เวลานี้ทั้งเมืองจางจิงมีคนชื่อเฉินตันจูเพียงคนเดียว
ถึงแม้จะมีคนอื่นชื่อเฉินตันจู แต่เวลานี้ก็คงจะเปลี่ยนชื่อไปแล้ว
ส่วนคนอื่นก็คงยังไม่ถึงขั้นจดหมายเชิญฉบับหนึ่งจะต้องส่งมาถึงหน้านายท่านฉาง
พ่อบ้านมองจดหมายเชิญสีเหลืองใบเล็กนี้ ก่อนจะตอบอีกครั้ง “คาดว่าจะเป็นเฉินตันจูคนนั้น”
นายท่านฉางยังคงไม่อยากเชื่อ “เจ้า พบนางแล้ว?”
พ่อบ้านส่ายหน้า “ไม่ขอรับ เวลานั้นมีสาวรับใช้คนหนึ่งลงมาจากรถคันหนึ่ง ยื่นจดหมายเชิญบอกว่าให้เป็นของขวัญตอบรับ”
ของขวัญตอบรับ ตอบรับที่ว่าเป็นของขวัญขอบคุณสำหรับการเชิญของตระกูลฉาง ถึงแม้จะอาศัยอยู่ชนบทนอกเมือง แต่ตระกูลฉางก็ยังคงจับตามองทิศทางการเคลื่อนไหวภายในเมือง…ทางการเคลื่อนไหวภายในเมืองน่ากลัวเกินไป พวกเขาไม่อาจไม่ระวังได้ ดังนั้นเวลานั้นมีตระกูลใหญ่มากมายไปอารามดอกท้อที่ตั้งอยู่บนภูเขาดอกท้อยกยอประจบอุดหนุนคุณหนูตันจูท่านนี้ ตระกูลฉางยึดหลักไหลตามกระแส จึงเรียกให้คุณหนูใหญ่ในตระกูลเดินทางไป
แต่ระยะนี้ไม่ได้ยินว่าคุณหนูตันจูมอบของขวัญตอบรับให้ผู้อื่น ตระกูลเหอจัดงานชมดอกบัว
คุณหนูตันจูก็ไม่ได้เข้าร่วม
เหตุใดจึงตอบรับการเชิญของตระกูลฉางของพวกเขา
นายท่านฉางมีเพียงความคิดเดียว เขามองพ่อบ้านด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ในตระกูลมีผู้ใดไปทำให้คุณหนูตันจูไม่พอใจหรือไม่”
ไม่เพียงแต่ภายในจวนใหญ่ตระกูลฉาง หากแต่ต้องสืบหาทั่วทั้งตระกูลฉางที่ครอบครองพื้นที่ไปกว่าครึ่งตงเจียว หลังจากสืบมาหนึ่งวันหนึ่งคืนล้วนบอกว่าไม่มี
“ระยะนี้ภายในเมืองไม่มั่นคง ตามคำสั่งของนายใหญ่ บุตรหลานในตระกูลล้วนไม่ออกไปด้านนอก” ทุกคนรายงาน “อย่าว่าแต่คนหนุ่ม คนอื่นล้วนไม่เข้าไปในเมือง”
ตงเจียวมีแปลงนามีป่าหม่อนมีแม่น้ำมีปลามีกุ้ง การกินการอยู่ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะสามารถหาได้เอง ไม่ต้องเข้าเมืองจับจ่าย ในระหว่างวันที่เฉินตันจูส่งจดหมายตอบรับกลับมานี้ นอกจากการไปมาหาสู่กันของญาติมิตร ก็มีเพียงคุณหนูใหญ่และนายหญิงใหญ่ตระกูลฉางออกไปด้านนอกมาก่อนหน้านี้
ครั้งหนึ่งคือคุณหนูใหญ่นำสาวรับใช้ไปเยือนเฉินตันจูที่อารามดอกท้อ ส่วนอีกครั้งคือนายหญิงใหญ่ตระกูลฉางพาคุณหนูใหญ่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเหอ
คุณหนูใหญ่ยืนกรานว่าไม่ได้ทำให้เฉินตันจูขุ่นเคือง
“อย่าว่าแต่ทำให้ขุ่นเคืองเลย” คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางยิ้มขมขื่น “แม้แต่พูดกับคุณหนูตันจูก็ไม่ได้พูด จดหมายเชิญก็ถูกวางเอาไว้อย่างรีบร้อน”
เวลานั้นสาวรับใช้ของคุณหนูตันจูออกมาบอกว่าวันนี้คุณหนูตันจูไม่รับรักษา ให้ทุกคนกลับจวนไป เหล่าคุณหนูคนอื่นต่างยัดจดหมายเชิญให้สาวรับใช้นั้น นางก็ยัดตามคนอื่นไป
ต่อจากนั้นก็ไม่เคยเดินทางไปอีก
ส่วนงานชมดอกบัวของตระกูลเหอยิ่งไม่มีอะไรสามารถพูดได้ เพราะคุณหนูตันจูไม่ได้ไป
ถามมารอบหนึ่ง ไร้เหตุไร้ผล ฉงนกันถ้วนหน้า
“นายท่านใหญ่ ข้าว่าท่านคิดมากไปแล้ว” ภายในโถงจวนใหญ่นั่งเต็มไปด้วยผู้คน ในที่สุดก็มีคนเอ่ยขึ้น “เฉินตันจูคงจะแค่ตอบรับเท่านั้น อย่างไรก็ตามระยะนี้นางได้รับจดหมายเชิญจำนวนมาก พวกเราล้วนเป็นคนเมืองอู๋เดิม ตอบรับก็เป็นเรื่องปกติ”
“ใช่แล้ว” มีคนพยักหน้า “บางทีตระกูลอื่นก็อาจได้รับ”
นายท่านฉางพยักหน้า คงจะเป็นเช่นนี้ เขาคิดมากไปแล้ว ตกใจกลัวไปเอง เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้
“ชื่อเฉินตันจูนี้ ทำให้เรากลัวจนกลายเป็นเช่นนี้แล้ว” เขาพูดพลางส่ายหัว
โลกเปลี่ยนไปแล้ว ก่อนหน้านี้เฉินเลี่ยหู่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่บุตรสาวของเขาก็ไม่อาจไม่เกรงกลัวได้ถึงเพียงนี้ ถึงแม้จะหยิ่งจองหอง แต่ในฐานะที่เป็นชนชั้นสูงของเมืองอู๋เหมือนกัน ใครกลัวใคร…ถึงแม้จะกลัวคนใดคนหนึ่งจริง แต่คนผู้นั้นย่อมไม่ใช่เฉินเลี่ยหู่
“ผู้ใดใช้ให้เขาทรยศหักหลังเกาะเกี่ยวฮ่องเต้ได้ก่อน” มีคนหัวเราะเยาะ
“คำพูดเหล่านี้เจ้าแค่คิดก็พอแล้ว” นายท่านฉางโบกมือ “อย่าได้พูดต่อหน้านำมาซึ่งภัยพิบัติต่อตระกูล…ตระกูลพวกเราหากถูกคาดโทษขับไล่ทั้งตระกูลขึ้นมา พวกเราคงจะอยู่ไม่ได้แล้ว”
คนนั้นตอบรับพลางหดไหล่ลง
ทุกคนภายในตระกูลตกใจกลัวและเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันจึงแยกย้ายกันไป นายท่านฉางก็กลับไปพักผ่อนในลานสวนของตนเอง มีสาวรับใช้รอคอยอยู่หน้าประตู นางคารวะเรียกขานนายท่าน
นางเป็นสาวรับใช้ของเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง นายท่านฉางรีบถามว่ามีเรื่องอันใด
“เหล่าฮูหยินให้มาถามนายท่านใหญ่ว่าเรื่องเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” สาวรับใช้พูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้ใดในตระกูลก่อเรื่องร้ายแรง”
นายท่านฉางพูด “สืบกระจ่างแล้ว ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง” ก่อนจะเดินไปทางสวนด้านหลังเอง “ข้าจะไปพบท่านแม่ รายงานท่านให้กระจ่าง ท่านจะได้ไม่ตกใจกลัว”
สาวรับใช้รีบปราม “เหล่าฮูหยินบอกว่านายท่านใหญ่เหนื่อยแล้ว วันนี้ไม่ต้องไปแจ้งข่าว รอพรุ่งนี้ตอนกินข้าวเช้าค่อยมา รู้ว่าไม่มีเรื่องอันใดก็ดี”
มารดาเมตตารักใคร่ นายท่านใหญ่เคารพต่อมารดาอย่างมาก เมื่อได้ยินดังนี้จึงตอบรับ ก่อนจะเล่าอย่างละเอียดต่อสาวรับใช้ก่อนจะยืนมองสาวรับใช้เดินไปทางด้านหลัง
ตระกูลฉางพักอยู่ที่เมืองตงเจียว จวนของตระกูลเชื่อมต่อกัน เหล่าฮูหยินตระกูลฉางเป็นนายหญิงที่สูงส่งที่สุดในตระกูล ย่อมต้องพักจวนที่ดีที่สุด เหล่าฮูหยินตระกูลฉางชื่นชอบต้นไม้สีแดงต้นหลิวสีเขียว ภายในสวนงดงามประณีต เครื่องแต่งกายของนางก็งดงาม เมื่อได้ยินคำพูดของสาวรับใช้ ใบหน้าแดงระเรื่อของนางปรากฏรอยยิ้ม “ข้าบอกแล้ว บุตรหลานตระกูลพวกเราไม่มีทางทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้”
สาวรับใช้ยิ้มรับ “เจ้าค่ะ ดังนั้นเหล่าฮูหยินสามารถกินข้าวได้อย่างสบายใจได้แล้วหรือไม่เจ้าคะ ท่านไม่ได้กินข้าวดีๆ มาทั้งวันแล้ว”
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางถลึงตาใส่สาวรับใช้หนึ่งที แต่ไม่ได้ขุ่นเคืองนางจริงๆ
“ไม่ใช่ข้าตื่นตระหนก” นางถอนหายใจ “ข้ามีชีวิตมานานเพียงนี้ เป็นครั้งแรกที่พบเจอเรื่องมากมาย ผู้ใดจะคิดว่าท่านอ๋องอู๋บอกว่าไม่มีก็ไม่มีแล้ว อีกทั้งเมืองอู๋ยังกลายเป็นเมืองหลวงขึ้นมา”
สาวรับใช้ให้คนอื่นจัดวางอาหาร “เหล่าฮูหยินอย่าได้กังวล ข้าว่ากลายเป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะไม่ดี ถึงแม้เวลานี้จะสั่นคลอนเล็กน้อย แต่ภายหลังย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน”
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางยิ้ม “ก็จริง อันที่จริงแล้ว สำหรับคนอื่นแล้วหวาดกลัววิตกกังวล ไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ตระกูลฉางของพวกเราไม่ต้องกลัว ข้าบอกพวกเจ้าเอาไว้ ถึงแม้ตระกูลฉางของพวกเราจะเป็นตระกูลชนบทในสายตาของตระกูลใหญ่ในเมืองอู๋ แต่ตอนนั้นนายท่านใหญ่ของพวกเจ้ามีสหายตอนเรียนหนังสือ ภรรยาของเขาเป็นญาติของตระกูลฮองเฮา”
แน่นอน ก่อนหน้านี้ราชสำนักอ่อนแอ ไม่อยู่ในสายตาของเหล่าท่านอ๋อง ขุนนางเล็กที่เป็นคนในตระกูลของฮองเฮายิ่งไม่มีน้ำหนัก แต่เวลานี้แตกต่างไปแล้ว
สาวรับใช้อุทาน “เช่นนั้นย่อมเป็นเชื้อสายราชวงศ์มิใช่หรือเจ้าคะ”
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางยิ้มถ่อมตน “ไม่ถึงขั้นนั้น แต่หากนับตามรุ่น เขาต้องเรียกฮองเฮาว่าเสด็จป้า”
“เช่นนั้นก็ต้องเป็นเชื้อสายราชวงศ์” สาวรับใช้พูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะนั่งลงข้างตัวของเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง กระซิบข้างหูเสียงเบา “เหล่าฮูหยิน นายท่านใหญ่เป็นสหายกับนายท่านคนนั้น ต่อจากนี้ตระกูลเราก็ถือว่าเป็นเชื้อสายราชวงศ์ได้แล้วกระมังเจ้าคะ”
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางผลักนาง “เจ้าเด็กนี่เชื่อมโยงเก่งเสียจริง พวกเราใช่ที่ไหนกัน อย่าได้พูดเหลวไหล”
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่นางก็หัวเราะขึ้นมา ถึงแม้จะไม่ใช่เชื้อสายราชวงศ์ แต่ต่อจากนี้ก็คงมีความเกี่ยวข้องกันกับตระกูลของฮองเฮาแล้ว
“นายท่านใหญ่เขียนจดหมายให้สหายท่านนั้นแล้ว แต่ระยะทางห่างไกลจึงยังไม่ได้รับการตอบกลับ ไม่แน่ว่าอาจกำลังอยู่บนทางที่จะมาแล้ว” นางพูดเสียงต่ำ “รอคนมาถึงค่อยพูดเถิด”
สาวรับใช้ยื่นชามและตะเกียบให้นางด้วยรอยยิ้ม “เหล่าฮูหยินทานข้าวก่อนเจ้าค่ะ”
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางรับมา ในขณะที่กำลังจะกิน ด้านนอกมีเสียงหัวเราะของเหล่าหญิงสาวดังขึ้น เหล่าสาวรับใช้เปิดม่านขึ้น มีหญิงสาวหกคนเดินเข้ามา
คนชราชอบดูเหล่าหญิงสาวคึกคักอย่างเป็นที่สุด เหล่าฮูหยินตระกูลฉางถามด้วยรอยยิ้ม “กินข้าวมาแล้วหรือไม่”
เหล่าหญิงสาวอายุน้อยบ้างตอบกินแล้วบ้างตอบยังไม่กิน
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางกวักมือเรียกหญิงสาวที่ยืนอยู่ท้ายสุด “เวยเวย มานี่”
เหล่าหญิงสาวหลบออกไป เผยให้เห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านล่างโคมไฟ นางคือคุณหนูตระกูลหลิวที่เปิดร้านยาหุยชุนถัง
หลิวเวยเดินเข้าไป นั่งลงด้านข้างของเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง
“เหตุใดมาแล้วจึงไม่มาหาข้า” เหล่าฮูหยินตระกูลฉางตำหนิ “โกรธท่านยายหรือ”
หลิวเวยรีบส่ายหัว “ได้อย่างไรเจ้าคะ ข้ามาแล้ว ท่านลุงบอกว่าทางนี้มีเรื่อง ภายในตระกูลเคร่งเครียด ข้าไม่กล้ามารบกวนท่านยาย”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านทวด” หญิงสาวคนหนึ่งนั่งเบียดเข้ามา “ท่านไม่เห็นว่าหลายวันนี้ข้าก็ไม่ได้มาหาท่านทวดหรือ”
“พี่อาอวิ้น ท่านทวดไม่คิดถึงท่านหรอก” หญิงสาวอีกคนปิดปากหัวเราะ
คำพูดนี้ทำให้อาอวิ้นโวยวายด้วยความไม่ยอม เหล่าฮูหยินตระกูลฉางรีบอุทานหลายครั้ง ก่อนจะให้พวกนางนั่งลง “กินข้าว กินข้าว คืนนี้มาอยู่ในจวนท่านทวดนี้”
เหล่าคุณหนูจึงพึงพอใจ ก่อนจะนั่งล้อมเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง จะเอาสิ่งนี้จะเอาสิ่งนั้น ภายในห้องเต็มไปด้วยความคึกคัก
“พวกเจ้าอย่ากังวล” เหล่าฮูหยินตระกูลฉางพูดกับเหล่าหญิงสาว “ไม่มีอันใดแล้ว ล้วนถูกชื่อของเฉินตันจูนั้นทำให้ตื่นตระหนก”
“เฉินตันจูนี้น่ากลัวเสียจริง” คุณหนูคนหนึ่งพูด “ข้าได้ยินพี่ใหญ่บอกว่า คุณหนูตันจูนั้นอยู่ในอารามดอกท้อมักดูเหล่าสาวรับใช้ตีกันเป็นเรื่องสนุกอยู่ทุกวัน”
ความชื่นชอบแปลกประหลาดเสียจริง เหล่าคุณหนูพูดเจื้อยแจ้ว
“อย่าพูดถึงนางเลย” อาอวิ้นปรามทุกคน ถามเรื่องที่ตนเองกังวลที่สุด “ท่านทวด งานเลี้ยงตระกูลเรายังจะจัดขึ้นหรือไม่เจ้าคะ”
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางพูดด้วยรอยยิ้ม “จัด ย่อมต้องจัด พวกเราส่งจดหมายเชิญไปให้ทุกคน เชิญสหายของพวกเจ้ามา ตระกูลเราก็มีทะเลสาบมีดอกบัว อีกทั้งมีปลามีเรือมีสะพาน”
หญิงสาวอายุน้อยคนใดไม่ชอบเที่ยวเล่น ทันใดนั้นต่างดีใจขึ้นมา
“ท่านทวด” อาอวิ้นเบียดเข้ามาเขย่าแขนของเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง “ไม่เชิญคุณหนูตระกูลจง”
หลิวเวยเรียกขานอาอวิ้นด้วยความกังวล ก่อนจะพูดกับเหล่าฮูหยินตระกูลฉาง “ต้องเชิญ ต้องเชิญเจ้าค่ะ ตระกูลฉางและตระกูลจงมีความสัมพันธ์มาหลายปี”
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางลูบไหล่ของนางด้วยความเอ็นดู “เวยเวย อย่ากังวล ท่านทวดรู้ว่าเจ้าถูกรังแก รอนางมา ข้าจะบอกมารดาของนาง ให้นางขอโทษเจ้า”
หลิวเวยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาที่หลุบต่ำลงผิดหวังเล็กน้อย ความเอ็นดูของท่านยายยังคงมีขีดจำกัด
หญิงสาวอีกคนด้านนอกเห็นเข้า นางกัดตะเกียบพูดกับพี่น้องข้างตัวเสียงเบา “นางคิดว่าตนเองเป็นคนของตระกูลฉางหรือ ยังคิดจะไม่ให้คุณหนูตระกูลจงมา รู้ว่านางอยู่ คุณหนูจงคงไม่มา”
พี่น้องข้างตัวนิสัยอ่อนโยน ไม่ได้พูดเสียดสีหรือเยาะเย้ย “ยังคิดจะให้ผู้ใดมาผู้ใดไม่มา ให้หน้าผู้ใด แก้แค้นให้ผู้ใด งานเลี้ยงเล็กของตระกูลเรา เดิมทีก็มีคนมาไม่กี่คน อีกทั้งเวลานี้ ถึงเวลาหากไม่มีผู้ใดมา ทุกคนคงขายหน้า”
คำพูดนี้ทำให้หญิงสาวก่อนหน้านี้ผงะ นางครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะยิ่งโกรธมากขึ้น นางทิ่มตะเกียบลงชามอย่างแรง
ท่านทวดเอ็นดูรักใคร่หลิวเวยนี้มากไปเสียแล้ว จัดงานเลี้ยงให้นาง งานเลี้ยงปกติของตระกูลพวกเราคนที่มาก็มีไม่มากอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลานี้ที่ทุกคนต่างวิตกกังวล จะมีสักกี่คนที่มาได้ เมื่อถึงเวลาหากไม่มีคนมาจริง คนที่ขายหน้าคือคนที่แซ่ฉางอย่างพวกนาง