เมื่อเหล่าขันทีนางในที่ถูกไล่ออกไปอยู่ด้านนอกได้ยิน พวกเขาก็ไม่ตกใจ หากแต่โล่งใจ พวกเขารู้ว่าเมื่อเหล่าองค์ชายรวมตัวกัน โดยเฉพาะหากมีคุณชายรองโจวอยู่ด้วย ย่อมต้องเกิดเรื่องขึ้น
องค์ชายสองและองค์ชายสี่ต่างก็เดาได้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทุกคนล้วนเดาได้ ตอนที่ขันทีนั้นมาจึงไม่กล้าพูดถึงชื่อของเฉินตันจู
โจวชิงตายในมือของเหล่าท่านอ๋อง โจวเสวียนละทิ้งพู่กันเปลี่ยนไปจับอาวุธเพื่อแก้แค้นแทนบิดา เขาเกลียดชังเหล่าท่านอ๋อง รวมถึงขุนนางของท่านอ๋องอย่างเป็นที่สุด อีกทั้งยังประกาศจะสังหารเหล่าท่านอ๋อง รวมถึงขุนนางชั่วกับมือของตนเอง ซึ่งเฉินเลี่ยหู่ก็คือท่านมหาราชครูผู้มีชื่อเสียงท่ามกลางขุนนางของเหล่าท่านอ๋อง…
เมืองอู๋ถูกเรียกคืน ท่านอ๋องอู๋และเฉินเลี่ยหู่ได้ทำให้โจวเสวียนไม่พอใจอย่างมากแล้ว แต่ฮ่องเต้ไม่ลงโทษพวกเขาก็ไม่อาจทำอันใดได้ เขาเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะจัดการกับเฉินเลี่ยหู่ เวลานี้ได้ยินว่าบุตรสาวของเฉินเลี่ยหู่กำเริบเสิบสาน เขาย่อมไม่มีทางปล่อยไป คิดจะหาโอกาสก่อเรื่อง
อันที่จริงโจวเสวียนจะจัดการเฉินตันจูอย่างไรไม่สำคัญกับพวกเขา แต่เวลานี้ฮ่องเต้กำลังโกรธ อีกทั้งเพิ่งต่อว่าตระกูลใหญ่ที่ไปยั่วยุเฉินตันจู ให้พวกเขากลับซีจิงไป หากเวลานี้โจวเสวียนไปก่อเรื่องอีก พวกเขาที่ดื่มเหล้ากับโจวเสวียนย่อมต้องถูกกระทบ
ฮ่องเต้ไม่ลงโทษโจวเสวียน แต่ต้องระบายความโกรธกับพวกเขา หากขับไล่พวกเขากลับซีจิงจะทำอย่างไร
ฮ่องเต้มีองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทมีองค์ชาย องค์ชายอย่างพวกเขาไม่สำคัญสำหรับฮ่องเต้
“อาเสวียน ไม่ใช่ฝ่าบาทเมตตา” ทั้งสองคนจับโจวเสวียนไว้คนละข้าง “แต่เฉินตันจูยังมีประโยชน์ต่อฝ่าบาท”
โจวเสวียนหยุดการกระทำลง “มีประโยชน์อันใด ท่านอ๋องอู๋ไม่มีแล้ว…”
มีประโยชน์อันใด องค์ชายสองและองค์ชายสี่จะรู้ได้อย่างไร คำพูดนี้เป็นเพียงข้ออ้างที่พูดขึ้นเพื่อห้ามปรามโจวเสวียนเท่านั้น
สำหรับโจวเสวียนแล้ว เหล่าท่านอ๋องเป็นศัตรูที่ใหญ่ที่สุด แต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาสงบลง
“เพราะว่า ท่านอ๋องอู๋ยังไม่ตาย” องค์ชายสี่หาเหตุผลมาอ้างต่อโจวเสวียน ก่อนจะจับแขนของ
โจวเสวียนไว้แน่น “อีกทั้งท่านอ๋องอู๋ยังไม่รับผิด เดินทางไปเป็นท่านอ๋องโจวอย่างสง่างาม”
“ใช่ ท่านอ๋องอู๋ยังมีชีวิตอยู่อย่างสง่างาม” โจวเสวียนพึมพำ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความแค้น “ท่านพ่อของข้านอนอยู่บนพื้นเย็นมานานเพียงนี้แล้ว”
เมื่อสัมผัสได้ถึงแขนของโจวเสวียนที่ผ่อนคลายลง องค์ชายสองและองค์ชายสี่ต่างโล่งใจ
“แต่ เกี่ยวอันใดกับเฉินตันจู” โจวเสวียนถามอีก
ใครจะไปรู้กัน…องค์ชายสองและองค์ชายสี่ตอบไม่ได้
องค์ชายห้าที่นั่งอยู่บนพื้นคลำหัวที่กระแทกพูดขึ้น “เจ้าไปถามฝ่าบาทเองก็รู้แล้ว”
จิตใจของฝ่าบาทผู้อื่นย่อมเดาได้ โจวเสวียนย่อมเดินไปถามได้ เขายกเท้าขึ้นอีกครั้ง “พูดถูก ข้าไปถามบัดนี้”
องค์ชายสองและองค์ชายสี่รั้งเขาไว้อีกครั้ง “เวลานี้อย่าไป เจ้าดื่มจนเมาเพียงนี้ เมื่อพบแล้วไม่อาจพูดดีๆ ได้ เวลานี้ดื่มให้สนุกก่อน เมื่อตื่นมาพรุ่งนี้ค่อยไปถาม เฉินตันจูหนีไม่พ้นอยู่แล้ว”
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะไปถามฝ่าบาทในวันพรุ่งนี้ หรือไปหาเรื่องเฉินตันจู ล้วนไม่เกี่ยวกับพวกเขาแล้ว
โจวเสวียนหัวเราะ “ท่านพูดถูก เฉินตันจูหนีไม่พ้นอยู่แล้ว คืนนี้ข้าจะดื่มให้อิ่มหนำสำราญ”
เขานั่งลงไปบนพื้น องค์ชายห้าที่กำลังจะลุกขึ้นถูกกระแทกเข้าอีกครั้ง ทั้งโกรธทั้งขุ่นเคือง เขาหยิบกาสุราราดใส่ตัวของโจวเสวียน โจวเสวียนก็ไม่ยอมแม้แต่น้อย ยกเท้าขึ้นถีบองค์ชายห้าออกไป องค์ชายสองห้ามปราม องค์ชายสี่ยืนดู ภายในห้องโกลาหลขึ้นมาอีกครั้ง
ทางเหล่าองค์ชายเล่นสนุกสนานกันอย่างไร้ความกังวล เฉินตันจูไม่มีความหมายในสายตาของพวกเขา แต่ทางพระชายาองค์รัชทายาทกลับดุจดั่งคลังน้ำแข็ง
เหยาฝูคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่กล้าร้องไห้เสียงดัง เหยาหมิ่นนั่งครุ่นคิดพร้อมสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
“ดูท่าทางเฉินตันจูจะไม่ออกจากเมืองนี้ไป อีกทั้งยังมีฝ่าบาทปกป้องนางอยู่” นางพูดพึมพำ สายตาจับจ้องไปยังตัวของเหยาฝู “หากเป็นเช่นนั้นเจ้ากลับไปเมืองซีจิงเถิด”
ซิจิงกลายเป็นสถานที่ที่ถูกทอดทิ้งแล้ว หากนางกลับไปก็คงจะกลายเป็นคนที่ถูกทอดทิ้งจริงๆ ! เหยาฝูตกใจจนสีหน้าซีดเผือด นางจับหัวเข่าของเหยาหมิ่นเอาไว้ “ท่านพี่ ท่านพี่อย่าไล่ข้ากลับไป ข้าพูดความจริง ข้าไม่ได้จงใจหาเรื่องเฉินตันจู เฉินตันจูนางก็ไม่รู้จักข้า”
เหยาฝูร้องไห้อย่างน่าสงสาร เหมือนดั่งตอนที่ขอร้องให้เหยาหมิ่นพานางมาเมืองอู๋ แต่ครั้งนี้ไม่มีประโยชน์ เหยาหมิ่นยอมพานางมาเพราะคิดว่านางคุ้นเคยกับเมืองอู๋ มีนางคงสะดวกขึ้นมาเสียบ้าง แต่เวลานี้การมีอยู่ของเหยาฝูมีอันตรายต่อองค์รัชทายาท ถึงแม้จะเป็นแค่ความเป็นไปได้ แต่นางก็ไม่อนุญาต
“อาศัยเวลาที่นางยังไม่รู้จักเจ้า เจ้ารีบจากไปเสียจะดีกว่า” เหยาหมิ่นขมวดคิ้วพูด “เมื่อรอนางจำเจ้าได้ แล้วก่อเรื่องขึ้นมา ข้าคงปกป้องเจ้าไม่ได้”
เหยาฝูหลั่งน้ำตา แต่ภายในใจโกรธแค้นจนกัดฟัน พระชายาองค์รัชทายาทไร้เยื่อใยอย่างมาก ทั้งที่นางทำเพื่อพวกเขา…ไม่มีคุณงามความดีแต่ก็เสียแรง
อีกทั้งยังมีเฉินตันจู นางเพียงแค่ยื่นมือทดสอบ สุดท้ายเฉินตันจูไร้บาดแผล หากแต่เป็นนางที่ถูกซัดจนล้มพลิกตัวไม่ได้
เฉินตันจูขายเมืองอู๋ บิดาของนางทรยศท่านอ๋องอู๋ แต่มีคุณงามความดีมากเพียงนี้ในสายตาของฮ่องเต้หรือ
ภายในตำหนักใหญ่ที่สว่างไสว ฮ่องเต้ยังคงกำลังยุ่งเรื่องราชการ
ขันทีใหญ่จิ้นจงถือมื้อดึกเข้ามา เมื่อเห็นอาหารที่วางไว้ก่อนหน้านี้บนโต๊ะ รวมไปถึงอาหารที่พระสนมเสียนเฟยส่งมาล้วนไม่ได้ถูกเสวย
“ฝ่าบาท โกรธเพียงใดก็ต้องเสวยอาหารพ่ะย่ะค่ะ” เขาเกลี้ยกล่อม “เรื่องนี้ฝ่าบาทบอกกระหม่อมตั้งแต่เด็ก ฝ่าบาทอย่าได้ลืมเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ้ม เมื่อนึกถึงเรื่องตอนเด็ก เสด็จพ่อล้มป่วยเพราะถูกเหล่าท่านอ๋องบีบบังคับ พระราชวังเต็มไปด้วยวิกฤตรอบด้าน เขาทั้งกลัวทั้งตกใจ แต่ก็ยังบังคับให้ตนเองกินอาหาร เกรงว่าจะล้มป่วยลง เขาจะล้มป่วยลงไม่ได้ เมื่อป่วยจะไม่มีทางหายดี เสด็จอาทั้งห้ากำลังจ้องให้องค์ชายทั้งสามอย่างพวกเขาตายไปให้หมด เพื่อให้ตนเองรับราชบัลลังก์ของราชวงศ์ต้าเซี่ยต่อไป
เวลานั้นเขามักจะคิด เมื่อใดเสด็จอาเหล่านี้ถึงจะตาย เขารู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
แต่เวลานี้เหล่าเสด็จอาล้วนตายไปแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ตายแต่ก็ไม่ใช่วิกฤตอีกต่อไป
ฮ่องเต้รับชามข้าวมาจากจิ้นจง ข้าวหุงแบบง่ายดาย ด้านบนมีผักสีเขียว และเนื้อพะโล้ที่มีทั้งเนื้อและมันสลับกันไป ทำให้เขามีความอยากอาหารขึ้นมาทันที
“ยังคิดว่าฝ่าบาทไม่หิวเสียอีก” ขันทีจิ้นจงยิ้ม “ที่แท้ก็ลืมเพราะโกรธ”
ฮ่องเต้มองดูเอกสารแต่ละกองบนโต๊ะ เอกสารเหล่านั้นล้วนเป็นเอกสารคดีการก่อกบฏของราษฎรเมืองอู๋ที่เขาโยนไปข้างตัวเฉินตันจูก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะอ่านไปรอบหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังให้ทิ้งเอาไว้ เพื่ออ่านอย่างละเอียด
“ถึงแม้จะมีคนอยู่เบื้องหลัง แต่ราษฎรอู๋เหล่านี้ไม่เคารพต่อฝ่าบาทจริง” จิ้นจงพูด เขาไม่เกรงกลัวที่จะถกเถียงเรื่องราชสำนัก เขาพูดกับฮ่องเต้อย่างเปิดเผย “เฉินตันจูมาตำหนิฝ่าบาทเช่นนี้ เป็นการทำเกินกว่าเหตุ อีกทั้งนางคิดจะมาก็มา แต่รังแกเหล่าบุตรสาวของตระกูลใหญ่จากซีจิงทำไมกัน การกระทำเช่นนี้กระหม่อมไม่คิดว่านางจะเป็นคนดี”
ฮ่องเต้พยักหน้า “นางไม่ใช่คนดี นางไม่คิดดีต่อท่านอ๋องอู๋ แต่ก็ไม่คิดดีกับข้า”
จิ้นจงไม่เข้าใจ “นางเป็นคนชั่วร้าย เหตุใด ฝ่าบาทจึงปกป้องนาง”
ฮ่องเต้หัวเราะ กินข้าวคำใหญ่
“เพราะว่ามีนางเป็นคนชั่วร้าย ข้าก็สามารถเป็นคนดีได้”