บุปผาลิขิตแค้น – ตอนที่ 136 ระหว่างทาง

ตอนที่ 136 ระหว่างทาง

ฮองเฮาแต่งกายสง่างามเลิศล้ำ แต่เมื่อยืนกับฮ่องเต้แล้วดูไม่เหมือนสามีภรรยา หลายปีนี้ฮองเฮายิ่งแก่ชรามากขึ้น ส่วนฮ่องเต้กลับกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

ฮองเฮาเป็นภรรยาคนแรกของฮ่องเต้ อายุมากกว่าฮ่องเต้ห้าปี

ในตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตอย่างกะทันหันจากการป่วย องค์ชายสามอายุเพิ่งสิบห้ายังไม่มีการหมั้นหมาย สิ่งแรกของการขึ้นครองราชบัลลังก์ก็คือการแต่งงาน ซึ่งการแต่งงานนี้เขาเป็นคนเลือกด้วยตนเอง คุณหนูอายุน้อยในตระกูลชั้นสูงมีมากมายเขาไม่เลือก แต่เลือกหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าอย่างนาง

ภายในใจของฮองเฮากระจ่างดีว่าเป็นเพราะเหตุใด ไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ของนางงดงาม หากแต่เพราะตระกูลของนางมีพี่น้องจำนวนมาก ให้กำเนิดบุตรได้ง่าย ส่วนอายุของนางมีข้อได้เปรียบด้านการให้กำเนิดมากกว่าหญิงสาวอายุน้อย ฮ่องเต้ต้องการมีบุตรอย่างรีบร้อน…

ถึงแม้ฮ่องเต้แต่งงานกับนางเพื่อให้กำเนิดบุตร แต่หลายปีมานี้ก็เคารพนางอย่างมาก

มีเพียงความเคารพ ไม่มีความรัก

ในวังหลังนี้ ในฐานะของฮองเฮามีความเคารพก็เพียงพอแล้ว หากแต่ตามการอ่อนแอลงของเหล่าท่านอ๋อง อำนาจของฮ่องเต้เพิ่มมากขึ้น ความเคารพที่มีนี้ก็สู้แต่ก่อนไม่ได้แล้ว

ความขัดแย้งระหว่างฮองเฮาและฮ่องเต้นับวันยิ่งมากขึ้น เวลานี้เมื่อได้ยินคำพูดยับยั้งฮ่องเต้ของฮองเฮา ขันทีก็อดกังวลไม่ได้

“เขาติดตามจินเหยาไป เพราะเป็นห่วงจินเหยา จินเหยาเพิ่งเดินทางมาถึง อีกทั้งออกจากวังเป็นครั้งแรก หม่อมฉันก็ไม่ค่อยสบายใจ” ฮองเฮาพูด เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มขึ้น “อาเสวียนและจินเหยาสนิทกันเช่นนี้เสมอมา”

ฮ่องเต้ส่ายหัว “ข้ารู้ความคิดเขา เขาได้ยินว่าเฉินตันจูอยู่ จึงคิดจะไปก่อเรื่อง ก่อนหน้านี้ได้ยินว่านางเป็นบุตรสาวของเฉินเลี่ยหู่ เขาก็วิ่งมาขอคำอธิบายจากข้า บอกว่าจะสังหารเฉินตันจู ข้าบอกเหตุผลมากมาย อีกทั้งภัยซ่อนเร้นของเหล่าท่านอ๋องยังไม่หมดสิ้น เฉินตันจูยังมีประโยชน์อีกมาก หากสังหารเฉินตันจูไปแล้วจะส่งผลกระทบต่อความปรารถนาของโจวต้า ให้เขาอยู่เฉยๆ ภายในพระราชวัง” พูดพลันชี้ไปด้านนอก “แต่ความคิดของเขาก็ไม่หยุดพักลง”

ฮองเฮาไม่สนใจเฉินตันจูแม้แต่น้อย เพียงแต่พูดด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล ให้คนไปกำชับ

จินเหยาเอาไว้ ให้จินเหยาดูเขาเอาไว้ให้ดี ไม่ต้องเรียกคนกลับมา เด็กทั้งสองไม่ได้ออกข้างนอกด้วยกันมานานมากแล้ว”

ฮ่องเต้มองฮองเฮา เหมือนสังเกตบางอย่างได้ “เจ้ารู้สึกว่าอาเสวียนคู่ควรกับจินเหยา?”

ฮองเฮาถามกลับ “ฝ่าบาทไม่รู้สึกเช่นนั้นหรือเพคะ ฝ่าบาททรงสถาปนาตำแหน่งโจวให้อาเสวียน จากนั้นผูกญาติกับเขา ถ้าให้เขากลายเป็นบุตรเขยของฝ่าบาท ตระกูลโจวก็ไร้ความกังวลแล้ว ใต้เท้าโจวที่อยู่ด้านล่างก็สามารถตาหลับสนิทได้”

ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยอะไร สีหน้าโศกเศร้าเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติกลับมาได้

“ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้” เขาพูด “อาเสวียนก่อเรื่องในแต่ละวันก็แล้วไป แต่เวลานี้อีกฝ่ายคือเฉินตันจู”

หากเฉินตันจูก่อปัญหาขึ้นมาก็ไม่แพ้โจวเสวียนแม้แต่น้อย

ฮองเฮาเรียกขานฝ่าบาท

“หากเฉินตันจูกล้าก่อเรื่องต่อหน้าองค์หญิง นางก็สมควรได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง” สีหน้าของนางเรียบเฉย “ถึงแม้จะมีคุณงามความดีเพียงใด ฝ่าบาทจะเชื่อใจนางเพียงใด แต่นางก็ไม่อาจไม่รู้ขอบเขตได้”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของฮองเฮามีเหตุผล หรือรู้สึกว่าไม่อาจเกลี้ยกล่อมโจวเสวียนได้ แต่เมื่อชะลอไปเช่นนี้ก็ตามไม่ทันแล้ว หากมีเรื่องขึ้นกลางถนนจะเสียหน้าของโจวเสวียน ฮ่องเต้ก็คงทำไม่ลง เรื่องนี้จะปล่อยเลยตามเลยไป เพียงแค่ทำตามที่ฮองเฮาพูด ส่งขันทีคนหนึ่งตามองค์หญิงจินเหยาไป กำชับนางให้ระวัง

หวังว่างานเลี้ยงนี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่น

งานเลี้ยงสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่ เวลานี้ยังไม่รู้ แต่เวลานี้ระหว่างทางไปงานเลี้ยงไม่ราบรื่นเท่าใดนัก

แต่ละคนล้วนเร่งรีบออกมาแต่เช้าเพื่อหลีกเลี่ยงการติดขัดในการเดินทาง แต่สุดท้ายบนถนนก็ยังคงติดขัด เฉินตันจูก็รวมอยู่ในนั้น

“เคลื่อนตัวช้าเพียงนี้ ร้อนเสียจริง” อาเถียนเปิดม่านมองไปด้านหน้า “เกิดเรื่องใดขึ้น”

จู๋หลินหันมาพูด “ด้านหน้ามีรถม้าสองตระกูลชนกัน กำลังหารือว่าจะทำอย่างไร”

อาเถียนถาม “แล้วจะทำอย่างไร”

เฉินตันจูเคาะพัดลงบนพื้นรถ “จะทำอย่างไรได้ ให้พวกนางหลบออกไปหารือกันข้างทาง”

อาเถียนกระจ่าง ก่อนจะโบกมือให้จู๋หลิน “จัดการ”

ที่นี่ไม่ใช่ประตูเมือง คนบนถนนไม่เหมือนกับทหารยามเฝ้าหน้าประตูเมืองที่ต่างรู้จักจู๋หลิน อีกทั้งเฉินตันจูเปลี่ยนรถม้าคันใหม่เพราะว่าต้องนั่งสี่คน…จู๋หลินนั่งอยู่ด้านหน้าเคลื่อนรถ อาเถียนนั่งอยู่ภายในรถกับ

เฉินตันจู ชุ่ยเอ๋อและเยี่ยนเอ๋อนั่งอยู่ด้านหลังรถ…

ตอนแรกอาเถียนจะนำองครักษ์ทั้งสิบมาด้วยกันทั้งหมด

“หากมีอันตรายจริง พวกเขาสามารถปกป้องคุณหนูได้”

เฉินตันจูที่ได้ยินจึงยิ้มออกมา “หากถึงสถานการณ์ที่ต้องใช้พวกเขาขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็ปกป้องข้าไม่ได้”

องครักษ์ทั้งหลายที่อยู่ข้างตัวของนางนี้มีประโยชน์ที่สุดคือเป็นสัญลักษณ์แสดงตัวตน แสดงให้เห็นว่าเป็นคนของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก หากอีกฝ่ายไม่สนใจสัญลักษณ์นี้แม้แต่น้อย เช่นนั้นองครักษ์ทั้งสิบอันที่จริงก็ไม่มีประโยชน์

อาเถียนราวกับฟังเข้าใจแต่ก็ราวกับไม่เข้าใจ หรือบางทีนางไม่คิดจะเข้าใจตั้งแต่แรก ไม่นำองครักษ์ไปด้วยได้ แต่ต้องนำเยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อไปด้วย…พวกนางทั้งสองก็เรียนรู้การต่อสู้ หากมีเหตุที่ไม่ถึงขั้นอันตราย พวกนางก็สามารถออกแรงได้

เมื่อได้ยินคำพูดของอาเถียน จู๋หลินจึงสะบัดแส้ม้า ไม่ได้ตีเพื่อเร่งม้า หากแต่สะบัดกลางอากาศ ส่งเสียงดังก้องออกมา

“หลบไป!” เขาตะโกน

คนของรถม้าด้านหน้าตกใจ ในขณะที่กำลังจะหันกลับไปโต้เถียง “ให้ใครหลบไป!” แส้ม้าก็สะบัดมาถึงตรงหน้าแล้ว ทำได้เพียงหลบหลีกพร้อมส่งเสียงร้องด้วยความตกใจตามสัญชาตญาณ ก่อนจะมองม้าที่ไม่ดูทางทำท่าทางจะชนเข้ามา

“หลบทางเร็ว หลบทางเร็ว” เหล่าบ่าวรับใช้จึงทำได้เพียงตะโกน จูงรถม้าของตนเองหลบไปข้างทางอย่างเร่งรีบ

บนถนนที่คับคั่งเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกในทันที จู๋หลินเคลื่อนรถม้าแหวกทางออก

“ผู้ใดกัน!”

“เกินไปแล้ว!”

“รั้งเขาเอาไว้…”

แต่เสียงเหล่านี้หายลับไปอย่างรวดเร็ว รถม้าที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วถูกลมพัดผ่าน เผยให้เห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ภายใน หญิงสาวนั่งอยู่ในรถม้าที่วิ่งพุ่งชนไปด้านหน้าด้วยท่าทางโบกพัดอย่างสบาย…

“เฉินตันจู!” มีคนจำท่าทางโอหังนี้ได้ จึงตะโกนขึ้น

ตามเสียงการตะโกนนี้ คนที่เดิมทีคิดจะสั่งสอนคนเคลื่อนรถม้าที่ไร้มารยาทนี้ก็ถอยไปทันที ใครสั่งสอนใครยังไม่แน่ ตระกูลทั้งสองที่กำลังถกเถียงเพราะรถม้าชนกันก็รีบเคลื่อนรถม้าออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งกัดฟันอย่างเคียดแค้นต่อเฉินตันจูที่ขับเคลื่อนไป

“โอหังยิ่งนัก!”

“นางกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร”

“เจ้าเพิ่งรู้หรือ นางเป็นเช่นนี้เสมอมา ตอนเข้าเมืองแม้แต่ทหารยามยังไม่กล้ารั้ง”

“เกินไปแล้ว นางคิดว่านางเป็นองค์หญิงหรือ”

“เจ้าพูดอันใด องค์หญิงไม่มีทางเป็นเช่นนี้!”

เสียงโหวกเหวกบนถนนดังขึ้นตามการจากไปของรถม้าของเฉินตันจู เพียงแต่ถนนไหลลื่นมากขึ้น ในขณะที่ทุกคนกำลังจะเดินทางต่อนั้น ด้านหลังก็มีเสียงสะบัดแส้ม้าและเสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง “หลบไป หลบไป”

“ผู้ใดอีก” มีคนหันกลับไปอย่างหงุดหงิด “แต่ละคนล้วนอยากเลียนแบบเฉินตันจู?”

เมื่อหันกลับไปพบว่าเป็นขบวนขององครักษ์หลวง ทันใดนั้นก็เงียบเสียงทันที

“ขบวนขององค์หญิง!”

“องค์หญิงมาแล้ว”

ไม่ต้องให้องครักษ์หลวงตักเตือน ก็ไม่มีเสียงโหวกเหวกแม้แต่น้อย คนรถม้าที่เดินทางอยู่บนถนนรีบถอยไปด้านข้างทันที พวกเขาต่างยืนอยู่ริมทางด้วยความเคารพ อีกทั้งยังไม่ลืมที่จะอุทานออกมา “ดู นี่ถึงเรียกว่าขบวนขององค์หญิง ไม่โอหังเหมือนเฉินตันจูแม้แต่น้อย”

เหล่าคุณหนูที่นั่งอยู่บนรถต่างก็แอบเปิดม่านขึ้นมา แวบแรกที่เห็นคือองครักษ์หลวงที่น่าเกรงขาม โดยเฉพาะชายหนุ่มอายุน้อยสง่างามคนหนึ่งภายในนั้น เขาไม่สวมชุดเกราะ ไม่พกพาอาวุธ แต่แผ่นหลังตั้งตรง

โดดเด่นดุจดวงอาทิตย์…

ราชรถขององค์หญิงเคลื่อนผ่านไปแล้ว แต่เหล่าคุณหนูยังคงเหม่อลอยเล็กน้อย ลืมแม้กระทั่งดู

องค์หญิง

“ผู้ใดกัน”

“ไม่ใช่องครักษ์หลวง”

“เป็นบัณฑิตหรือไม่ ใบหน้าของเขาสง่างามยิ่งนัก”

“ใช่องค์ชายหรือไม่”

โจวเสวียนโคลงไปโคลงมาอยู่บนหลังม้า เขาไม่สนใจรถม้าที่หลบไปอยู่สองข้างทาง รวมไปถึงการแอบมองและเสียงวิจารณ์ของเหล่าหญิงสาวแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาจ้องไปมองไปด้านหน้า

บนถนนใหญ่ด้านหน้าที่ตลบอบอวลไปด้วยฝุ่นควันดุจดั่งมีม้านับหมื่นวิ่งผ่าน ม้านับหมื่นที่ลากรถม้าเพียงหนึ่งคัน ทั้งโอหังทั้งโดดเด่นอย่างแปลกประหลาด

บุปผาลิขิตแค้น

บุปผาลิขิตแค้น

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก ชิงไหวชิงพริบเข้มข้น เจ้าของผลงานหวนชะตารัก

ท่ามกลางยุคสมัยอันวุ่นวาย เฉินตันจู บุตรสาวราชครูในท่านอ๋องอู๋

หนึ่งในท่านอ๋องที่ตั้งตนเป็นใหญ่ได้ย้อนเวลากลับมาครั้นเมื่อตนอายุสิบห้าปี

ครั้งที่บิดาและครอบครัวยังไม่ถูกสังหารด้วยแผนการร้ายของพี่เขย

เมื่อได้ย้อนกลับมาปณิธานของนางย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลให้ไม่พบจุดจบดังเดิม

ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศและถูกผลักไส

แต่เพื่อความสุขของคนที่รักนางพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง เมื่อก้าวเดินของนางเปลี่ยนแปลงชะตาเดิม

เมื่อนั้นนางก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวังวนของการแก่งแย่งเสียแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท