เพื่องานเลี้ยงที่พบหาได้ยากในร้อยปีนี้ ทั่วทั้งตระกูลฉางทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ จัดงานออกมาได้อย่างงดงามโอ่อ่า
งานเลี้ยงจัดขึ้นในสวนริมทะเลสาบของตระกูลฉาง ภายในสวนมีจัดตั้งศาลาพักร้อนขึ้นมาสามหลัง ทางซ้ายสำหรับเหล่าท่านชาย ตรงกลางสำหรับเหล่านายหญิง ทางขวาสำหรับเหล่าคุณหนู ม่านที่ทอดลงพื้นพริ้วไหวตามสายลม บริเวณรอบด้านศาลาจัดวางเต็มไปด้วยดอกไม้สด พร้อมทั้งโต๊ะกว้างสำหรับสี่คน เหล่าสาวรับใช้เดินไปมาท่ามกลางสวนเพื่อจัดเตรียมอาหารเลิศรส
องค์หญิงจินเหยานั่งโต๊ะเดี่ยว ตระกูลฉางยังจัดเตรียมที่นั่งให้นางอย่างงดงาม ด้านหลังสามารถให้นางในยืนได้สี่คน มีฉากกั้นที่แกะสลักด้วยลายดอกไม้และหญิงงาม ด้านหน้าเป็นทะเลสาบที่ส่องแสงประกาย ส่วนโต๊ะของคนอื่นล้วนเรียงตัวออกมาจากโต๊ะของนางราวปีกนกที่กางออก
แต่ว่าบนที่นั่งเดี่ยวในเวลานี้มีคนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน
ถึงแม้จะนั่งอยู่ด้วยกัน คงไม่อาจกินร่วมกับองค์หญิงได้ ทางตระกูลฉางรีบจัดเตรียมอีกโต๊ะให้เฉินตันจูเป็นการส่วนตัว
“เฉินตันจูกลับกลายเป็นได้รับการปรนนิบัติดั่งองค์หญิงเสียแล้ว” คุณหนูคนหนึ่งพูดเสียงเบา
คุณหนูด้านข้างหัวเราะเสียงเบา “เจ้าอยากได้การปรนนิบัติเช่นนี้? เจ้าคงต้องไปทำร้ายร่างกายเหล่าคุณหนูคนอื่นสักครั้ง”
คุณหนูอีกสองคนอยู่โต๊ะเดียวกันปิดปากหัวเราะ ใช่ มีอันใดน่าอิจฉากัน องค์หญิงจินเหยาต้องการสั่งสอนเฉินตันจู นั่งกินข้าวอยู่ด้านข้างองค์หญิงไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น
เดิมทีคุณหนูคนนั้นก็คิดเช่นนี้ แต่…
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าองค์หญิงกับเฉินตันจูเป็นมิตรต่อกันอย่างมาก” นางมองไปทางนั้นด้วยความสงสัย
อีกสามคนมองตามไป พบว่าองค์หญิงกำลังชี้ลงบนโต๊ะตนเองอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เฉินตันจูเหลือบมอง จากนั้นหยิบบางสิ่งบนโต๊ะตนเองขึ้นมากิน…การจัดวางโต๊ะภายในศาลา ทำให้เหล่าคุณหนูเพียงแค่พูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยก็สามารถสนทนากับผู้อื่นได้ แต่หากต้องการกระซิบกับคนร่วมโต๊ะ คนอื่นก็ไม่อาจได้ยิน
“อย่าคิดมาก” คุณหนูคนหนึ่งพูด “องค์หญิงเป็นผู้มีฐานะ ไม่มีทางหยาบคายเหมือนดั่งเฉินตันจู”
คนมีฐานะเวลาสร้างความลำบากให้คนอื่นก็แผ่วเบาดุจดั่งหยาดฝนในฤดูใบไม้ผลิ หากแต่เมื่อฝนตกกระทบลงบนร่างกายก็คมดุจดั่งมีด
อาหารบนโต๊ะเรียงราย หากแต่เหล่าคุณหนูไม่ได้มาเพื่อกินข้าว จิตใจของพวกนางล้วนจับจ้องไปยังองค์หญิงและเฉินตันจู…แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเช่นนี้
คุณหนูคนหนึ่งเห็นคนด้านข้างกินอาหารอย่างไม่หยุดพัก อีกทั้งยกเหล้าผลไม้ขึ้นมาดื่ม นางอดถามขึ้นมาไม่ได้ “คุณหนูหลี่ ท่านไม่กังวลหรือ”
คุณหนูหลี่หรือหลี่เหลียนยกแก้วเหล้ามองนางด้วยความฉงน “กังวลสิ่งใด”
คุณหนูอีกคนด้านข้างยิ้มอย่างมีนัย “อาเหลียน เจ้ากับคุณหนูตันจูสนิทกันไม่น้อย เจ้าไม่กังวลว่านางจะถูกองค์หญิงรังแกหรือ”
หลี่เหลียนยิ้ม “ไม่กังวล” นางมองไปยังโต๊ะทางนั้น เริ่มแรกตอนที่เฉินตันจูเข้าเฝ้าองค์หญิงที่โถงใหญ่ นางยังมีความกังวลเล็กน้อย หากองค์หญิงสร้างความขุ่นเคืองขึ้นมาโดยตรง ตามนิสัยของเฉินตันจูย่อมต้องแก้แค้นคืนหากถูกเหยียดหยามต่อหน้าผู้อื่น เหตุการณ์นั้นคงไม่มีทางผ่อนคลายได้
แต่เวลานี้ องค์หญิงนั่งสนทนากับเฉินตันจูดีๆ อีกทั้งนั่งกินด้วยกัน จึงไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
ตามประสบการณ์โดยตรงของนางสามารถรู้ได้ว่า เพียงแค่พูดคุยกับหญิงสาวตรงหน้าดีๆ เช่นนั้นคนผู้นั้นย่อมไม่มีทางไม่ไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าอย่างแน่นอน…ผู้ใดจะทำลงคอกัน
หลี่เหลียนยิ้ม ก่อนจะดื่มเหล้าผลไม้จนหมด
ทางเฉินตันจูเขย่ากาสุรา ก่อนจะดมกลิ่น จากนั้นหันมาพูดกับองค์หญิงจินเหยา “องค์หญิง ท่านเคยเสวยสุราหรือไม่เพคะ สุรานี้มีกลิ่นสุราจริงๆ”
องค์หญิงจินเหยามองโต๊ะเป็นการบ่งบอกให้นางในข้างตัวรินสุราให้นาง นางยกขึ้นลิ้มรสเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหัว “หากดมจะมีกลิ่น แต่เมื่อดื่มจริงๆ กลับไม่มี”
เฉินตันจูยกกาสุราพลันหัวเราะออกมา “หม่อมฉันก็ว่า เหตุใดตระกูลฉางจึงใจกล้าให้เหล่าคุณหนูอย่างพวกเราดื่มเหล้า หากดื่มมากเกินไป ทุกคนอาศัยฤทธิ์เหล้าทะเลาะกับหม่อมฉันขึ้นมาคงจะวุ่นวายน่าดู”
องค์หญิงจินเหยากำลังดื่มเหล้าต่อ เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็แทบจะสำลักออกมา เหล่านางในรีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นาง ทั้งเช็ดทั้งลูบ แสดงท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อย เสียงสนทนาและเสียงหัวเราะในเดิมทีก็เงียบลงไป บรรยากาศในศาลาชะงักไปเล็กน้อย…
“เจ้า” องค์หญิงจินเหยาสงบอาการหอบลงเล็กน้อย ให้นางในหลบไปด้านหลัง มองไปยังเฉินตันจู “เจ้ารู้ว่าตนเองทำให้ผู้อื่นเคียดแค้น?”
คำพูดนี้ฟังดูแล้วน่ากลัว หากเป็นหญิงสาวคนอื่นคงจะโค้งตัวยอมรับผิด หรือร่ำไห้อธิบาย แต่เฉินตันจูยังคงถือกาสุราไว้ในมือ “ย่อมต้องรู้ จิตใจของคนล้วนเขียนอยู่ภายในดวงตาและบนใบหน้า เพียงแค่ต้องการก็ย่อมมองเห็นได้” พูดจบ นางยังมองสบดวงตาขององค์หญิงจินเหยา พร้อมทั้งกดเสียงต่ำ “หม่อมฉันดูออกว่าองค์หญิงไม่ได้อยากตีหม่อมฉัน มิฉะนั้นหม่อมฉันคงวิ่งหนีไปนานแล้ว”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะขึ้นมาด้วยความตลกอีกครั้ง นางมองดูดวงตากลมโตทะเล้นของหญิงสาวตรงหน้า
“เหตุใดเจ้าจึงลงมือตีคน” นางพูดเสียงเบา “เจ้าพูดดีๆ ไม่ได้หรือ”
“เพราะว่า…” เฉินตันจูพูดเสียงเบา “พูดเหนื่อยเกินไป ลงมือทำให้คนเข้าใจได้เร็วกว่า”
องค์หญิงจินเหยาผงะ ก่อนจะหัวเราะออกมา นางพินิจเฉินตันจูด้วยสีหน้าซับซ้อน
ให้โอกาสพูดแก่นางครั้งนี้ คิดว่านางจะอธิบายกับตนเองว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูตระกูลเกิ่ง เหตุใดจึงถูกคนตำหนิว่าโอหัง สิ่งที่นางทำเหล่านั้นล้วนมีความจำเป็น หรือเหมือนดั่งที่เหล่านางในพูด ทำลงไปเพื่อฮ่องเต้ เพื่อราชสำนัก แสดงจิตใจอันจงรักภักดีของนาง…
ไม่คิดว่านางไม่พูด อืม แม้แต่อีกฝ่ายเป็นองค์หญิง การอธิบายก็เหนื่อยเกินไปหรือ หรือจะบอกว่านางไม่สนใจว่าตนเองจะคิดอย่างไร…
องค์หญิงจินเหยามองเฉินตันจู เฉินตันจูพูดจบก่อนจะรินสุราให้ตนเอง กินอาหารหนึ่งคำ ดื่มสุราหนึ่งอึก สบายใจอย่างมาก
ตั้งแต่เผชิญหน้ากับตนเอง ประโยคแรกที่เอ่ยเฉินตันจูไม่มีทีท่าหวาดกลัวแต่อย่างใด ตนเองถามสิ่งใด นางก็ตอบสิ่งนั้น อืม ดูจากจุดนี้ เฉินตันจูยโสโอหังจริงๆ
“ประโยคที่เจ้าพูดนี้” องค์หญิงจินเหยายิ้มขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะยกแก้วสุราขึ้นมาเช่นกัน “เหมือนที่พี่หกของข้าพูดในตอนนั้น”
พี่หก? หูของเฉินตันจูตั้งขึ้นในทันที คนก็ขยับเข้าใกล้องค์หญิงจินเหยา ดวงตาเป็นประกาย “องค์ชายหกหรือ”
ท่าทางของนางทำให้องค์หญิงตกตะลึง “มีอันใดหรือ”
องค์ชายหกเคยพูดสิ่งใด เฉินตันจูไม่สนใจ นางถามกับองค์หญิงจินเหยาด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงสนิทกับองค์ชายหกหรือไม่เพคะ”
คำถามนี้ทำให้นางในด้านข้างก็อดเหลือบมองเฉินตันจูไม่ได้ หรือว่าระหว่างองค์ชายและองค์หญิงมีผู้ใดความสัมพันธ์ไม่ดีหรือ ถึงจะมีแต่ก็ไม่อาจพูดออกมาได้ บุตรของฮ่องเต้ต้องมีความรักใคร่กลมเกลียวกัน
องค์หญิงจินเหยาแสดงกิริยาขององค์หญิงเหมือนเคย นางยิ้ม “ข้ากับเสด็จพี่และเหล่าน้องๆ ล้วนสนิทกันมาก พวกเขาต่างก็รักข้า”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันหมายความว่าองค์ชายหกอยู่ที่เมืองซีจิงใช่หรือไม่ องค์หญิง คนในตระกูลของหม่อมฉันกลับถิ่นเดิมในเมืองซีจิงไปแล้ว ท่านก็รู้ชื่อเสียงของตระกูลของหม่อมฉัน หม่อมฉันเกรงว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ยากลำบาก ถึงแม้จะยากลำบากก็ไม่กลัว กลัวเพียงมีคนจงใจสร้างความลำบาก ดังนั้น ท่านให้องค์ชายหกช่วยดูแลคนในตระกูลของหม่อมฉันเสียหน่อยได้หรือไม่”
องค์หญิงจินเหยาจ้องมองนาง ราวกับไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดดี นางเห็นหญิงชนชั้นสูงลักษณะนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เติบใหญ่เพียงนี้…เหล่าหญิงชนชั้นสูงแต่ก่อนเมื่ออยู่ต่อหน้านางมีกิริยามารยาทและไม่พูดมากความ
แต่เฉินตันจูสนทนากับนางเพียงไม่กี่คำ ก็เอ่ยปากขอผลประโยชน์ในที่สุด
“เจ้าช่างกล้าพูดเสียจริง” นางทำได้เพียงพูด “เฉินตันจูยโสโอหัง ใจกล้าไม่เกรงกลัวสิ่งใดเสียจริง”
เฉินตันจูยิ้มให้นาง “องค์หญิง เพื่อคนในตระกูลของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อาจไม่ยโสโอหัง ใจกล้าไม่เกรงกลัวสิ่งใด เพราะอย่างไรชื่อเสียงของหม่อมฉันก็ร่ำลือออกไปไกล ต้องหาวิธีมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้”
นางซื่อตรงเสียจริง เมื่อนางเปิดเผยเพียงนี้ องค์หญิงจินเหยากลับไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เฉินตันจูจึงเรียกขานองค์หญิงเสียงเบาอยู่ด้านข้าง อีกทั้งยังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองนางด้วยท่าทีน่าสงสาร…
“พี่หกของข้าไม่ออกจากจวน” องค์หญิงจินเหยาอดทนไม่ไหวจึงทำได้เพียงกล่าว หลังจากพูดประโยคนี้แล้ว นางจึงเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “ท่านร่างกายไม่ดี”
เฉินตันจูคิดภายในใจ นางย่อมรู้ว่าองค์ชายหกร่างกายไม่ดี คนทั่วทั้งต้าเซี่ยล้วนรู้
“หม่อมฉันไม่ได้ให้องค์ชายหกไปดูแลคนในตระกูล” เฉินตันจูพูดอย่างจริงจัง “เพียงแค่ให้องค์ชายหกรู้เรื่องคนในตระกูลหม่อมฉัน เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับวิกฤติความเป็นความตาย องค์ชายหกสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยก็เพียงพอแล้ว”
องค์หญิงจินเหยาเอนพิงอยู่บนพนักเก้าอี้ ถึงแม้อายุน้อย แต่ในฐานะองค์หญิง ตอนที่เก็บสีหน้าก็ยังทำให้คนดูอารมณ์ของนางไม่ออก นางถามด้วยความหยิ่งเล็กน้อย “เจ้าขอร้องคนอื่นเช่นนี้เป็นประจำหรือ คุณหนูตันจู อันที่จริงพวกเราไม่สนิทกัน วันนี้เพิ่งรู้จักกัน”
“หม่อมฉันไม่ได้ขอร้องเป็นประจำ หม่อมฉันแค่คว้าโอกาส” เฉินตันจูนั่งคุกเข่าหลังตรง เผชิญหน้ากับนาง “องค์หญิง เฉินตันจูมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ได้ มาจากการคว้าโอกาส โอกาสสำหรับหม่อมฉันเกี่ยวพันกับความเป็นความตาย ดังนั้นแค่เพียงมีโอกาส หม่อมฉันก็จะลอง”