แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นปิ่นเงินปักอยู่บนมวยผมของมั่วเชียนเสวี่ย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความละโมบ
หลายครั้งที่นางมาก่อนหน้านี้มักจะเป็นยามเย็น มีแสงสลัวจึงไม่ได้สังเกตเห็น
“ปิ่นปักผมของหนิงเหนียงจื่อช่างงดงามจริงๆ ข้าขอลองยืมมาปักผมหน่อยเถอะนะ” นางพูดพลางยื่นมือไปคิดจะดึงปิ่นปักผมออกมา ในใจคิดไว้อยู่แล้วว่ายืมแล้วจะไม่คืน
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นนางจะเข้ามารังแก มือหนึ่งก็กดปิ่นปักผมบนศีรษะเอาไว้ ถอยหลังไปหนึ่งก้าวพลางยิ้มเยือกเย็น “เช่นนั้นหรือ เซียนเซิงก็บอกว่าข้าใส่แล้วดูดี ต้องเก็บเป็นมรดกตกทอดต่ เอาไว้มอบให้ลูกสะใภ้แต่ไม่ให้ลูกสาว”
มอบให้ลูกสะใภ้แต่ไม่ให้ลูกสาว?
อาซ้อจ้าวเอ้อร์ชักมือกลับด้วยความกระดากใจ แม้รู้สึกไม่พอใจ แต่พอเห็นมั่วเชียนเสวี่ยชักหน้าใส่ จึงพูดจาเชือดเฉือนกลับ “ดูท่าหนิงเหนียงจื่อจะรังเกียจข้า แค่เพียงขอดูเท่านั้น ไม่น่าคนในหมู่บ้านถึงบอกว่าเจ้าไร้มโนธรรม ข้าที่ไม่เชื่อจึงช่วยพูดแก้ต่างอยู่ตรงนั้นให้ บอกว่าเจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น…”
“คนตาถั่วคนไหนมันเป็นคนพูด เจ้าบอกมาเดี๋ยวนี้เลย ข้าจะไปจัดการกับมันเอง!” อาซ้อฟางเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเป็นเหมือนน้องสาวของตัวเอง ท่าทีเข้าข้างสนิทสนมกันทำให้ความโกรธของอาซ้อจ้าวเอ้อร์เพิ่มทวีขึ้น จนไม่สามารถระงับอารมณ์ไว้ได้
“อาซ้อฟาง เรื่องนี้เกี่ยวกับเจ้าตรงไหน อย่ามาทำตัวได้ประโยชน์แล้วอวดดีเลย”
“หนิงเหนียงจื่อเป็นเหมือนน้องสาวของข้า เรื่องของนางก็ถือเป็นเรื่องของข้า”
“แหม เพิ่งทำงานได้ไม่กี่วันก็กลายเป็นบ่าวไปเสียแล้ว รู้จักปกป้องเจ้านายด้วย…”
อาซ้อฟางก็เป็นคนอารมณ์ร้าย หลังได้ยินนางพูดจาเหลืออดเช่นนี้ก็พุ่งกระโจนเข้าไปหมายจะฉีกปากนั่น
มั่วเชียนเสวี่ยกลัวว่าพวกนางจะตบตีกันจริงๆ จึงหันไปส่งสายตาให้อาซ้อกุ้ยฮวา ส่วนตัวเองก็ดึงอาซ้อฟางออกมาก่อน ส่วนอาซ้อกุ้ยฮวาก็ดึงอาซ้อจ้าวเอ้อร์ออกไปอีกฟาก
มั่วเชียนเสวี่ยเกลี้ยกล่อมอาซ้อฟางหลายคำก่อนจะกระซิบข้างหูนางแต่ก็ไม่รู้ว่าพูดอะไร ได้ยินเพียงแค่อาซ้อฟางพูดว่าสมควรแล้ว ต่อมาก็เปลี่ยนจากโกรธเกลียดเป็นอารมณ์ดี…
ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีส่งคนมารับเต้าหู้ ซึ่งก็คืออาจ้าวกับเสี่ยวฉีจื่อเช่นเดิม
หลังจากรับเต้าหู้เสร็จแล้ว เสี่ยวฉีจื่อก็วางเนื้อวัวและสมุนไพรบางอย่างลงแล้วเดินขึ้นรถม้า ส่วนอาจ้าวก็สะบัดแส้ ไม่นานหลังจากนั้นรถม้าก็ลับหายไป
เมื่อวานมั่วเชียนเสวี่ยกำชับให้เสี่ยวฉีจื่อนำเนื้อวัวและสมุนไพรเหล่านี้มาโดยเฉพาะ เนื้อวัวมีฤทธิ์ร้อน เพื่อเตรียมไว้ตุ๋นเป็นน้ำแกงและปรุงยาบำรุงกำลังให้หนิงเซ่าชิง
มั่วเชียนเสวี่ยถือเนื้อวัวเข้ามาพร้อมกับส่งยิ้มให้อาซ้อฟาง “เนื้อวัวตุ๋นกับขิงเป็นยาบํารุงธาตุหยินและบํารุงไตได้ดี ได้ยินมาว่ามีประโยชน์ต่อชายหนุ่ม เป็นสมุนไพรเหมาะบํารุงสุขภาพได้ดีที่สุด! ส่วนสตรีกินแล้วก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรง…”
อาซ้อฟางพูดเสริมขึ้นอีกว่า “เหมาะแล้วที่จะใช้บำรุงอาจารย์หนิง ถ้าปีนี้เจ้าตั้งครรภ์…”
“อาซ้อก็…” มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยน้ำเสียงเขินอาย
คนที่รู้อาการป่วยของหนิงเซ่าชิงมากที่สุดก็คืออาซ้อฟางและคนที่เป็นห่วงมากที่สุดก็คือนางอีกเช่นกัน
เรื่องที่คุณชายเจ็ดส่งหมอมารักษาหนิงเซ่าชิง มั่วเชียนเสวี่ยย่อมไม่ปิดบังนางอยู่แล้ว นางถึงกับหลอกอาซ้อฟางว่า อาการป่วยของอาจารย์หนิงไม่เป็นอะไรมากแล้ว ไม่เช่นนั้นถ้ามั่วเชียนเสวี่ยต้องเผชิญหน้ากับความขมขื่น ความอึดอัดใจและท่าทางที่อ้าซ้อฟางจ้องท้องของนางทั้งวันแล้วทำหน้าไม่สบอารมณ์ นางคงได้มุดหน้าหนีเข้าโพรงแน่
ยังดีที่อาซ้อฟางไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ “ก็ได้ๆ ข้าไม่ล้อเจ้าแล้ว”
“ตอนบ่ายถ้าข้าว่างจะตุ๋นเนื้อไว้ พอตุ๋นเสร็จจะได้เรียกพี่จางมาด้วย อาซ้อทั้งสองคนก็มากินบำรุงร่างกายด้วยกันสิ เนื่องจากมีฤทธิ์มาก เด็กๆ จึงกินไม่ได้…”
เมื่ออาซ้อจ้าวเอ้อร์เห็นเนื้อวัวชิ้นนั้น ดวงตาก็เบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา เมื่อได้ยินว่าเป็นยาบำรุงที่ดีที่สุดก็ยิ่งน้ำลายสอ
มั่วเชียนเสวี่ยถือเนื้อและสมุนไพรเดินมาถึงหน้าประตูห้องครัว เห็นอาซ้อกุ้ยฮวากับอาซ้อจ้าวเอ้อร์ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ในใจคิดว่าเต้าหู้ก็เก็บไปแล้วและตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้วเช่นกัน จึงพูดเชิงส่งแขกด้วยคำสุภาพ อาซ้อกุ้ยฮวาจูงมืออาซ้อจ้าวเอ้อร์ลุกขึ้นแล้วกล่าวคำลา อาซ้อฟางไม่สะดวกที่จะอยู่ตามลำพังจึงเดินตามพวกนางไปด้วย
เพียงอาซ้อจ้าวเอ้อร์แม้จะเดินตามไป แต่กลับเดินๆ หยุดๆ หันมองแล้วมองอีก
เมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปพ้นประตูบ้านแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็วางเนื้อวัวไว้ในห้องครัว หยิบขิงที่ได้มาจากร้านสมุนไพรแล้วนำออกมาเลือกพลางวางไว้ข้างๆ เนื้อวัว จากนั้นจึงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งเดินเข้าไปในห้องได้ไม่นาน ประตูเรือนก็ถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง เงาร่างหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปในห้องครัว ในมือหยิบของบางอย่างขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างลำพองใจ ก่อนจะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
นางไม่ทันสังเกตที่ด้านหลังประตูซึ่งมีสายตาเย็นชาคู่หนึ่งกําลังจับจ้องทุกอิริยาบถ รอจนนางหยิบของออกแวบหายไปแล้ว เจ้าของดวงตาเย็นชาผู้นั้นก็ปรากฏรอยยิ้มเยาะออกมา
คราวนี้เนื้อวัวของนางไม่ได้อร่อยเพียงนั้นหรอก
“เชียนเสวี่ย เจ้ากําลังมองอะไรอยู่หรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยที่แอบหัวเราะอยู่หลังประตูตกใจกับเสียงกระซิบที่หลังหู นางหันขวับไปมองทันทีและพบว่าเป็นหนิงเซ่าชิงที่ยืนอยู่ด้านหลังกําลังสงสัยว่านางมองอะไรอยู่ แต่นางหมุนตัวกลับโดยไม่ทันระวังทำให้ชนเข้ากับอกแกร่งเต็มแรง
มั่วเชียนเสวี่ยถอยหลังทันที คิดไม่ถึงว่าส้นเท้าจะกระแทกเข้ากับธรณีประตูซ้ำ แล้วนางก็หงายหลังเกือบจะล้มลงไปเหมือนภาพที่เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
ขณะที่ตื่นตระหนกอยู่นั้น หนิงเซ่าชิงพลันยื่นมือออกไปรั้งตัวนางเข้ามาทันควัน พาความตื่นตระหนกนั้นกลับมาอยู่ในอ้อมอกอีกครั้ง
ดวงตาทั้งสองคู่สอดประสานกัน เวลาราวกับหยุดลง
มั่วเชียนเสวี่ยมองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึง เมื่อวานยังนอนอยู่บนเตียงเหมือนคนกำลังจะตายอยู่เลย แล้วนี่ลงมาจากเตียงได้แล้ว? คนคนนี้หากจะเดินก็เดินให้มันมีซุ่มมีเสียงบ้างไม่ได้หรืออย่างไร
เมื่อถูกมั่วเชียนเสวี่ยจ้องเขม็งอยู่อย่างนั้น ความตกใจปนเสียงหายใจแรงระบายบนใบหน้าเขา หนิงเซ่าชิงรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ใบหูแดงระเรื่อพร้อมกับถามขึ้น “เชียนเสวี่ย เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
เชียนเสวี่ย? เขาเรียกนางอยู่หรือ? เมื่อไหร่กันที่ไม่เรียกเจ้าๆ ข้าๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
แม้โทนเสียงนี้ชวนขนลุกไปบ้าง ทว่ากลับทำให้หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นและตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเห็นหนิงเซ่าชิงมีสีหน้าดีขึ้นแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะพบว่าทั้งสองคนกําลังโอบกอดกันอย่างสนิทสนม แถมมือของนางยังโอบเอวของอีกฝ่ายไว้แน่นด้วย!
มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะแห้ง ปล่อยมือด้วยความเขินอาย “ข้าไม่เป็นไรแล้ว! ท่านปล่อยได้แล้ว ยามนี้ยังไม่หายดีเลย ทำไมถึงออกมาข้างนอกล่ะ”
ที่จริงแล้วหนิงเซ่าชิงตื่นตั้งนานแล้ว บ้านก็แค่นี้เอง เขาจึงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในห้องครัวอย่างชัดเจน
ตั้งแต่เมื่อคืนที่ตื่นขึ้นมาเขาตัดสินใจแล้ว เขายังมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าใดก็จะต้องปกป้องนางให้ได้นานเท่านั้น ไม่ยอมให้นางมีความคับข้องใจแม้แต่น้อย
วันข้างหน้าหากใครรังแกนางคงต้องข้ามศพเขาไปก่อน ส่วนเรื่องสตรี แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องพวกนั้นเข้ามาสร้างความวุ่นวาย
หญิงชั่วร้ายนั่น มั่วเชียนเสวี่ยมีแผนการจัดการไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
หนิงเซ่าชิงชําเลืองมองปิ่นปักผมบนศีรษะของมั่วเชียนเสวี่ย เขาปล่อยมือที่วางอยู่บนเอวของนางอย่างรู้สึกผิด ในใจคิดไว้ว่าต่อไปจะต้องหาทองมาหุ้มปิ่นเงินนี้ไว้ให้มั่วเชียนเสวี่ยให้จงได้ จากนั้นก็ประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าอีกหลายเม็ด
ของสืบทอดมรดกของตระกูลก็ต้องมีลักษณะของความเป็นมรดกตกทอดสิ
มั่วเชียนเสวี่ยที่เห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งงันไป กลัวว่าร่างกายของเขายังอ่อนแออยู่จึงถือโอกาสประคองเขาให้นั่งลงข้างโต๊ะ
เขาอ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ต้องให้หญิงสาวบอบบางคนหนึ่งคอยปกป้องเหมือนตัวเองเป็นลูกไก่ หนิงเซ่าชิงกระแอมไอเบาๆ อย่างกระอักกระอ่วน “ข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว วันนี้ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้คงเริ่มสอนได้ ประเดี๋ยวเจ้าไปส่งข่าวให้หัวหน้าหมู่บ้านด้วยล่ะ”