เสี่ยวฉีจื่อ เสี่ยวเอ้อร์ของร้านมายกอาหารออกไป เมื่อเห็นหน้าตาอาหารเหล่านี้พลันตะลึงงันจนลูกตาแทบถลนออกมา
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นอาหารที่มีหน้าตาสวยงาม แต่อาหารที่ดูดีมีเอกลักษณ์เช่นนี้เขาก็เพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก
มั่วเชียนเสวี่ยใช้วิธีปรุงในแบบของอาหารตะวันตก หลังจากลงจานเรียบร้อยแล้วนางก็ใช้ผักผลไม้สดในการประดับตกแต่ง ยุคสมัยนี้มีเพียงอาหารชั้นสูงในภัตตาคารเท่านั้นที่มีลักษณะเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นมาก่อน
เมื่อเสี่ยวฉีจื่อยกอาหารเข้าไปด้านในห้องรับรองแล้ว พวกนางทั้งสองคนถูกจัดให้อยู่ในลานเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น เสี่ยวฉีจื่อก็เดินออกมาเชิญมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปด้านในด้วยท่าทางนอบน้อมกล่าวว่าคุณชายเชิญให้เข้าพบ
มั่วเชียนเสวี่ยเดินนำไปข้างหน้าแต่เสี่ยวฉีจื่อเข้ามาขวางอาซ้อฟางที่เดินตามนางมาติดๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้น “แม่นางผู้นี้ช้าก่อน คุณชายเพียงเชิญแม่นางผู้นั้นเข้าไปด้านในเพียงคนเดียว”
“ได้อย่างไรเล่า” แม้อาซ้อฟางจะรู้สึกเก้ๆ กังๆ แต่เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปด้านในเพียงลำพังก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก
ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่กันเพียงลำพัง หากว่าคุณชายเจ็ดนั่นคิดทำเรื่องไม่ดีขึ้นมาจะทำอย่างไร
ท่ามกลางสถานการณ์อันคับขัน นางจึงผลักเสี่ยวฉีจื่อออกแล้วทำท่าจะตามเข้าไปด้วย
มั่วเชียนเสวี่ยกลับหันหลังมาห้ามพลางส่งสายตาให้นางสงบลง ก่อนจะส่ายศีรษะ “อาซ้อ ข้าไม่เป็นไรหรอก”
“เช่นนั้น หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าตะโกนร้องออกมา ข้าจะรออยู่ที่ด้านนอก” สายตานั้นทำให้อาซ้อฟางนึกขึ้นมาได้ว่าการที่มั่วเชียนเสวี่ยเดินทางมาในครั้งนี้มีจุดประสงค์ก็เพื่อเจรจาด้านการค้า นางดึงชายเสื้อของตนเองโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจ้องเสี่ยวฉีจื่อที่อยู่ข้างๆ ตาเขม็งแล้วถอยกลับไปที่เดิม
เมื่อคุณชายเจ็ดเห็นนางเดินเข้ามาก็เก็บพัดลง จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยยืดหลังตรงด้วยสีหน้าจริงจัง
มั่วเชียนเสวี่ยเพียงทำความเคารพ แล้วชายตาไปมองอาหารตรงหน้าที่หลงเหลือเพียงเศษผักเพียงไม่กี่ชิ้นพร้อมกับจานและตะเกียบ มุมปากก็เผยอขึ้นเล็กน้อย
คาดไม่ถึงว่าคุณชายผู้สูงศักดิ์จะกินจุเช่นนี้
รอยยิ้มของนางไม่ได้ทำให้คุณชายเจ็ดเขินอายแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับคลี่พัดออกแล้วพัดเบาๆ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “แม่นางช่างมีฝีมือในการปรุงอาหารยิ่งนัก ดูสิ เถ้าแก่หลี่กินเสียจนเกลี้ยงเชียว อีกทั้งยังเอ่ยชมไม่ขาดปาก! ข้าเองก็ได้ลองชิมดู อาหารเหล่านี้ทั้งหน้าตาและรสชาตินับว่าดีเลิศทีเดียว ไม่เลวๆ ไม่ทราบว่าเจ้าคิดจะขายเท่าใด”
เถ้าแก่หลี่ขมวดคิ้วเข้าหากันทันใด เหตุใดจู่ๆ จึงโยนมาว่าตนเป็นคนกินเล่า ตนเพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะแล้วลองชิมไปเพียงสองสามคำ นอกนั้นคุณชายเจ็ดผู้นี้เป็นคนทานเองเสียหมดเกลี้ยง
คุณชายเจ็ดแต่งกายหรูหราสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลา ยามเอ่ยวาจาคิ้วทั้งสองข้างยกย้ายส่ายไปมา ผมยาวถูกรวบขึ้น ในมือพลางขยับพัดไปมาเบาๆ
ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยที่มองอยู่แทบตาลายเลยทีเดียว
ให้ตายสิ ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน!
“อาหารและน้ำแกง รวมทั้งสิ้นห้ารายการ ข้าคิดเป็นเงินสองร้อยตำลึงแล้วกัน”
มั่วเชียนเสวี่ยตอบเขาพลางนึกอยู่ในใจถึงโอกาสที่จะก่อตั้งโรงงานผลิตซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูขึ้น เนื่องจากอาหารเหล่านี้หากใส่ซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูเข้าไปปรุงแต่งสักเล็กน้อย จะยิ่งเพิ่มความหอมกรุ่นรสชาติกลมกล่อมกว่าเดิม
“เจ้าว่าอย่างไรนะ สองร้อยตำลึงเชียวหรือ! สูตรอาหารง่ายๆ ขายในราคาสองสามตำลึงก็นับว่ามากพอแล้ว เจ้านี่มันช่างโลภมากเอาเสียจริง…” เถ้าแก่หลี่เมื่อได้ยินนางกล่าวขึ้นว่าจะคิดราคาอาหารจำนวนสองร้อยตำลึง เขาก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันใด ค่าจ้างพ่อครัวคนหนึ่งแต่ละเดือนยังมีราคาเพียงแค่หนึ่งตำลึงเท่านั้น นางกล้าดีอย่างไรกันถึงคิดราคาเช่นนี้
“ท่านเถ้าแก่ก็รู้ดีว่าอาหารของพวกนั้นเป็นอาหารธรรมดาไม่ใช่หรือ จะนำมาเปรียบกับอาหารของข้าได้อย่างไร มองไปแล้วตัวคุณชายคงมีความรู้มากทีเดียว คาดว่าคงมีภูมิหลังที่ดีและเคยพบเจอสิ่งต่างๆ มามากมาย ไม่ทราบว่าท่านเคยเห็นอาหารหน้าตาเหล่านี้มาก่อนหรือไม่ แล้วท่านเคยลิ้มลองรสชาติแปลกใหม่และเอร็ดอร่อยเท่านี้หรือเปล่าเจ้าคะ”
แม้จะต้องเผชิญหน้าเข้ากับแรงปะทุของเถ้าแก่ผู้นั้น แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับค่อนข้างใจเย็น จะตัดราคากันหรือ นางมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้มากนัก จะยอมโดนเสียเปรียบไม่ได้เป็นอันขาด
“เจ้า! สมองของเจ้ามัวแต่คิดถึงเรื่องเงินจนบ้าไปแล้วหรืออย่างไร เงินสองร้อยตำลึงนั้นตระกูลซูของเรา…”
“ราคาเดียวไม่แปรเปลี่ยน สองร้อยตำลึง หากว่าคุณชายไม่ต้องการ ข้าก็จะกลับไปยังภัตตาคารอิ๋งเค่อเซวียนเดี๋ยวนี้ คาดว่าเถ้าแก่ที่นั่นคงจะให้ความสนใจไม่น้อย”
เมื่อคุณชายเจ็ดเห็นว่าเถ้าแก่หลี่ดูเหมือนจะพ่ายแพ้ แววตาของเขาก็ประกายความสนใจขึ้นมาชั่วครู่ มุมปากเผยอยิ้มมากขึ้น จากนั้นจึงยื่นมือไปห้ามเถ้าแก่หลี่ที่กำลังจะเอ่ยแย้งออกไป “เอาล่ะ ตกลงตามที่เจ้าว่าสองร้อยตำลึง เพียงแต่เราจะต้องทำสัญญาต่อกัน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“เชิญคุณชายกล่าวมาเถิดเจ้าค่ะ”
“ฟังจากการพูดการจาของแม่นางแล้วนับว่าเป็นผู้มีวาทศิลป์ คาดว่าคงจะได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี คงรู้หนังสือและได้ร่ำเรียนตำรามามาก!”
“คุณชายช่างละเอียดอ่อนเสียจริง ข้าชื่นชมท่านยิ่ง! แม้ข้าจะเคยศึกษาตำรามาบ้างและรู้จักตัวหนังสือเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจเทียบเคียงกับคุณชายผู้สูงส่งเช่นท่านได้หรอกเจ้าค่ะ”
หลังจากได้ยินคำตอบของนาง เถ้าแก่หลี่จึงได้ครุ่นคิดถึงอากัปกิริยาของนางและพบว่าสาวชาวบ้านทั่วไปไม่ได้มีท่าทางเช่นนี้ เขาเองก็นับว่าอยู่ในโลกการค้ามาเนิ่นนานพอควร ด้านของการมองคนก็พอจะมีความสามารถอยู่บ้าง
แรกเริ่มแม่นางผู้นี้เรียกแทนตัวเองว่าข้าน้อย แต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นข้า แม้ต้องเผชิญหน้ากับคุณชายผู้สูงศักดิ์เช่นนี้ แต่ท่าทางของนางยังคงทะมัดทะแมง หัวเราะได้อย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้นเรื่องตัวตนของนางทำให้ซูชี คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลซูรู้สึกงุนงงเสียจริง
ทว่า บนใบหน้าของเขากลับดูผ่อนคลายลงอย่างไม่รู้ตัว ไม่ได้หยิ่งผยองดั่งเมื่อครู่
เนื่องจากผู้ที่ได้ร่ำเรียนหนังสือเดิมทีก็สูงส่งล้ำค่าดุจทองคำ ส่วนสตรีที่อ่านออกเขียนได้นั้นนับว่าหาได้น้อยเสียเข้าไปใหญ่ เหตุใดสตรีเพียบพร้อมเช่นนี้จึงต้องมาระเหเร่ร่อนทำอาหารขายเพื่อดำรงชีวิตกัน ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
คุณชายเจ็ดลุกขึ้นยืนแล้วหัวเราะชอบใจออกมา “ข้อตกลงของข้านั้นง่ายดายยิ่ง ข้อแรกสูตรอาหารในวันนี้เจ้าห้ามขายให้ผู้อื่นเด็ดขาด ข้อที่สองหากวันหลังเจ้าสามารถคิดสูตรอาหารออกมาใหม่ได้ในราคาเท่าเทียมกัน จะต้องเป็นของภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีของเราเท่านั้น”
“ตกลงตามนั้น รบกวนสัญญาฉบับละสองชุด…”
เมื่อเดินทางออกมาจากภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวี มั่วเชียนเสวี่ยเหลือบไปพบร้านขายเครื่องประดับที่อยู่ไม่ไกลออกไป นางจึงชักชวนอาซ้อฟางเข้าไปดู
ในโลกที่มองแต่เปลือกนี้ หากไม่มีเครื่องประดับสักสองสามชิ้นคงไม่ได้ แม้ยามนี้นางยังไม่มีปัญญาซื้อทองหรือหยก แต่สำหรับเครื่องประดับเงินและเสื้อผ้าชุดใหม่อีกสองสามชุด ก็ไม่ใช่ว่าจะซื้อไม่ได้
นางเลือกปิ่นเงินสลักรูปดอกไม้มาสองชิ้น หลังเดินออกจากร้านก็ได้ดึงตะเกียบที่ปักอยู่บนศีรษะออกแล้วเปลี่ยนเป็นปิ่นเงินแทน ก่อนจะนำอีกชิ้นหนึ่งในมือยื่นไปปักให้อาซ้อฟางพร้อมกับกล่าวว่านี่คือของขวัญแทนคำขอบคุณ
อาซ้อฟางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นางรีบดึงปิ่นออกจากศีรษะทันที
นางไม่รู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยขายอาหารนั้นเป็นเงินเท่าใดแต่ดูจากลายสลักบนปิ่นเงินนี้แล้วมีความละเอียดประณีต ราคาคงไม่ต่ำกว่าสี่ห้าตำลึงแน่ เทียบกับปิ่นไม้ของนางเมื่อครั้นออกเรือน ไม่รู้ว่าล้ำค่ามากกว่ากันกี่เท่า
ของขวัญอันล้ำค่าเช่นนี้ นางจะรับไว้ได้อย่างไร
“อาซ้อไม่ได้เห็นว่าข้าเป็นเสมือนน้องสาวแท้ๆ หรอกหรือ เหตุใดจึงทำห่างเหินเช่นนี้ ช่างทำร้ายจิตใจน้องยิ่งนัก” ท่ามกลางการโต้แย้งของทั้งสองคน มั่วเชียนเสวี่ยก็ทำท่าจะร้องไห้
เมื่อเห็นนางทำท่าจะร้องไห้อาซ้อฟางจึงเกิดเป็นกังวลขึ้นมา น้องสาวผู้นี้ไม่มีญาติแม้แต่คนเดียว เมื่อนางหาเงินมาได้ก็ยกของมีค่าเช่นนี้ให้แก่ตน คาดว่าคงจะเห็นตนเป็นเฉกเช่นญาติสนิทของนางคนหนึ่ง
เมื่อคิดได้ดังนั้น มือที่จับปิ่นเงินเอาไว้ก็วางลง หากท่านอาจารย์หนิงจากไปวันใด นางจะต้องปกป้องน้องสาวผู้นี้ไว้เพื่อไม่ให้ถูกขายเป็นทาสให้ได้ น้องสาวยังจัดการเรื่องการเงินไม่เป็น ปิ่นเงินนี้นางจะเก็บเอาไว้เป็นหลักประกัน เมื่อถึงเวลาอันสมควรอาจได้นำมามอบคืนให้แก่น้องสาวผู้นี้
“เจ้าอย่าได้ร้องไห้ไปเลย ซ้อจะรับเอาไว้ พอใจหรือยัง เพียงแต่ซ้อคิดว่าคงต้องกล่าวบางประโยคที่ไม่น่าฟังออกมา แม้เจ้าหาเงินได้ แต่ควรบริหารจัดการเงินว่าจะใช้เยี่ยงไรให้รอบคอบ ไม่ใช่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ นี่มันเป็นการล้างผลาญทรัพย์สินเชียวนะ! นับแต่นี้ห้ามเจ้าทำอีก!”
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเราไปซื้อผ้ากันสักหน่อยเถอะ เห็นซ้อว่าจะตัดเสื้อผ้าใหม่ให้ซวนจื่อและยายาอย่างนั้นหรือ ข้าเองก็จะได้ตัดชุดใหม่ให้เซียนเซิงและตัวข้าเองด้วย…”
มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวพลางชักชวนอาซ้อฟางเข้าไปในร้านขายผ้า มีของอีกมากมายเหลือเกินที่นางยังไม่ได้ซื้อ คงต้องเร่งรีบสักหน่อยแล้ว
อาซ้อฟางที่เดินตามอยู่ด้านหลังได้แต่ส่ายหน้า เมื่อครู่นางกล่าวว่าเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือ บัดนี้ยังร้องจะตัดชุดใหม่อีก มองดูแล้วน้องสาวผู้นี้คงยังไม่รู้จักการใช้ชีวิตจริงๆ ในภายภาคหน้าคงจะต้องช่วยนางเสียหน่อย