยิ่งใหญ่ยิ่งดี เรื่องใหญ่มากเพียงใดชื่อเสียงของเฉินตันจูยิ่งเสียเท่านั้น คนที่เกลียดชังเฉินตันจูก็ย่อมมากขึ้น…
แต่เวลานี้เกิดอันใดขึ้น
“เกิดอันใดขึ้น” เหยาหมิ่นกัดฟันพูด “ข้าให้เจ้าจัดการเรื่องการคบหาของเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่จาก
ซีจิงและเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่จากเมืองอู๋ ไม่ใช่ให้พวกนางก่อเรื่อง เวลานี้ดีแล้ว พวกนางทำให้เฉินตันจู
ขุ่นเคือง ฝ่าบาทโกรธหนัก คิดจะขับไล่ตระกูลใหญ่เหล่านี้ออกจากเมืองหลวงใหม่!”
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ภายในใจของเหยาฝูเย็นวาบ อีกฝ่ายเป็นถึงตระกูลใหญ่ ฝ่าบาทจะขับไล่ตระกูลใหญ่เพื่อเฉินตันจู ตระกูลเหล่านั้นล้วนเป็นตระกูลใหญ่หน้าฮ่องเต้…
สายตาเย็นชาของพระชายาองค์รัชทายาทตกอยู่บนใบหน้าของนาง
“เรื่องนี้ เจ้าเป็นคนผลักดันอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่” นางถาม “เจ้ากับเฉินตันจูมีความสัมพันธ์อันใดกัน คนอื่นไม่รู้ แต่เจ้ากับข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ”