ถึงแม้จะมีเรื่องการทะเลาะของเฉินตันจู การตำหนิตระกูลใหญ่จากเมืองซีจิงของฮ่องเต้ แต่ภายในเมืองก็ใช่ว่าจะไม่มีการไปมาหาสู่กันอีก
เหล่าตระกูลใหญ่ที่มาใหม่จากเมืองซีจิงหยุดพักการเที่ยวเล่นลง แต่จวนของตระกูลใหญ่ในเมืองอู๋เดิมนั้นกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง
ด้านหน้าของจวนใหญ่หลังหนึ่งมีรถม้าเดินทางมาอย่างไม่หยุดหย่อน ชายหญิงสวมใส่เครื่องแต่งกายประณีตงดงามต่างถูกเชิญเข้าไปในโถงด้านหน้าและด้านหลังจวน งานในครั้งนี้เป็นงานชมดอกบัวของตระกูลเหอเมืองอู๋ในทุกปี
จวนของตระกูลเหอมีทะเลสาบ ภายในทะเลสาบเต็มไปด้วยดอกบัว พวกเขามักจัดงานเลี้ยงขึ้นในเวลาที่ดอกบัวเบ่งบานในแต่ละปี ตระกูลใหญ่และญาติมิตรในเมืองอู๋ต่างถูกเชิญมาชื่นชมพร้อมกัน
งานชมดอกบัวในปีนี้ยังคงจัดขึ้นตามเวลาเดิม ทะเลสาบแห่งเดิมดอกบัวเบ่งบานเหมือนเดิม แต่สิ่งอื่นล้วนแตกต่างออกไป
เมืองอู๋ไม่ได้ชื่อเมืองอู๋อีกต่อไป ผู้คนที่มาชื่มชมทิวทัศน์ริมทะเลสาบแตกต่างจากปีที่แล้ว มีใบหน้าที่คุ้นเคยจำนวนมากไม่ปรากฏตัว…หากไม่ได้ติดตามท่านอ๋องอู๋ไปเมืองโจวก่อนหน้านี้ ก็ถูกขับไล่ให้ไปเมืองโจวไม่นานนี้
ผู้คนที่อยู่ริมทะเลสาบ ผู้คนที่เดินเล่นหรือผู้คนที่นั่งอยู่ จิตใจและบทสนทนาล้วนไม่ได้อยู่ที่ทิวทัศน์
“ยังคิดว่าปีนี้จะไม่ได้ชื่นชมเสียแล้ว”
“ยังคิดว่าจะไม่เชิญพวกเรา เพราะว่ามีคนใหม่มา”
ทุกคนล้วนแล้วแต่พูดทำนองนี้ ไม่ได้ชื่นชมหมายถึงตระกูลเหอไม่ได้ถูกคาดโทษขับไล่เหมือนดั่งคนตระกูลเฉา…จึงยังมีจวนหลังใหญ่ที่ดีเช่นนี้อยู่ ส่วนคนใหม่หมายถึงเหล่าผู้มีอำนาจหรือตระกูลใหญ่ที่มาจากเมืองซีจิง เดิมทีทั้งสองฝ่ายเริ่มไปมาหาสู่กันแล้ว แต่ถูกเรื่องทะเลาะกันของเหล่าคุณหนูขัดไป
ฮ่องเต้ตำหนิเหล่าคุณหนูของตระกูลใหญ่เหล่านั้นว่าดีแต่เอ้อระเหย ครานี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าออกมาเที่ยวเล่นอีก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คนบางคนที่ถึงแม้จะปรากฏขึ้นในงานก็ยังคงรู้สึกวิตกกังวล
“ทุกท่าน พวกเราจัดงานเลี้ยงในเวลานี้เหมาะสมหรือ” คนหนึ่งถามเสียงต่ำ “ฮ่องเต้ตำหนิเหล่าตระกูลใหญ่จากเมืองซีจิงที่ไม่ควบคุมบุตรหลานในการเที่ยวเล่น เพราะว่าเรื่องนั้นเกิดจากพวกเขา แต่พวกเราก็ต้องระวังตัวบ้างหรือไม่ หากก่อให้เกิดปัญหาจะแย่เอา”
อย่างไรก็ตามเรื่องนั้นเกิดจากตระกูลใหญ่เหล่านั้นเที่ยวเล่นกับตระกูลใหญ่เมืองอู๋ อีกทั้งตอนที่เรื่องเกิดในวันนั้น ยังมีคุณหนูจากสองตระกูลใหญ่ของเมืองอู๋อยู่ด้วย…หนึ่งในนั้นยังติดตามไปที่ว่าการ จนกระทั่งเรื่องไปถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ถึงได้กลัวจนวิ่งหนีไป
เห็นได้ชัดว่าคนจำนวนมากก็มีความคิดเช่นนี้ ทุกคนต่างกระซิบกันด้วยสีหน้ากังวล
ผู้ที่นั่งอยู่บริเวณตำแหน่งของเจ้าภาพคือนายท่านตระกูลเหอ เขาส่งเสียงในลำคอเล็กน้อย
“เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคตอีก พวกเราจึงต้องไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งมากขึ้น” เขาพูด สายตากวาดผ่านเหล่าผู้ชายที่นั่งอยู่ในโถง บ้างอายุมากบ้างอายุน้อย แต่ผู้ที่สามารถนั่งต่อหน้าของเขาได้ล้วนเป็นผู้ที่ตัดสินใจเรื่องในตระกูลได้ทั้งสิ้น “ผู้ที่มาจากเมืองซีจิงเหล่านั้นอยากได้สิ่งของที่เป็นของพวกเรา พวกเราย่อมต้องร่วมแรงร่วมใจ เช่นนี้จึงจะไม่ถูกรังแก”
สิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็ถูก คนมากย่อมมีอำนาจมาก ร่วมแรงร่วมใจพลังจึงมีมาก ผู้คนที่นั่งอยู่ล้วนรู้เหตุผลนี้ แต่…
“เกรงว่าฝ่าบาทต้องการรังแกพวกเรา” คนหนึ่งพูดเสียงเบา
ก่อนหน้านี้เหล่าตระกูลใหญ่ถูกใส่ร้ายคาดโทษล้วนเป็นเพราะฮ่องเต้กำหนดโทษไว้ตั้งแต่แรก เมื่อมีคำพูดของฮ่องเต้ คดีที่เหลือเหล่าขุนนางจึงตัดสินได้อย่างสมเหตุสมผล
“เวลานี้ปัญหานี้จัดการไปแล้ว” นายท่านตระกูลเหอพูด “หลี่จวิ้นโส่ว…จวิ้นโส่ววันนี้มาหรือไม่”
ประโยคนี้ถามคนในตระกูลข้างตัว เขาตอบ “รับจดหมายเชิญแล้ว แต่เขาปฏิเสธการมาด้วยข้ออ้างมีงานมาก แต่ว่า นายหญิงหลี่พาคุณชายและคุณหนูมา”
เช่นนั้นก็พอ นายท่านตระกูลเหอพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะพูดต่อคำพูดก่อนหน้านี้
“หลี่จวิ้นโส่วเป็นผู้ที่มีใจคิดเกาะเกี่ยวราชสำนัก แต่ยังไม่กล้ารับคดีที่ฟ้องราษฎรเมืองอู๋อย่างพวกเรา สามารถเห็นได้ว่าไม่มีปัญหาแล้วอย่างแน่นอน เมื่อไม่มีการกล่าวโทษของฮ่องเต้ ถึงแม้จะเป็นตระกูลใหญ่ที่มาจากราชสำนัก พวกเราก็ไม่ต้องเกรงกลัวพวกเขา พวกเขากล้ารังแกพวกเรา พวกเราก็กล้าโจมตีกลับ ทุกคนล้วนเป็นราษฎรของโอรสสวรรค์ ใครกลัวใคร”
แต่คนที่เลี้ยงโดยมารดาแท้ๆ กับมารดาคนที่สองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากสู้ไม่ไหวจะทำอย่างไร
“ไม่ได้ยังมีเฉินตันจูหรือ!” นายท่านตระกูลเหอกล่าว “เวลานี้นางมีอำนาจมาก พวกเราต้องคบหากับนาง นางเองย่อมต้องการพวกเราในการสร้างอำนาจ ย่อมต้องบุกน้ำลุยไฟเพื่อพวกเรา…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็หันไปถามคนในตระกูลอีกครั้ง “คุณหนูตันจูมาหรือไม่”
ครานี้เสียงของคนในตระกูลเบาลงเล็กน้อย “คุณหนูเจ็ดเดินทางไปมอบจดหมายเชิญด้วยตนเอง แต่คุณหนูตันจูไม่ได้รับ”
ดังนั้นคนจึงไม่ได้มา
คนที่นั่งอยู่ต่างกระซิบกระซาบขึ้นมา
“เจ้าหนูเจ็ดเป็นอะไรไป” นายท่านตระกูลเหอขมวดคิ้ว “ไม่ใช่พูดเก่งนักหรือ แทนพี่แทนน้องกับคนนั้นคนนี้ เหตุใดจึงไม่ใส่ใจกับคุณหนูตันจูเช่นนี้”
คนในตระกูลรีบพูด “ข้าจะสั่งสอนนางเอง!”
คนด้านข้างรีบเดินเข้ามาแก้ตัว ยิ้มขมขื่นเล็กน้อย “โทษคุณหนูเจ็ดไม่ได้ขอรับ เด็กในตระกูลพวกข้าไปสองสามรอบ เพียงแค่หยิบยาก็หมดเครื่องประดับทองไปสิบชุดแล้ว แม้แต่โอกาสนั่งลงพูดคุยกับคุณหนูตันจูยังไม่มี”
คนอื่นต่างตัดพ้อขึ้น พวกเขามีใจคิดจะไปคบหา เฉินตันจูไม่ได้บอกว่าจะเปิดโรงยาหรือ พวกเขาเดินทางไปช่วยอุดหนุน สุดท้ายนางดันขายแต่ยาเก็บแต่เงินจริงๆ …ช่างมองไม่เห็นผู้อื่นในสายตาเสียจริง
“นางไม่เห็นผู้อื่นในสายตาก็ไม่แปลก” นายท่านตระกูลเหอยิ้ม “หากนางไม่หยิ่งยโส นางจะทำให้ตระกูลใหญ่จากเมืองซีจิงเหล่านั้นอับอายได้อย่างไร เอาเถิด ถึงแม้นางจะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา นางกับพวกเราก็เป็นคนแบบเดียวกัน พวกเราแค่เกาะนางเอาไว้ให้ดี”
เหล่าชายหนุ่มด้านนอกหารือเรื่องใหญ่จึงพูดถึงเฉินตันจู ส่วนเหล่าคุณหนูภายในจวนที่พูดถึงเรื่องเล็กของตนเองก็พูดถึงเฉินตันจู
“แต่ก่อน ข้าชอบออกไปข้างนอกมาก เที่ยวเล่นก็ดี เจอเหล่าพี่น้องก็ดี” คุณหนูคนหนึ่งโบกพัดไปมาด้วยสีหน้าโศกเศร้า “แต่เวลานี้ข้าได้ยินคนในตระกูลเร่งให้ข้าออกจากจวน ข้าก็ปวดหัว”
คุณหนูอีกคนเอนพิงนาง ทำท่าทางหมดแรงเหมือนกัน “เร่งเร้าให้ข้าออกจากจวน กลับมายังต้องถูกซักราวกับนักโทษอีก ถามว่าข้าพูดอะไร คุณหนูตันจูพูดอะไร หากคุณหนูตันจูไม่ได้พูดอะไร ข้ายังต้องโดนตำหนิ…”
คำพูดนี้ทำให้เหล่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ในศาลากลางทะเลสาบต่างพากันตัดพ้อขึ้นมา “คุณหนูตันจูคนนี้คบหายากเสียจริง”
“หลอกเงินข้ามากเพียงนั้น ข้าโตมาถึงเวลานี้ยังไม่ได้ถือเงินมากมายเพียงนั้นมาก่อน”
แต่ก็มีคนบางส่วนที่ไม่พูดอะไร ทำเพียงเอนพิงราวไม้ราวกับกำลังชื่นชมดอกบัวอย่างใจจดใจจ่อ
ในขณะที่ทุกคนกำลังตัดพ้อ แต่ตนเองไม่พูดนั้นทำให้ไม่เข้าพวก หญิงสาวคนหนึ่งมองไปยังคนด้านข้าง ถามด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูหลี่ ตระกูลพวกท่านสนิทกับคุณหนูตันจู นางปฏิบัติแตกต่างกันต่อท่านหรือไม่”
คุณหนูหลี่ บุตรสาวของหลี่จวิ้นโส่วส่ายหัว “ตระกูลพวกข้าไม่สนิทกับนาง เพียงแต่นางสนิทกับที่ว่าการของท่านพ่อข้า”
เหล่าหญิงสาวรอบด้านต่างหัวเราะขึ้นมา คุณหนูตันจูชอบฟ้องที่ว่าการเป็นประจำ
“นางไม่ได้ปฏิบัติกับข้าแตกต่างไป” คุณหนูหลี่กล่าว
“ใช่หรือไม่” คุณหนูที่ถามดีใจขึ้นมา เช่นนี้ถึงจะถูก ทุกคนมาร่วมกันนินทาคุณหนูตันจู “นางช่างเป็นผู้ที่หยิ่งยโสเสียจริง”
คุณหนูหลี่กลับส่ายหัว “ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าไปให้นางช่วยรักษาโรคให้ ยากินแล้วดีขึ้นไม่น้อย”
เอ๊ะ? รักษาโรค? กินยา? บทสนทนานี้…คุณหนูทุกท่านผงะไป เอาเถิด พวกนางไปหาคุณหนูตันจูด้วยข้ออ้างรักษาโรงจริงๆ แต่…เมื่ออยู่ตรงนี้ทุกคนก็ไม่ต้องเสแสร้งแล้วหรือไม่
คุณหนูหลี่นี้ บิดาของนางเกาะเกี่ยวราชสำนักมานานแล้ว คงจะดูถูกพวกนางสิท่า
เหล่าคุณหนูไม่อยากพูดคุยกับนาง คุณหนูคนหนึ่งคิดจะเปลี่ยนบทสนทนา นางหันไปมองหญิงสาวข้างตัวนาง “คุณหนูฉิน ท่านใช้เครื่องหอมอันใด กลิ่นหอมเสียจริง”
คุณหนูฉินที่ไม่พูด อยู่อย่างเงียบๆ ทำท่าทางเขินอาย “ข้าไม่ได้ใช้”
เดิมทีหญิงสาวนั้นเพียงแค่ต้องการเบี่ยงเบนประเด็น แต่เมื่อเข้าใกล้ออกแรงสูดดม กลิ่นนั้นทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย “โกหก กลิ่นหอมเพียงนี้ มีสิ่งของดีอันใดอย่าเก็บซ่อนไว้คนเดียว”
อย่างไรก็ตามพวกนางก็เป็นแค่เหล่าคุณหนูอายุน้อย อยู่ในช่วงที่สนใจเครื่องสำอางและเครื่องประดับที่สุด เมื่อได้ยินดังนี้ ทุกคนจึงล้อมเข้ามา ทันใดนั้นพวกนางต่างก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ บนตัวของคุณหนูสี่ตระกูลฉิน เหมือนมีเหมือนไม่มี แต่ทำให้คนดมรู้สึกสดชื่น ดังนั้นจึงต่างซักถาม
คุณหนูสี่ตระกูลฉินพูดอย่างระอา “ระยะนี้ข้าไม่ได้ใช้เครื่องหอมจริงๆ ข้ามักจะนอนหลับได้ไม่ดี ดมกลิ่นของเครื่องหอมไม่ได้ อาจเป็นกลิ่นหอมของดอกบัวกระมัง”
“ไม่ใช่” เหล่าคุณหนูปฏิเสธอย่างมั่นใจ “บนตัวของพวกข้าไม่มี”
ก่อนจะจ้องมองคุณหนูสี่ตระกูลฉินอีกครั้ง ทุกคนเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโต คุ้นเคยกันอย่างมาก แต่เมื่อจ้องมองอยู่นานก็มีคนสังเกตเห็น คุณหนูสี่ตระกูลฉินนอกจากตัวที่มีกลิ่นหอมแล้ว ใบหน้ายังชมพูระเรื่อ มีความยืดหยุ่น…
“ใบหน้าของเจ้า” คุณหนูคนหนึ่งถามขึ้น “ดูไม่เหมือนคนนอนหลับได้ไม่ดี”
คุณหนูสี่ตระกูลฉินยื่นมือจับใบหน้าของตนเอง “จริงหรือ ข้าไม่ได้สังเกต แต่ว่าฤดูร้อนข้าไม่ทนต่อการกัดต่อยของแมลง เพียงแค่แมลงกัดผิวของข้าก็จะแดง หลายวันนี้ไม่มีแมลงกัดข้า ดังนั้นสีหน้าจึงดี”
ไม่เพียงแต่แมลงกัดต่อย ใบหน้าของคุณหนูสี่ตระกูลฉินหากไม่ใช่แดงเป็นผื่นก็เป็นตะปุ่มตะป่ำ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นใบหน้าสะอาดสะอ้านของนาง
“เจ้าใช้ของดีอะไรกัน” คุณหนูคนหนึ่งเขย่าตัวนาง “อย่าปิดบังพวกเราเลย”
คุณหนูสี่ตระกูลฉินถูกเขย่าจนเวียนหัว นางยกมือขึ้นกีดขวาง จากนั้นนางก็ได้กลิ่นหอมบนตัวของตนเอง ทันใดนั้น “กลิ่นหอมนี้หรือ กลิ่นนี้ไม่ใช่กลิ่นเครื่องหอม…แต่เป็นยา”
ยา? เหล่าคุณหนูฉงน
“ยาที่ซื้อมาจากคุณหนูตันจูอย่างไรเล่า ขวดหนึ่งกิน ขวดหนึ่งทา ขวดหนึ่งใช้อาบ ระยะนี้ร่างกายข้าไม่ค่อยดี ร้อนอับนอนไม่หลับจึงใช้ยาเหล่านี้ กินยาเม็ดซานจา ทายานั้น ส่วนกลิ่นหอมนี้ก็คือชิงซินลู่ที่เทใส่น้ำตอนอาบน้ำ” คุณหนูสี่ตระกูลฉินพูด ก่อนจะมองทุกคน “พวกเจ้าไม่ได้ใช้หรือ”
เหล่าคุณหนูต่างมองหน้ากันและกัน พวกนางย่อมไม่ได้ใช้ พวกนางไม่ได้ไปเพื่อรักษาโรคจริงๆ
คุณหนูหลี่สะบัดพัด มองดูดอกบัวที่พลิ้วไหวไปมาในทะเลสาบ ดังนั้นในเมื่อหยิบยามาไม่กิน เหตุใดจึงบอกว่าคนอื่นหลอกลวงกัน