บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 125 ตัดขาด

ตอนที่ 125 ตัดขาด

คุณหนูหลี่ไม่ได้เล่าเรื่องที่ตนเองสัมผัสได้ให้หลี่จวิ้นโส่วฟัง ถึงแม้จะบอกว่ารูปลักษณ์เกิดจากจิตใจ แต่คนผู้นี้เป็นอย่างไรกันแน่ การพบหน้าเพียงครั้งสองครั้งก็ไม่อาจสรุปได้ แต่ว่านางก็ยังกินยาที่เฉินตันจูให้มา

ถึงแม้คนอย่างเฉินตันจูคบไม่ได้ แต่หากวิชาการรักษาของนางได้ผล ก็ยังคงไปมาหาสู่กันในฐานะไต้ฟูได้

หลี่จวิ้นโส่วได้ยินสาวรับใช้บอกว่าคุณหนูกำลังกินยาที่คุณหนูตันจูให้มา เขาก็วางใจ หากไม่เชื่อมั่นต่ออีกฝ่ายจริง จะกล้ากินยาที่นางให้ได้อย่างไร

เขาไม่ได้บังคับให้บุตรสาวไปมาหาสู่กับคุณหนูตันจูบ่อยครั้งอีก สำหรับคุณหนูตันจูในเวลานี้ สามารถไปให้นางรักษาให้ก็ถือว่าเป็นความหวังดีอย่างมากที่สุดแล้ว

“ใต้เท้า” มีขุนนางวิ่งเข้ามาจากด้านนอก ในมือถือม้วนสารฉบับหนึ่ง “ใต้เท้าผังจับผู้ที่รวมตัววิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้ได้อีกแล้วขอรับ ตัดสินให้ขับไล่ ม้วนสารสรุปคดีอยู่ตรงนี้ขอรับ”

แต่เดิมล้วนเป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่รับคดีตระกูลเฉาแล้ว หลี่จวิ้นโส่วก็ไม่เคยถามอีก เหล่าขุนนางสืบสวนตรวจสอบคดี เขาก็เพียงกวาดตาดูม้วนสาร ลงชื่ออนุญาต จากนั้นส่งไปลงทะเบียนก็เป็นอันจบสิ้นแล้ว…

หลี่จวิ้นโส่วตัดสินใจที่จะไม่ฟังไม่ถามไม่เกี่ยวข้อง

แต่ครานี้หลี่จวิ้นโส่วไม่ได้รับม้วนสารไป เอ่ยถาม “หลักฐานคือสิ่งใด”

ขุนนางผงะไป “หลักฐาน?”

“วิพากษ์วิจารณ์อย่างไร วิพากษ์วิจารณ์สิ่งใด” หลี่จวิ้นโส่วถาม “บทกลอนภาพวาด หรือว่าคำพูด ลายลักษณ์อักษรมีบันทึกหรือไม่ คำพูดนั้นมีพยานรู้เห็นหรือไม่”

ถามละเอียดเพียงนี้ ขุนนางตั้งสติได้ สีหน้าตกตะลึง หลี่จวิ้นโส่วจะรับมือคดีนี้แล้ว

คุณชายเหวินนั่งอยู่ในโรงน้ำชา ฟังเสียงโหวกเหวกบริเวณรอบด้าน บนใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา จนกระทั่งชายหนุ่มสวมชุดผ้าไหมเดินเข้ามา

“คุณชายเหวิน เหตุใดท่านนั่งอยู่ตรงนี้” เขาพูด เนื่องจากเสียงตกตะลึงในโถงของโรงน้ำชาดังขึ้นจนกลบเสียงของเขา จึงทำให้เขาต้องเพิ่มเสียงมากขึ้น “ได้ยินว่าท่านอ๋องโจวแต่งตั้งให้บิดาของท่านเป็นท่านมหาราชครูแล้ว ถึงแม้จะเทียบกับตอนที่เป็นท่านอ๋องอู๋ไม่ได้ แต่คุณชายเหวินก็ไม่ถึงขั้นนั่งห้องส่วนตัวไม่ได้กระมัง”

พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มออกมา

“ยิ่งไปกว่านั้นกิจการในมือของคุณชายเหวินเวลานี้ ไม่น้อยไปกว่าเงินเดือนของบิดาท่านแม้แต่น้อย”

คุณชายเหวินยิ้ม “นั่งอยู่ในโถงใหญ่ ฟังเสียงคึกคัก ภายในใจมีความสุข”

สถานที่โหวกเหวกวุ่นวายเช่นนี้มีความสุขอันใด ผู้ที่มาใหม่ไม่เข้าใจ

เนื่องจากระยะนี้มักจะได้ยินผู้คนบอกว่าเฉินตันจูนั้นยโสโอหัง อาศัยอำนาจข่มคนอย่างไร…อาศัยอำนาจอะไร ขายนายเพื่อความเจริญ ทรยศหักหลัก ไร้คุณธรรม ไร้ความกตัญญู ไร้จิตสำนึกในบุญคุณ

เวลานั้นเหตุใดท่านอ๋องอู๋จึงยอมให้ฮ่องเต้เข้าเมือง เพราะว่ามีการทรยศจากเฉินเลี่ยหู่ก่อน อีกทั้งยังมีเฉินตันจูใช้มีดข่มขู่ในเวลาต่อมา…

อืม เฉินตันจูข่มขู่ท่านอ๋องอู๋ เวลานี้ใช้คุณงามความดีของตนเองข่มขู่ฮ่องเต้อีก ดังนั้นบัดนี้เฉินตันจูจึงสามารถยโสโอหัง รังแกผู้คนทั้งชายหญิง

คุณหนูตระกูลใหญ่เดินทางผ่านภูเขาดอกท้อดีๆ เนื่องจากรูปลักษณ์งดงามก่อให้เกิดความอิจฉาของเฉินตันจู…แต่ก็มีคนเล่าว่าเป็นเพราะไม่ยอมคบกับนาง เพราะในเวลานั้นเหล่าคุณหนูจากหลากหลายตระกูลเดินทางเที่ยวเล่นด้วยกัน ดังนั้นเฉินตันจูจึงท้าทายหาเรื่อง อีกทั้งลงมือทำร้ายพวกนาง

ตระกูลใหญ่เหล่านั้นไม่ยอมจึงฟ้องร้องที่ว่าการ แต่ที่ว่าการไม่กล้ารับคดี จึงฟ้องไปถึงฮ่องเต้ เฉินตันจูร้องไห้โวยวาย ฮ่องเต้จนปัญญาจึงทำได้เพียงให้ตระกูลใหญ่เหล่านั้นทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก สุดท้ายตระกูลใหญ่เหล่านั้นยังต้องชดเชยค่าตกใจให้เฉินตันจู…

ไร้เหตุผลสิ้นดี

ถึงแม้เรื่องเหล่านี้คุณชายเหวินจะเห็นกับตาตัวเอง อีกทั้งสืบมาอย่างกระจ่างแล้ว แต่เมื่อได้ยินผู้คนพูดอีกหลายต่อหลายครั้ง ภายในใจก็รู้สึกมีความสุข

ตระกูลใหญ่ของเมืองอู๋เดิม หลบหลีกเฉินตันจูมาตั้งนานแล้ว เวลานี้ตระกูลใหญ่ของราชสำนักที่อพยพมาใหม่ก็รังเกียจนางอย่างยิ่ง ทำให้นางไม่เป็นคนทั้งในทั้งนอก คุณงามความดีที่นางทรยศนายนั้นใกล้จะหมดสิ้นไปแล้ว ถึงเวลาคงถูกฮ่องเต้ทอดทิ้งดุจดั่งรองเท้าขาด

แน่นอนว่าความคิดนี้คุณชายเหวินย่อมไม่พูดออกมา หากคิดจะจัดการกับคนผู้หนึ่ง ยิ่งต้องหลบเลี่ยงคนผู้นั้น อย่าให้คนอื่นรู้ถึงความคิด

“เหยินซินแสมาแล้ว” เขาลุกขึ้น “ห้องข้าจองเอาไว้แล้ว พวกเราเข้าไปนั่งเถิด”

ทั้งสองคนเดินเข้าห้อง ปิดกั้นเสียงคึกคักจากด้านนอก ภายในห้องมีน้ำแข็งวางเอาไว้ ทำให้รู้สึกเย็นสบาย

“อย่างนี้ถึงจะถูก อย่างนี้ถึงจะเป็นคุณชายเหวิน” เหยินซินแสยิ้ม ก่อนจะหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อพร้อมยื่นมาให้อีกฝ่าย “การค้าขายสำเร็จไปอีกหนึ่ง รอเพียงที่ว่าการยึดจวน จากนั้นตระกูลหลี่เพียงแค่ไปรับโฉนด สิ่งนี้คือของตอบแทนจากตระกูลหลี่”

คุณชายเหวินรับมาอย่างใส่ใจ เขาไม่เคยสนใจว่าเงินมากหรือน้อย อย่าว่าแต่บิดาของตนเองยังเป็นถึงท่านมหาราชครูเมืองโจวในเวลานี้ ถึงแม้ตอนนั้นจะเป็นเพียงมหาดเล็ก แต่สมบัติก็มีไม่น้อย เขาทำเรื่องนี้ ไม่ได้ต้องการเงิน หากแต่ต้องการความสัมพันธ์ของผู้คน

เขายิ้ม “จวนของตระกูลหลู่นี้ถึงแม้ภายนอกจะไม่โดดเด่น พื้นที่น้อย แต่เป็นจวนที่ประณีตอย่างมากแห่งหนึ่งในเมืองอู๋ ใต้เท้าหลี่จะเข้าใจเมื่อเข้าพัก”

“ตระกูลใหญ่เมืองอู๋ดุจดั่งน้ำนิ่งที่ไหลอยู่ในที่ลึก ยังต้องอาศัยดวงตาเฉียบคมของคุณชายเหวินถึงจะได้” เหยินซินแสพูด “ดวงตาของข้าคงมองไม่ออก”

คุณชายเหวินยิ้ม “เหยินซินแสดูฮวงจุ้ยของพื้นที่ได้ ส่วนข้ารู้จักดื่มด่ำความสุข ย่อมมีความถนัดที่แตกต่างกัน”

ส่วนสองสิ่งนี้คือสิ่งที่ตระกูลร่ำรวยต้องการ เหยินซินแสปรบมือหัวเราะร่า ทั้งสองคนดื่มชาแทนสุรา

เหยินซินแสมองดูคุณชายใบหน้างดงามตรงหน้า ตอนแรกที่รู้จักเขายังไม่พอใจกับความเย่อหยิ่งของบุตรหลานของขุนนางอู๋ แต่เวลานี้ล้วนหมดไป…ถึงแม้จะเป็นบุตรหลานของขุนนางท่านอ๋องอู๋องค์ก่อน แต่บุตรหลานของขุนนางก็ยังเป็นบุตรหลานของขุนนาง กลอุบาย เส้นสาย ความคิดล้วนแตกต่างจากคนธรรมดา ใช้เวลาไม่นานก็คงสามารถเป็นขุนนางของราชสำนักได้

เขาย่อมรู้ดีว่าคุณชายเหวินท่านนี้ไม่มีจิตใจบนกิจการ สีหน้าเจือปนไปด้วยความประจบ “การค้าขายกับตระกูลหลี่เป็นการค้าขายเล็กๆ แต่การค้าขายกับองค์ชายห้า คุณชายเหวินก็เตรียมการไว้แล้วใช่หรือไม่”

คุณชายเหวินไม่ปิดบัง เขาต้องการให้ผู้อื่นรู้ความสามารถของเขา เขาจึงจะสามารถใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายได้ “เลือกไว้แล้ว ส่งภาพให้องค์ชายห้าไปแล้ว เพียงแต่หลายวันนี้ฝ่าบาทไม่ว่าง…” เขากดเสียงต่ำ “มีคนสำคัญกลับมาแล้ว องค์ชายห้ากำลังติดตามอยู่” พูดเรื่องความลับเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเขากับองค์ชายห้าไม่ธรรมดา เขานั่งตัวตรงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะดื่มน้ำชา

เหยินซินแสดวงตาเป็นประกาย “ข้าจะเตรียมสิ่งของเอาไว้ให้พร้อม รอเพียงองค์ชายห้าเลือก จากนั้นจึงลงมือ…” เขายื่นมือทำท่าทางฟันลงไปด้านล่าง

เสียงปังดังขึ้น แต่ไม่ได้เกิดจากมือที่ฟันลงไปบนโต๊ะ หากแต่เป็นประตูที่ถูกผลักออก

เหยินซินแสตกใจ ในขณะที่กำลังจะตะโกนด่า เขาก็เห็นว่าคนที่เดินเข้ามาเป็นผู้ติดตามของตนเอง

“แย่แล้วขอรับ” ผู้ติดตามปิดประตู พลันพูดอย่างรีบร้อน “การค้าขายของตระกูลหลี่คงจะไม่ได้แล้วขอรับ”

เหยินซินแสผงะ “พูดเหลวไหลอันใด ผ่านการสืบสวนไปแล้ว เหล่าชายหนุ่มของตระกูลหลู่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนถูกขังอยู่ในคุก”

“แต่ก็ถูกปล่อยออกมาแล้ว” ผู้ติดตามพูด “หลังจากสืบสวนเสร็จ คดีก็ถูกตีกลับมาหลังจากรายงานขึ้นไป คนของตระกูลหลู่ถูกปล่อยออกมาหมดแล้ว เพียงแค่ถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี”

เฆี่ยนตี ไม่ถือเป็นโทษด้วยซ้ำ สีหน้าของคุณชายเหวินก็ตกตะลึง “เป็นไปได้อย่างไร หลี่จวิ้นโส่วเสียสติไปแล้วหรือ?”

หลี่จวิ้นโส่วคิดจะปกป้องตระกูลใหญ่ของเมืองอู๋เก่าเหล่านี้? ตระกูลหลู่ไม่มีความสัมพันธ์กับ

หลี่จวิ้นโส่วแม้แต่น้อย ถึงแม้จะรู้จัก แต่เขารู้จักคนขี้ขลาดอย่างหลี่จวิ้นโส่วดี หลี่จวิ้นโส่วไม่มีทางสนใจเรื่องเช่นนี้…

ผู้ติดตามส่ายหัว “ไม่รู้ว่าเขาเสียสติหรือไม่ แต่อย่างไรคดีนี้ก็ถูกตัดสินเช่นนี้แล้ว”

เป็นเช่นนี้ไม่ได้ คดีถูกตัดสินเช่นนี้ไม่ได้ จะทำให้การค้าขายของพวกเขาพัง ต่อไปนี้คงค้าขายได้ยากแล้ว เหยินซินแสตบโต๊ะด้วยความขุ่นเคือง “หลี่จวิ้นโส่วคิดว่าตนเองเป็นใคร เขาคิดว่าตัวเองเป็นจิงเจ้าอิ่นจริงหรือ คดีวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้ที่ต้องประหารทั้งตระกูลเช่นนี้ รายงานขึ้นไป ข้าไม่เชื่อว่าเหล่าใต้เท้าในราชสำนักจะไม่สนใจ”

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งนั้น หากเปิดปากพูดขึ้นมา ต่อจากนี้พวกเขาคงต้องไปนอนเพิงแล้ว

ทางที่ปูขึ้นมาอย่างยากเย็น เหตุใดจึงพังทลายเพียงชั่วพริบตา

แต่เมื่อรอคอยอยู่หลายวัน คดีนี้ยังคงเงียบกริบ เมื่อสืบข่าวอีกครั้งพบว่าคดีนี้จบสิ้นไปแล้ว

เหยินซินแสเหลือเชื่ออย่างมาก เป็นไปได้อย่างไร คนในราชสำนักไม่ถามแม้แต่น้อย?

ต้องเป็นเพราะมีคนไม่ให้ถามอย่างแน่นอน คุณชายเหวินรู้วิธีการทำงานของขุนนางดีเป็นอย่างยิ่ง ในเวลาเดียวกัน ภายในใจของเขาเย็นเฉียบ แย่แล้ว ทางที่เพิ่งปูสำเร็จถูกตัดขาดไปแล้ว

สิ่งที่พังไม่ใช่กิจการ แต่เป็นความสัมพันธ์ของเขา

ผู้ใดเป็นคนทำ

หลี่จวิ้นโส่ว? เขาเสียสติไปแล้วจริงหรือ…

เรื่องนี้มีคนจำนวนมากคาดเดาว่าเกี่ยวข้องกับหลี่จวิ้นโส่ว แต่ว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่รู้สึกว่า

หลี่จวิ้นโส่วเสียสติ มีเพียงความซาบซึ้งและเคารพเต็มหัวใจ

ภายในจวนแห่งหนึ่งมีคนอยู่จำนวนไม่น้อย เวลานี้ทุกคนต่างคารวะหลี่จวิ้นโส่วอย่างพร้อมเพรียง นายท่านตระกูลหลู่ที่เพิ่งรับโทษเฆี่ยนตีก็อยู่ เขาถูกคนสองคนพยุงเอาไว้ ยืนกรานที่จะคารวะอีกฝ่าย

นายท่านตระกูลหลู่มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ทั้งชีวิตนี้เพิ่งถูกเฆี่ยนตีครั้งแรก ใบหน้าของเขาซีดเซียวไร้สีเลือด แต่ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ใต้เท้า ท่านเป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตนับร้อยของตระกูลหลู่ อย่าว่าแต่กราบท่าน ชีวิตนี้ข้าก็ให้ท่านได้”

คนอื่นต่างก็แสดงความขอบคุณ

“ใต้เท้าหลี่ ท่านไม่เพียงช่วยเหลือแค่ตระกูลหลู่ หากแต่ช่วยชีวิตของตระกูลใหญ่ในเมืองอู๋ทั้งหมด” ชายชราผมขาวคนหนึ่งพูดขึ้น เมื่อนึกถึงเรื่องอกสั่นขวัญแขวนที่เกิดในครึ่งปีนี้ น้ำตาของเขาก็หลั่งไหลลงมา “จากคดีนี้ ต่อจากนี้คงไม่มีการตัดสินเช่นนี้อีกแล้ว ถึงแม้จะมีคนจ้องอยากได้สมบัติของพวกข้า แต่อย่างน้อยพวกข้าก็สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้”

คนในห้องต่างก็หลั่งน้ำตาด้วยความโศกเศร้า คดีไม่เคารพอย่างใหญ่หลวงเหล่านั้นพวกเขาไม่เข้าใจในตอนแรก แต่เมื่อเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ต่างกระจ่างถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง แต่ถึงแม้จะตักเตือนบุตรหลานในตระกูลอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่อาจป้องกันผู้ที่มีแผนการ…เวลานี้ดีแล้ว ในที่สุดก็มีคนยื่นมือออกมาช่วยเหลือแล้ว

ส่วนการยื่นมือในครั้งนี้ต้องแบกรับอะไร ทุกคนล้วนรู้ดีแก่ใจ ความไม่เชื่อใจของฮ่องเต้ ความไม่พอใจและความแค้นของเหล่าขุนนางในราชสำนัก…เวลานี้ ผู้ใดยอมเสี่ยงทำลายอนาคตของตนเองเพื่อราษฎรเมืองอู๋เดิมอย่างพวกเขา

คนผู้นั้นหลี่จวิ้นโส่ว…

คนทั้งหมดคารวะเขาอีกครั้งด้วยความตื้นตัน

หลี่จวิ้นโส่วมองพวกเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน

“อันที่จริง ไม่ใช่ข้า” เขาพูด “คนที่พวกท่านต้องขอบคุณ เป็นคนที่พวกท่านคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย”

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท