อากาศของเมืองหลวงใหม่มาถึงช่วงที่ร้อนอบอ้าวที่สุด ผู้คนที่เดินทางบนท้องถนนยิ่งลำบากมากขึ้น ภายในโรงน้ำชาเต็มไปด้วยแขกตั้งแต่เช้าจรดเย็น
“ขบวนเสด็จของฮองเฮายิ่งใหญ่เสียจริง”
“อะไรนะ ฮองเฮาเข้าเมืองหลวงแล้วหรือ ข้าเดินทางมาโดยเฉพาะ คิดว่าจะเห็นเสียอีก”
“ฮ่าๆ เจ้าพลาดแล้ว ไม่เพียงแต่ฮองเฮา ยังมีองค์หญิงสององค์ด้วย เนื่องจากอากาศร้อน มีองค์หญิงองค์หนึ่งขี่ม้า องค์หญิงงดงามเป็นอย่างมาก”
เมื่อได้ยินดังนี้ คนส่วนมากจึงแสดงออกถึงความเสียดายและอิจฉา
“อย่ารีบร้อน ต่อไปถึงคราองค์รัชทายาทเข้าเมืองหลวงแล้ว” มีคนนำข่าวที่ใหม่กว่ามาปลอบประโลมทุกคน
แต่ก็ยังมีคนรู้สึกเสียดาย “อย่างไรองค์รัชทายาทก็ไม่น่าดูเท่าองค์หญิง”
คำพูดนี้ทำให้คนหัวเราะออกมา แต่ก็มีบางคนตักเตือน “ชู่ อย่าพูดเหลวไหล ไม่เคารพอย่างมาก”
คนที่พูดก่อนหน้านี้ฉงนเล็กน้อย “ไม่เคารพอันใดกัน” เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่วิจารณ์ว่าใครงดงามกว่าระหว่างองค์รัชทายาทและองค์หญิงเท่านั้น
“บัดนี้แตกต่างจากแต่ก่อนแล้ว เจ้ามาจากต่างถิ่นจึงไม่รู้ ระยะนี้มีคนจำนวนมาก อืม โดยเฉพาะราษฎรเมืองอู๋ เนื่องจากวิจารณ์เรื่องของราชสำนัก พูดคุยเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ ถูกคาดโทษว่าไม่เคารพและถูกขับไล่ออกไปแล้ว”
คนอื่นต่างก็เป็นพยานว่าได้ยินข่าวเช่นนี้เหมือนก่อน คนที่พูดก่อนหน้านี้จึงไม่กล้าพูดอีก เขาหยิบชามน้ำขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสำลักขึ้นมา
เขาเพิ่งกระแอมไอทีหนึ่งก็มีคนเดินเข้ามาถาม “แขกท่านนี้ ท่านไอหรือ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
แขกคนนี้ตกใจ เมื่อเห็นว่าเป็น…หญิงสาวที่ขายชาที่กำลังหิ้วกาน้ำชา ในมือของหญิงสาวขายชานอกจากกาน้ำชาแล้ว นางยังยกห่อยาขึ้นมา
“แขกท่านนี้ ยานี้มีเฉพาะอารามดอกท้อ รักษาการไอแห้งโดยเฉพาะ สามารถขจัดความร้อนล้างปอดได้” สายตาของนางร้อนรุ่ม “ท่านต้องการสักห่อหรือไม่ ไม่เสียเงิน แน่นอนว่าหากท่านต้องการหายเร็วขึ้น สามารถขึ้นไปยังอารามดอกท้อบนภูเขาดอกท้อ ให้เจ้าอารามรักษาให้…”
แขกกะพริบตาส่งเสียงอาออกมา ก่อนจะมองไปรอบด้าน คนที่คึกคักและพูดคุยกับเขาในเดิมทีต่างหดตัวในเวลานี้ บ้างก้มหน้าดื่มน้ำ บ้างมองออกไปด้านนอก อีกทั้งยังมีบางคนเดินจากไปอย่างเงียบๆ …
ถึงแม้พวกเขาจะไม่พูดอะไร แต่แขกผู้นั้นก็สามารถสัมผัสได้อย่างว่องไว ทุกคนดูเกรงกลัวกว่าข้อหาไม่เคารพที่พูดถึงก่อนหน้านี้อย่างมาก
แขกผู้นั้นกลืนน้ำลาย “ไม่ ไม่ต้องการ…”
“ท่านลองดู” หญิงสาวขายชาเกลี้ยกล่อม “ท่านดู…”
“อาเถียน!” หญิงชราขายชาที่เติมน้ำในคอกม้าด้านนอกเดินเข้ามาเห็นพอดี จึงรีบตะโกน “หยิบชาแล้วก็ไปได้แล้ว!”
“ไม่เอาก็ตามใจท่าน” อาเถียนเก็บห่อยา ก่อนจะยกกาน้ำชาขึ้นมายิ้มให้หญิงชราขายชา “ข้านำกลับไปหนึ่งกา”
พูดจบก็หิ้วกาน้ำชาเดินออกไป
หญิงชราขายชาถลึงตาใส่นาง ตั้งแต่ไปทำงานบริเวณเตาไฟ คนอื่นที่เงียบสงบลงทางนี้จึงกลับมานั่งเหมือนเดิม
“นี่…” แขกผู้นั้นถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย นิ้วที่ยื่นออกไปชี้ไปทางหญิงสาวที่เดินออกจากโรงน้ำชา…
ทุกคนต่างกดมือของเขาลงบนโต๊ะทันที พร้อมกับตำหนิ “อย่าชี้มั่วซั่ว”
น่ากลัวเหลือเกิน แขกผู้นั้นชักมือกลับมาอยู่ตรงหน้าตักของตนเอง
“นางเป็นคนของอารามดอกท้อบนภูเขาดอกท้อนี้” แขกคนหนึ่งด้านข้างพูดเสียงเบา “ในอารามดอกท้อมีคุณหนูตันจู คุณหนูตันจูเจ้ารู้จักใช่หรือไม่ นางไม่สนญาติมิตร ฆ่าคนไม่กะพริบตา ตีคนไม่มืออ่อน โจรภูเขาขวางทางปล้นทรัพย์ นางยึดครองภูเขาไม่เพียงปล้นทรัพย์ อีกทั้งยังขวางทางเพื่อรักษาโรค…”
แต่คนละพูดกันคนละประโยคเล่าเรื่องต่างๆ ออกมา ทำให้แขกที่ได้ฟังตกตะลึงอย่างมาก
“เจ้าว่าเมื่อครู่เจ้าอันตรายเพียงใด” พูดจบแขกคนหนึ่งอุทานออกมา “เจ้ากล้าไอออกมา อยากจะให้นางรักษาโรคให้หรืออย่างไร”
แขกผู้นั้นรีบใช้มือปิดปากเอาไว้ “ข้าไม่อยาก ข้าไม่ได้ป่วย ข้าแค่สำลัก” ก่อนจะตัดสินใจว่าถึงแม้จะสำลักอีก เขาก็จะไม่ไอออกมาแม้แต่น้อย
หญิงชราขายชาหิ้วกาน้ำชาหนึ่งกาวางลงบนโต๊ะเสียงดัง “อย่าพูดเหลวไหล คุณหนูตันจูไม่ได้เป็นเช่นนั้น”
แขกทุกคนล้วนเกรงกลัวคุณหนูตันจู แต่ไม่กลัวนาง ทันใดนั้นนั่งตัวตรง
“ท่านยาย ท่านบอกมาว่ามีเรื่องเหล่านี้จริงหรือไม่”
“ท่านยาย ท่านเห็นกับตาของตนเองตรงนี้ คุณหนูตันจูทำร้ายเหล่าคุณหนูที่ขึ้นไปเที่ยวเล่นบนภูเขาใช่หรือไม่”
“ที่ว่าการจับคนไปหรือไม่”
เมื่อเผชิญกับคำถามของทุกคน หญิงชราขายชาทั้งขุ่นเคืองทั้งระอา นางจะพูดได้อย่างไร เพราะเรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจริง
“อย่างไรก็ตาม เกรงใจคุณหนูตันจูเสียบ้าง ไม่ทำให้นางขุ่นเคือง นางก็ไม่มีทางทำอันใดพวกเจ้า” นางทำได้แค่พูด “หากเจ้าไม่สบาย ให้คุณหนูตันจูรักษาให้ นางไม่เก็บเงินเจ้าอย่างไม่มีเหตุผล”
เหล่าแขกที่มาต่างหัวเราะ จากไปกลุ่มหนึ่งก่อนจะเดินทางมาอีกกลุ่มหนึ่ง ยาที่วางอยู่บนตู้ยาด้านข้างไม่ได้ถูกมอบออกไปอีก หญิงชราขายชาเหลือบมองทีหนึ่ง ถอนหายใจ นางก็ไม่รู้จะพูดกับคุณหนูตันจูอย่างไรแล้ว เริ่มแรกนางคิดว่าคุณหนูตันจูเป็นเช่นนั้น ต่อมาหลังจากคุ้นเคยแล้วถึงได้รู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น แต่ระยะนี้คุณหนูตันจูกลายเป็นคนที่นางไม่คุ้นเคยอีกแล้ว…
อย่างไรก็ตาม เดิมทีทุกคนเริ่มยอมรับอารามดอกท้ออย่างช้าๆ แล้ว แต่เวลานี้กลับกลายเป็นเหมือนน้ำหลากสัตว์ร้ายที่หลบหลีกแทบไม่ทันเหมือนเดิม
คุณหนูตันจูไม่ลงเขามาตั้งโรงยาอีก หากนางลงมาจริงๆ ถนนเส้นนี้คงไม่มีผู้ใดกล้าผ่านอีกแล้ว เวลานี้ถึงแม้คนบนท้องถนนมีไม่น้อย แต่ภูเขาดอกท้อที่สวยงามกลับไม่มีผู้ใดกล้าเดินขึ้นไป
กิจการโรงยา คุณหนูตันจูคงเปิดไม่สำเร็จแล้ว หญิงชราอาศัยช่วงที่มีแขกน้อยพักผ่อน นางมองไปยังบันไดขึ้นเขาฝั่งตรงข้ามพลางครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นมีรถม้าคันหนึ่งจอดลง เอ๊ะ หากต้องการดื่มชาคงต้องจอดทางนี้…
หญิงชรามีความคิดปรากฏขึ้น เมื่อนางเห็นคนเคลื่อนรถวางเก้าอี้เตี้ยลง บนรถมีสาวรับใช้คนหนึ่งเดินลงมาก่อน จากนั้นพยุงหญิงสาวอีกคน หญิงสาวอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี สวมชุดกระโปรงบางสีเขียวอ่อน หวีผมทรงสูง เครื่องแต่งกายและท่าทางไม่ใช่คนธรรมดา
นางยืนอยู่ริมทางภูเขา เงยหน้าขึ้นมอง ราวกับถามอะไรบางอย่าง ก่อนที่สาวรับใช้จะชี้ขึ้นไปบนภูเขา
โอย นางต้องการขึ้นเขา? คุณหนูตระกูลใดใจกล้าถึงเพียงนี้ หญิงชราขายชาลุกขึ้นยืน “คุณหนู คุณหนู”
หญิงสาวคนนั้นหันหน้ามองมา สายตาฉงน
“คุณหนูจะขึ้นไปเที่ยวเล่นบนภูเขาหรือ” หญิงชราขายชาถาม “ท่านมานั่งในโรงน้ำชาก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าขึ้นไปแจ้งบนเขาแทนคุณหนูก่อน คุณหนูอาจไม่รู้ ภูเขานี้เป็นสมบัติส่วนตัว”
เวลานี้ยังกล้าเข้าใกล้ภูเขาดอกท้อ อีกทั้งยังทำท่าเหมือนจะขึ้นเขา หญิงสาวคนนี้คงจะยังไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
นางพูดเช่นนี้ ไม่ใช่การดูหมิ่นเฉินตันจู หากแต่ไม่ต้องการให้เฉินตันจูเกิดความขัดแย้งกับเหล่าคุณหนูคนอื่นๆ อีก เฮ้อ นางก็พอจะเข้าใจ การกระทำของเฉินตันจูในวันนั้น ไม่สนใจที่จะต้องเสียเชื่อ เพราะต้องการปกป้องสมบัติของตนเอง…เหมือนดั่งตอนนั้นที่นางทำท่าทางดุดันในหมู่บ้าน คนอื่นเพียงแค่หันมามองสองทีเมื่อเดินผ่านหน้าจวน นางก็วิ่งออกมาก่นด่าเสียงดัง
นางไม่ได้ต้องการด่าคนจริงๆ นางแค่ต้องการให้คนอื่นเกรงกลัว เช่นนี้ย่อมไม่มีทางจับจ้อง
แต่เมื่อเห็นว่าคุณหนูตันจูกำลังจะกลายเป็นผู้ที่ถูกทุกคนรังเกียจจริงๆ ภายในใจของนางก็ทนไม่ได้
หญิงสาวผู้นั้นได้ยิน ไม่มีความตกตะลึง อีกทั้งไม่มีคำถาม เพียงแค่ยิ้มออกมา “ขอบคุณมาก แต่ว่าไม่ต้อง ข้าไม่ได้มาเที่ยวเล่น หากแต่มาหาหมอ”
เอ๊ะ? หาหมอ แสดงว่าไม่ใช่ไม่รู้ข่าว หากแต่รู้จักเฉินตันจูเป็นอย่างดี หญิงชราขายชาตกตะลึงด้วยความเหลือเชื่อ เมื่อรู้จักดีเช่นนี้ ยังกล้ามาให้เฉินตันจูรักษา หรือว่าจะป่วยหนักมากจนไม่มียารักษาได้ จึงหมดหนทาง
ตอนที่ประตูอารามถูกเรียกให้เปิดออก เฉินตันจูก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน ในเวลานี้นางกำลังดูอาเถียนและเยี่ยนเอ๋อฝึกฝนการต่อสู้กัน…อาเถียนตามตื๊อให้จู๋หลินสอนวิชาการต่อสู้จริงๆ จู๋หลินถูกตื๊อจนหงุดหงิด บอกว่าวิธีการของหญิงสาวและชายหนุ่มต่างกัน หญิงสาวส่วนมากล้วนใช้วิธีการดึงรั้ง จึงให้พวกนางค่อยๆ ฝึกฝนการต่อสู้แล้วกัน
สาวรับใช้ทั้งสามฝึกฝนด้วยความตื่นเต้น เฉินตันจูก็นั่งดูอย่างสนใจ…ระยะนี้นางไม่มีสิ่งใดทำ อีกทั้งไม่ขาดแคลนเงิน หลังจากเรื่องของตระกูลเกิ่งแล้ว พวกเขาก็ส่งเงินมาชดใช้ให้นางมากมาย เพียงพอให้พวกนางใช้ไปสักระยะแล้ว
นางเองย่อมรู้ว่าชื่อเสียงของตนเองเลวร้ายลงกว่าเดิมมาก ภูเขาดอกท้อกลายเป็นสถานที่ที่ทุกคนต่างหลีกเลี่ยง ร้านยาอะไรสามารถเลิกคิดไปได้ชั่วคราว
ดังนั้นเมื่อได้ยินชุ่ยเอ๋อบอกว่ามีคุณหนูท่านหนึ่งมาขอการรักษาความคิดแรกของนางคือคุณหนูท่านนี้ไม่ได้มาเพื่อรักษา หากแต่มีจุดประสงค์อื่นอย่างแน่นอน
แต่ว่านางก็ไม่กลัว เมื่อมีคนกล้ามา นางย่อมกล้าต้อนรับ นางโบกพัดเล็กน้อย “เชิญเข้ามาเถิด”
หญิงสาวคนนั้นพาสาวรับใช้เดินเข้ามา สิ่งแรกที่เห็นคือหญิงสาวที่พิงอยู่บนพนักพิงหญิงงามในศาลาเล็ก สวมเสื้อลายดอกไม้ กระโปรงสีเขียว ทำผมทรงสูงตระหง่าน เนื่องจากอากาศร้อน แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ ดวงตาสดใส มือห้อยลงมาจากราว สะบัดพัดช้าๆ ทีละครั้ง พัดจนสายตาของคนสับสนไปหมด…
แต่หญิงสาวดึงแขนเสื้อของนางอย่างกังวล สีหน้ามองไปด้านข้างด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย บนพื้นที่ว่างเปล่า สาวรับใช้สองคนที่เสื้อผ้าสะเปะสะปะกำลังตบตีกัน จากนั้นเสียงร้องดังขึ้น สาวรับใช้คนหนึ่งถูกอีกคนคว่ำลงกับพื้น…
เสียงดังปัง หญิงสาวตัวสั่นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ ตอนที่ไม่มีคนนอก พวกนางตีคนกันเองหรือ