เสียงสนทนาขององค์หญิงจินเหยาและเฉินตันจูไม่ดังมากนัก คนอื่นทำได้เพียงสังเกตสีหน้าของพวกนาง
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนดูเหมือนสนทนากันอย่างสนุกสนาน แต่เวลานี้รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์หญิง
จินเหยาดุจดั่งมีม่านบางปิดเอาไว้ นางเอนกายพิงไปด้านหลัง ท่าทางเช่นนี้เหล่าหญิงชนชั้นสูงคุ้นชินยิ่งนัก ท่าทางนี้เป็นการแสดงท่าทางของความห่างเหิน เมื่อมองไปยังเฉินตันจูอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าท่าทางของนางเป็นการนั่งคุกเข่าขออภัยโทษ…
บารมีขององค์หญิงไม่ธรรมดาเสียจริง การตำหนิก็ทำได้สง่างามเช่นนี้
หลี่เหลียนถือแก้วสุรา นัยน์ตาฉายแววกังวลออกมาเล็กน้อย จริงด้วย ถึงแม้เฉินตันจูจะมีความจริงใจ แต่อีกฝ่ายก็ต้องยอมเห็นความจริงใจนี้
แต่นาทีถัดมา ม่านบางบนใบหน้าขององค์หญิงจินเหยาสลายไป คิ้วของนางขมวดเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิด จากนั้นจึงพยักหน้า
“ข้าจะลองดู” นางพูด “แต่ข้าทำได้เพียงบอกพี่หกเท่านั้น ส่วนทำหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่หก พี่หกของข้ามีความคิดของตนเองยิ่งนัก”
ฟังดูแล้วความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงจินเหยากับองค์ชายหกไม่เลวเสียจริง อีกทั้งยังดีเสียยิ่งกว่า
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเสียอีก แม่ทัพหน้ากากเหล็กทำได้เพียงบอกกล่าวแก่องค์รัชทายาท…เฉินตันจูเปล่งยิ้มบนใบหน้า “ขอบพระทัยองค์หญิง”
องค์หญิงจินเหยายกสุราขึ้น อาศัยจังหวะในการดื่มสุราเบี่ยงเบนสายตา เรื่องอันใดกัน เฉินตันจูนี้เผยหนามแหลมคมต่อหน้าของนางจนหมดสิ้น แต่สิ่งที่น่าแปลกคือนางรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าสงสาร ดูจากการยิ้มของเฉินตันจูก่อนหน้านี้ ภายในดวงตามักมีความเศร้าหมองแฝงอยู่ เมื่อได้ยินนางตอบรับคำ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตันจูถึงได้เบ่งบาน มันเป็นรอยยิ้มที่แท้จริง…
ยิ้มจนนางเขินอายขึ้นมา
“เอาเถิด เจ้าอยากกินสิ่งใดอีก” องค์หญิงจินเหยาพูด สายตามองไปยังโต๊ะของเฉินตันจู จากนั้นถลึงตาโต “เจ้ากินหมดแล้ว?”
เฉินตันจูมองโต๊ะของตนเอง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเก้อเขิน “อาหารของตระกูลฉางอร่อยมากเพคะ”
อาเถียนที่กั้นลมหายใจนั่งอยู่ด้านข้างดุจดั่งไม่มีตัวตนหลับตาลงในเวลานี้ แม้แต่ตอนที่คุณหนูสนทนากับองค์หญิงจินเหยาก็ไม่หยุดการกินลง อาหารบนโต๊ะจะทนต่อการกินของนางได้อย่างไร…คุณหนูคนอื่นล้วนกินเป็นมารยาท ตระกูลฉางก็เตรียมการไว้เช่นนี้ ดูเหมือนมีอาหารหลากหลาย ถ้วยชามประณีต แต่อาหารที่จัดวางอยูด้านในมีเพียงเล็กน้อย
องค์หญิงจินเหยาคิดภายในใจ นางคงไม่ได้ดูประณีตแค่ภายนอก แต่อันที่จริงไม่มีข้าวกินกระมัง ได้ยินขันทีบอกว่าเฉินตันจูถูกบิดาของนางขับไล่ออกมา อันที่จริงถูกขับไล่ออกจากตระกูลเฉินแล้ว เวลานี้อาศัยอยู่บนภูเขา…
อาจไม่มีเงินกินข้าว อืม ดังนั้นจึงเกิดการกระทำขวางทางเพื่อรักษาโรค ขึ้นภูเขาต้องเก็บเงินขึ้นมา
เฮ้อ น่าสงสาร
เฉินตันจูเด็กกว่านางถึงสองปี
เมื่อองค์หญิงจินเหยาคิดได้เช่นนี้ สายตาที่มองเฉินตันจูจึงอ่อนโยนมากขึ้น
“ไม่เลวจริงๆ ข้าก็กินเสร็จแล้ว”
เมื่อสาวรับใช้ตระกูลฉางที่ยืนปรนนิบัติอยู่ในศาลาเห็นองค์หญิงจินเหยาวางชามตะเกียบและแก้วสุราลง นางในด้านข้างยกน้ำชาให้นางกลั้วปาก จึงรีบเดินหน้าขึ้นถาม “องค์หญิงพึงพอใจกับอาหารหรือไม่เพคะ ต้องการสิ่งใดเพิ่มหรือไม่เพคะ”
องค์หญิงจินเหยาตอบด้วยรอยยิ้ม “ดีมาก ข้าพอแล้ว” นางหันไปมองด้านข้าง ก่อนจะพบว่าเฉินตันจูยังคงหยิบขนมชิ้นหนึ่งในจานส่งเข้าปาก…นางอดพูดขึ้นไม่ได้ “เจ้าก็พอได้แล้ว”
อาเถียนก็ไม่สนใจว่ามีองค์หญิงอยู่ นางดึงแขนเสื้อของเฉินตันจูเล็กน้อย
เฉินตันจูจึงวางลง “อาหารอร่อยย่อมต้องกินให้พอ ไม่รู้ว่าเวลาใดจะได้กินอีก”
องค์หญิงจินเหยาถามสาวรับใช้ “ประเดี๋ยวยังมีขนมหรือไม่”
สาวรับใช้ตระกูลฉางรีบพยักหน้า ย่อมต้องมี ถึงแม้ไม่มี หากองค์หญิงต้องการก็ต้องมีทันที เอ่อ แต่เหมือนว่าองค์หญิงกำลังขอให้เฉินตันจู?
“เช่นนั้นต่อไป…” องค์หญิงจินเหยาถาม
ทุกคนต่างจ้องมองมาทางนี้ เมื่อเห็นองค์หญิงจินเหยาบอกว่ากินเสร็จแล้ว คนอื่นไม่ว่าจะกินเสร็จจริงหรือยังไม่เสร็จ ทุกคนต่างวางชามและตะเกียบลง เหล่าคุณหนูของตระกูลฉางต่างลุกขึ้นเดินเข้ามา เมื่อได้ยินคำถามขององค์หญิงจินเหยา พวกนางจึงรีบตอบ “บริเวณนี้มีทะเลสาบ องค์หญิงสามารถล่องเรือได้ เรือจัดเตรียมไว้แล้ว มีเรือใหญ่และเรือเล็ก นอกจากนี้ยังสามารถเดินเล่นในสวนนี้ได้ มีทั้งแปลงนา และสัตว์ป่าที่เลี้ยงเอาไว้”
องค์หญิงจินเหยาตอบรับ ก่อนจะมองไปยังเฉินตันจูที่อยู่ด้านข้าง ถาม “เจ้าว่าอย่างไร พวกเราเล่นสิ่งใดดี”
องค์หญิงถามนาง…เหล่าคุณหนูของตระกูลฉาง รวมไปถึงเหล่าคุณหนูรอบด้านที่เงียบลงฟังบทสนทนาทางนี้ต่างเผยสีหน้าตกตะลึง
เฉินตันจูพูด “เดินเล่นดูก่อนเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นยืน คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางนำทาง “ข้านำองค์หญิงเดินเล่นเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาไม่ได้พูดสิ่งใด แต่เฉินตันจูแทรกขึ้น “ไม่ต้อง คุณหนูใหญ่ท่านดูแลคนอื่นเถิด
ให้พี่เวยเวยมาแทนเถิด”
หลิวเวย? เหล่าคุณหนูของตระกูลฉางผงะไป
“นางบอกว่าเติบโตในจวนแห่งนี้ตั้งแต่เล็ก ข้าคิดว่านางคงจะคุ้นเคยกับจวนของพวกท่านอย่างมากเช่นเดียวกันใช่หรือไม่” เฉินตันจูถาม
คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางพยักหน้า “คุ้นเคย คุ้นเคย เวยเวยมักมาเที่ยวเล่นเป็นประจำ”
เฉินตันจูพูด “ให้นางเดินเล่นเป็นเพื่อนพวกข้าเถิด” นางมองคนในศาลา “แขกจำนวนมาก คุณหนูใหญ่เชิญเถิด”
แขกหนึ่งร้อยคนก็เทียบความสำคัญกับองค์หญิงคนเดียวไม่ได้ หากสามารถดูแลองค์หญิงได้ ผู้ใดจะสนใจคนอื่นกัน คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางรู้สึกขุ่นเคืองภายในใจ เฉินตันจูนี้บังอาจชี้นิ้วต่อหน้าองค์หญิง นางมองไปยังองค์หญิงจินเหยา
“หลิวเวยคือผู้ใดหรือ” องค์หญิงจินเหยาถามเฉินตันจูด้วยความสงสัย
เฉินตันจูแนะนำ “เป็นพี่สาวที่หม่อมฉันรู้จักคนหนึ่ง บิดาของนางเปิดร้านยา เป็นคนที่ดีมาก ให้ความดูแลหม่อมฉันอย่างมาก วันนี้หม่อมฉันมาเพื่อหานาง”
องค์หญิงจินเหยาตอบรับ ถามด้วยรอยยิ้ม “มีคนกล้าเล่นกับเจ้าด้วยหรือ ใจต้องกล้ามากอย่างแน่นอน?”
องค์หญิงตำหนิ หรือว่าหยอกล้อ? คนรอบข้างที่เงี่ยหูฟังฉงนเล็กน้อย
เฉินตันจูหัวเราะขึ้นมา “องค์หญิง…ใจกล้ามากเช่นเดียวกัน”
เมื่อพูดเช่นนี้ก็ราวกับว่าใช่ องค์หญิงจินเหยาก็หัวเราะออกมา นางมองดูเหล่าคุณหนูตระกูลฉางที่อยู่ตรงหน้า “ท่านใดกัน ให้ข้าดูเสียหน่อย”
เหล่าคุณหนูตระกูลฉางต่างมองซ้ายมองขวา หลิวเวยไม่ได้อยู่บริเวณนี้…นางไม่ใช่คุณหนูที่มาเป็นแขกจริงๆ อีกทั้งคุณหนูตระกูลฉาง นอกจากนี้เรื่องของเฉินตันจู นางจึงถูกเรียกลงไปก่อนหน้านี้
“น้องสาวหม่อมฉันกำลังยุ่ง” คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางพูด ก่อนจะเร่งสาวรับใช้ “รีบไปเรียกเวยเวยมา”
สาวรับใช้รีบวิ่งจากไปอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะหาตัวของหลิวเวยที่นั่งอยู่ในห้องครัวจนเจอ อาอวิ้นก็อยู่เช่นเดียวกัน เนื่องจากรู้สึกว่านางทำให้เฉินตันจูไม่พอใจ คนในตระกูลจึงให้นางหลบออกมา
อาอวิ้นกำลังสนทนากับหลิวเวยเรื่องนี้ หลิวเวยส่ายหน้าต่อนาง “ข้ารู้สึกว่าคุณหนูตันจูไม่ได้โกรธท่าน”
เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งวิ่งหานางกันอยู่ หลิวเวยและอาอวิ้นต่างลุกขึ้นยืน ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางก็เดินทางมา เมื่อได้ยินว่าเฉินตันจูจะให้นางนำองค์หญิงจินเหยาเดินเล่น อาอวิ้นและหลิวเวยต่างผงะไป
“นาง นางจงใจแก้แค้นเจ้าหรือไม่” อาอวิ้นถามอย่างกังวล “ให้เจ้าอยู่ต่อหน้าองค์หญิง หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาคงต้องรับโทษ”
หากเป็นก่อนหน้านี้หลิวเวยก็คงคิดเช่นนี้ แต่เวลานี้…นางส่ายหน้า “ข้าว่าไม่” เมื่อเห็นอาอวิ้นต้องการพูดอะไรบางอย่าง นางจึงยิ้มขึ้น “พี่อาอวิ้น ข้าเป็นคนที่จะก่อความผิดพลาดหรือ ข้าจะรับมืออย่างระวังต่อหน้าองค์หญิง เติบโตมากับเหล่าฮูหยินและพี่น้องในตระกูล ถึงแม้จะโง่เขลาเพียงใดก็เรียนรู้ที่จะรับมือ”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นคุณหนูตระกูลหลิวพูดจาอย่างมีความมั่นใจเช่นนี้ในตระกูลฉาง ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางเหลือบมองนาง เมื่อมีคนพึ่งพิงก็มีความแตกต่างเสียจริง
อาอวิ้นทำได้เพียงเงียบลง ก่อนจะพึมพำขึ้นมา “อารมณ์ขององค์หญิงตระกูลสวรรค์ไม่แน่นอน รับมือได้ไม่ง่าย”
สาวรับใช้เร่งเร้าให้รีบเดินทางไป ถึงแม้จะรับมือยาก แต่เมื่อองค์หญิงจินเหยาเปิดปากแล้ว ตระกูลฉางจะกล้าปฏิเสธหรือ
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางรีบพาหลิวเวยเดินทางไปอย่างรีบร้อน ทางเหล่าฮูหยินตระกูลฉางได้ยิน สีหน้าของนางซับซ้อนขึ้นมา
“ไปเถิด รับมือได้ก็พอ ครั้งนี้เป็นโอกาสของนาง” นางพูดเสียงเบา ก่อนจะเรียกขานสาวรับใช้ข้างตัว “ชุนเหมียว เจ้าไปปรนนิบัติคุณหนู”
ชุนเหมียวสาวรับใช้คนโปรดของเหล่าฮูหยิน รับใช้ไม่เคยห่างไกล นางได้ยินจึงรีบตอบรับ