นายท่านฉางพาเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลมารอคอยต้อนรับนางกำนัลจากพระราชวัง
ท่าทางของนางกำนัลเป็นมิตร “นายท่านฉางไม่ต้องสนใจกฎระเบียบภายในวัง ฮองเฮาตรัสว่าในเมื่อมาเป็นแขก แขกย่อมต้องทำตามความสบายใจของเจ้าภาพ พวกท่านไม่ต้องรู้สึกผูกมัด ไม่ต้องฟุ่มเฟือย เดิมทีสมควรเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น”
นายท่านฉางตอบรับด้วยความซาบซึ้ง หลังจากก้มกราบขอบพระทัยฮองเฮาแล้ว นางกำนัลก็ขึ้นรถจากไปภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์หลวง จนกระทั่งขบวนหายลับไปบนถนนใหญ่ ทุกคนถึงได้ผ่อนคลายลง แต่ความรู้สึกของพวกเขายิ่งตื่นเต้นมากขึ้น…
“ท่านแม่” นายท่านฉางตะโกนเรียกเหล่าฮูหยินตระกูลฉางที่รอคอยอยู่ด้านในด้วยความตื่นเต้น “ตระกูลฉางของพวกเราจะได้ต้อนรับองค์หญิงแล้ว”
อีกทั้งยังเป็นตระกูลแรก
เมืองอู๋กลายเป็นเมืองหลวง ตั้งแต่ฮองเฮาเข้าเมืองมา เชื้อสายราชวงศ์องค์แรกเข้าร่วมงานเลี้ยง ภายในพระราชวังยังไม่เคยแม้แต่จัดงานเลี้ยง ฮองเฮายังไม่เคยให้ตระกูลชั้นสูงใดเข้าเฝ้า
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางเองก็ตื่นเต้นอย่างมากเช่นเดียวกัน พวกเขาแม่ลูกย่อมเคยคิดเกาะเกี่ยวเชื้อสายราชวงศ์ แต่ยังคิดได้ไม่ทันไร สหายท่านนั้นก็ยังเดินทางมาไม่ถึง แต่ฮองเฮาก็ให้องค์หญิงมาเป็นแขกในตระกูลของเขาแล้ว
เรื่องนี้เหมือนดั่งกำลังฝันไป เหตุใดเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เกิดขึ้นได้อย่างไร
คนทั้งตระกูลฉางต่างรู้สึกมึนงง
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางจัดงานเลี้ยงเล็กให้เหล่าหญิงสาวได้สนุกเพื่อปลอบใจคุณหนูของตระกูลตนเอง ตามหลักแล้วแจกจ่ายจดหมายเชิญให้แก่ตระกูลที่เคยคบหาเท่านั้น จากนั้นเฉินตันจูตอบรับเข้าร่วม จากนั้น
ชนชั้นสูงทั่วเมืองอู๋ต่างอยากเข้าร่วม…
“เช่นนั้นฮองเฮาให้องค์หญิงมาเพราะเฉินตันจูกระมัง” นายท่านคนหนึ่งพูด
ถึงแม้จะมึนงงเพียงใด แต่ทุกคนก็ยังมีสติ ตระกูลฉางของพวกเขายังไม่ถึงขั้นเข้าตาของฮองเฮา
คนอื่นก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ทันใดนั้นความคิดดุจดั่งน้ำเดือดถูกข่มลง
“เมื่อองค์หญิงมา ตระกูลใหญ่จากเมืองซีจิงย่อมต้องติดตามมา” นายท่านอีกคนพูด “คุณหนูตันจูเพิ่งเกิดเหตุทะเลาะกับคุณหนูของตระกูลใหญ่จากเมืองซีจิง เรื่องไปถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ อีกทั้งยังทำให้ตระกูลใหญ่จากเมืองซีจิงถูกฮ่องเต้ตำหนิ”
เขามองไปยังทุกคน ก่อนจะกดเสียงต่ำ
“ครานี้มาเพื่อแก้แค้นกระมัง มีองค์หญิงอยู่ เฉินตันจูนางจะโอหังอย่างไร ก็ยังเป็นขุนนางเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิง นางคงไม่อาจทำตัวไม่เคารพได้ เมื่อถึงเวลา องค์หญิงและตระกูลใหญ่จากเมืองซีจิงย่อมต้องสั่งสอนนาง”
ทำอย่างไรดี หากเรื่องเกิดในตระกูลพวกเขา พวกเขาจะเดือดร้อนหรือไม่ ทันใดนั้นภายในโถงเต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบหารือด้วยความหวาดกลัวและวิตกกังวล
นายท่านฉางตบโต๊ะ “พวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว คนที่หาเรื่องตระกูลใหญ่จากเมืองซีจิงคือเฉินตันจู คนที่จะถูกสั่งสอนก็เป็นนาง ไม่เกี่ยวกับพวกเรา พวกเราไม่ได้มีเรื่องกับตระกูลใหญ่จากเมืองซีจิง เหตุใดจึงต้องกลัว”
“เพราะว่านางก็เป็นชนชั้นสูงของเมืองอู๋เดิม” มีคนพูดอย่างไม่มั่นใจ “เหมือนดั่งพวกเรา หากก่อเรื่อง พวกเราย่อมต้องเดือดร้อนไปด้วย”
นายท่านฉางหัวเราะร่า “พวกเจ้าตื่นตระหนกเกินไปแล้ว หรือว่าพวกเจ้าลืมไปแล้ว เฉินเลี่ยหู่บอกว่าเขาไม่ใช่ขุนนางของท่านอ๋องอู๋อีกต่อไป แสดงว่าเขาไม่ใช่ราษฎรอู๋ พวกเราแตกต่างกับเขา”
ใช่ ทุกคนเพิ่งนึกได้ ทันใดนั้นโล่งใจขึ้นมาทันที ก่อนจะดีใจขึ้นอีกครั้ง
“อีกทั้งพวกเราก็ใช่ว่าจะไม่มีความมั่นใจ” นายท่านฉางพูด “พวกเจ้ายังจำสหายข้าตอนที่เรียนหนังสือได้หรือไม่ ภายหลังเขาไปเมืองซีจิง ภรรยาของเขาเป็นคนในตระกูลเดียวกับฮองเฮา ข้าเขียนจดหมายให้เขาแล้ว ไม่แน่ว่าฮองเฮาจะรู้จักตระกูลฉางของพวกเราอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินดังนี้ ผู้คนที่นั่งอยู่ยิ่งดีใจ พวกเขาถึงคิดว่าไม่มีทางไร้สาเหตุเช่นนี้
“ดังนั้น อย่าได้กังวลเลย” นายท่านฉางพูดอย่างตื่นเต้น “ไม่ว่าพวกนางมาเพราะเหตุผลใด อย่างไรครานี้เป็นโอกาสของตระกูลฉาง พวกเราต้องไขว่คว้าโอกาสครานี้ให้ดี ให้ตระกูลฉางของพวกเราไม่เป็นเพียงตระกูลใหญ่ในเมืองอู๋ หากแต่กลายเป็นตระกูลใหญ่ของทั้งต้าเซี่ย”
อนาคตสดใส!
“บัดนี้สิ่งเดียวที่พวกเราต้องคิดคือการจัดงานเลี้ยงให้ดี”
จวนใหญ่ของตระกูลฉางยิ่งคึกคักมากขึ้น หลังจากนางกำนัลจากไป ตระกูลใหญ่จากซีจิงก็เริ่มส่งจดหมายมาตามที่คาด ตระกูลฉางเตรียมการไว้ล่วงหน้า งานมากแต่ไม่วุ่นวายในการต้อนรับทีละตระกูล ทั้งตระกูลล้วนรอคอยการมาถึงของงานล่องเรือ
เมื่อเทียบกับความคึกคักของทั่วทั้งเมืองหลวง อารามดอกท้ออันเป็นต้นเรื่องของทุกสิ่งยังคงเงียบสงบ
ทุกวันอาเถียนจะนำข่าวใหม่จากโรงน้ำชาบริเวณเชิงเขากลับมา นางนำข่าวที่องค์หญิงจะเดินทางไปงานเลี้ยง อีกทั้งคำวิจารณ์อย่างองค์หญิงมาเพื่อมาข่มเฉินตันจู แก้แค้นคราก่อนที่เฉินตันจูรังแกตระกูลใหญ่จากซีจิงกลับมาด้วย
“คุณหนู” อาเถียนทำหน้ากังวล “พวกเรายังไปอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉินตันจูกัดขนมข้าวเหนียวถั่วเขียวที่อิงกูเป็นคนทำทีละคำ เมื่อได้ยินคำถามจึงพูดขึ้น “ไป ย่อมต้องไป ผู้ใดไปบ้างข้าไม่สนใจ ข้าไปตระกูลฉางเพราะมีเป้าหมายของข้า เป้าหมายของข้าลุล่วงก็พอ”
“แต่ว่าคุณหนู พวกนางจะรังแกท่าน” อาเถียนพูดอย่างร้อนใจ ขอบตาแดงก่ำ
เฉินตันจูหัวเราะร่า “ผู้ใดจะรังแกข้า”
“แต่อีกฝ่ายเป็นองค์หญิง” อาเถียนก้มหน้าพึมพำ
เฉินตันจูกัดช้อนหยกคันเล็ก “องค์หญิงก็ไม่อาจรังแกผู้อื่นได้”
แต่องค์หญิงรังแกผู้อื่นจะทำอย่างไรได้ หรือว่าคุณหนูจะตีองค์หญิง?
“อาเถียน หากข้าไม่ไป ผู้อื่นจะคิดว่าข้ากลัว อีกฝ่ายยังไม่ทันทำสิ่งใด ข้าก็ถูกรังแกแล้ว ขายหน้ายิ่งกว่า” เฉินตันจูพูดสั่งสอนอีกฝ่าย “อาเถียน เจ้าเรียนการต่อสู้กับจู๋หลินมานานเพียงนี้แล้ว ยังไม่รู้ประโยคนั้นอีกหรือ”
อาเถียนถามด้วยความสงสัย “ประโยคใดเจ้าคะ”
“แพ้คนไม่แพ้ขบวน หากข้าไปก็เป็นการพิสูจน์ว่าข้าไม่กลัว สงครามครั้งนี้ก็ถือว่าข้าชนะ” เฉินตันจูยื่นชามและช้อนที่กินจนหมดเกลี้ยงให้อาเถียน “ดังนั้นเรื่องนี้ไม่มีอันใดต้องกังวล…เอามาอีกชาม”
อาเถียนตอบรับก่อนจะถือชามหันหลังไป เดินไปไม่กี่ก้าวก่อนจะตั้งสติได้ นางเงยหน้ามองเฉินตันจูที่กำลังแกะเมล็ดแปะก๊วยหวาน หนึ่งคำหนึ่งลูก หนึ่งคำหนึ่งลูก…กินจนตาหยี
เอาเถิด คุณหนูดีใจเพียงนี้ นางก็อย่าทำให้คุณหนูหมดความสุขเลย ไปก็ไป กลัวสิ่งใดกัน เวลานี้นางหนึ่งคนรับมือได้สามคนแล้วกระมัง เยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อหนึ่งคนรับมือสองคน ส่วนจู๋หลิน…
อาเถียนเงยหน้ามองซ้ายมองขวา
จู๋หลินที่ยืนอยู่บนหลังคารีบก้มตัวต่ำซ่อนตัวเอาไว้ ก่อนจะยื่นหัวออกมา เห็นอาเถียนยื่นมือหนึ่งออกมา…
รับมือห้าคนหรือ ดูถูกเขามากไปแล้ว!
อาเถียนนับนิ้วเสร็จจึงพึงพอใจอย่างมาก นางยกน้ำแกงข้าวเหนียวถั่วเขียวหนึ่งชามกลับมา ขมวดคิ้วตอนยื่นให้เฉินตันจู
“เป็นอันใดอีก” เฉินตันจูถาม
อาเถียนดูด้วยสีหน้าหนักใจ “คุณหนู ท่านกินอีกไม่ได้แล้ว ท่านกินจนหน้ากลมแล้วเจ้าค่ะ”
กลมหรือ เฉินตันจูใช้สองมือจับใบหน้าอย่างละเอียด กลมหรือไม่กลมไม่รู้ แต่ลื่นดุจดั่งขนมข้าวเหนียวในชาม…อร่อยเสียจริง อาเถียนมักบอกว่าฝีมือของอิงกูสู้แม่ครัวในจวนไม่ได้ แต่นางลืมไปตั้งนานแล้วว่าฝีมือของแม่ครัวในจวนเป็นอย่างไร แต่อย่างไรนางก็รู้สึกว่าอร่อยมากแล้ว
ไม่กินเสียดายแย่
เฉินตันจูยื่นมือจับชามเอาไว้ “กลมก็กลม กลัวอันใด”
อาเถียนพูด “กลัวคุณหนูร้องไห้อีกจะดูอ่อนแอน่าสงสารไม่พอ หลอกคนไม่ได้”
เฉินตันจูถลึงตา “เจ้าพูดสิ่งใดกัน! ข้าอ่อนแอจริงๆ แสร้งทำที่ใดกัน” ก่อนจะแย่งชามมา กินเข้าไปคำใหญ่
จู๋หลินที่นั่งมองอยู่บนหลังคาเงยหน้ามองขึ้นฟ้า นายบ่าวอะไรกัน เฮ้อ…แต่ว่า เขามองไปยังทิศทางของพระราชวัง หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความกังวล หรือว่าฮองเฮาต้องการให้องค์หญิงไปข่มคุณหนูตันจูจริง?
เหตุใดจดหมายของท่านแม่ทัพถึงยังมาไม่ถึง เขาควรทำอย่างไร
เวลานี้เหยาฝูที่อยู่ภายในราชวังเมื่อได้ยินข่าวนี้ก็ปิดบังความดีใจไม่ได้
“ท่านพี่” นางพูด “เหนียงเหนียงจะให้องค์หญิงไปจริงหรือ”
เหยาหมิ่นเหลือบมองนาง “เจ้าดีใจอันใด เจ้ารู้ว่าก่อนที่เหนียงเหนียงจะให้องค์หญิงไป ท่านกำลังด่าข้าหรือไม่ แต่เจ้าดีใจเพียงนี้หรือ”
เหยาฝูได้ยินแล้ว เหนียงเหนียงบอกว่าตระกูลใหญ่จากซีจิงและตระกูลใหญ่จากเมืองอู๋อยู่ร่วมกันนานเพียงนี้แต่ยังไม่ไปมาหาสู่กัน คำพูดล้วนตำหนิพระชายาองค์รัชทายาทว่าทำงานไม่ได้เรื่อง ดังนั้นจึงบอกว่าในเมื่องานเลี้ยงในครานี้ตระกูลใหญ่จากเมืองอู๋ล้วนเดินทางไป ถือเป็นโอกาส ตระกูลใหญ่จากซีจิงก็ต้องไป ให้องค์หญิงทำตัวเป็นแบบอย่าง…
เหยาหมิ่นกลับมาอย่างซมซาน เวลานี้กำลังโกรธ
ผิดที่นางดีใจมากเกินไป ลืมปลอบใจเหยาหมิ่นก่อน
“ท่านพี่” นางรีบพูด
เหยาหมิ่นไม่ต้องการให้นางปลอบ พูดขัดนาง “เจ้าไม่ต้องดีใจ เหนียงเหนียงบอกว่าให้เหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่จากซีจิงไป แต่เจ้าไปไม่ได้”
สีหน้าของเหยาฝูผงะไป “ท่านพี่…”
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากไปดูเฉินตันจูขายหน้า” เหยาหมิ่นทำสีหน้ามองอีกฝ่ายออก “เจ้าก่อเรื่องให้ข้าหนึ่งครั้งแล้ว ครานี้อย่าหวังอีก ถอยออกไปเถิด”
เหยาฝูถูกไล่ออกมา นางกำมือแน่นด้วยความแค้น เหยาหมิ่นช่างเป็นคนต่ำช้า จงใจดูหมิ่นนาง…ไม่อาจเห็นเฉินตันจูนางชั่วช้านั่นถูกรังแกกับตาของตนเอง ความสนุกก็หมดไปครึ่งหนึ่ง
ด้านหน้ามีเสียงฝีเท้าและเสียงสนทนาดังขึ้น เหยาฝูเงยหน้ามองไป พบว่าเป็นชายหนุ่มอายุน้อยสองคน หนึ่งในนั้นคือองค์ชายห้าที่สวมชุดองค์ชายสวมหมวกสูง ส่วนอีกคนสวมใส่เพียงชุดยาว ผูกผมด้วยสายคาดหยก รูปร่างสูงโปร่งใบหน้างดงาม ทำให้คนละสายตาไม่ได้…
เขาหรือ
ใบหน้าของเหยาฝูเบ่งบานด้วยรอยยิ้ม เอาเถิด นางไม่สามารถไปงานล่องเรือได้ แต่สามารถหาเรื่องเพิ่มให้เฉินตันจูได้
“เหยาฝูคารวะองค์ชายห้า” นางก้มหัวย่อเข่าลง “คุณชายโจว”