อาซ้อจ้าวเอ้อร์ดึงหูของลูกชายคนเล็กพลางก่นด่าลูกชายทั้งสองของนาง ด้านจ้าวเอ้อร์ที่ได้ยินคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ยจึงลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยอย่างไม่พอใจ “บ้านข้าซื้ออะไรมากิน จะต้องรายงานหญิงโฉดเช่นเจ้าด้วยรึไง”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้โกรธตามคำยั่วยุของเขา เอ่ยตอบอย่างไม่เร่งรีบ “เพียงบอกมาว่าเนื้อวัวในวันนั้นเจ้าได้แต่ใดมา…”
“พวกข้าจะไปซื้อเนื้อในเมืองบ้างไม่ได้รึ”
“วันนั้น จ้าวเอ้อร์เดินอยู่รอบๆ ท่าเรือทั้งวัน ทุกคนเป็นพยานได้ ส่วนอาซ้อจ้าวเอ้อร์ก็เดินไปมาในบ้านของข้า ซึ่งเรื่องนี้อาซ้อฟางและอาซ้อกุ้ยฮวาเป็นพยานได้ ลูกทั้งสองก็วิ่งเล่นอยู่กับบรรดาเด็กๆ ในหมู่บ้าน พวกเจ้าไม่ได้เข้าไปในตัวเมือง ขอถามหน่อยว่าเป็นผู้ใดที่นำเนื้อนี้มาจากในเมืองให้เจ้า แต่เนื้อวันนั้นค่อนข้างขาดตลาด ชั่งหนึ่งก็น่าจะตีเป็นเงินหกสิบถึงเจ็ดสิบอีแปะเห็นจะได้ บอกได้ไหมว่าพวกเจ้าเอาเงินมาจากที่ไหน แล้วก็……”
ใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยเย็นชา คำพูดที่พ่นออกมาแต่ละประโยคคมกริบกว่าประโยคก่อนหน้า กรีดใจสองสามีภรรยาแซ่จ้าวจนปากอ้าตาค้าง
“ท่านหวังเอ้อร์และลุงป้าน้าอาทุกท่าน เชียนเสวี่ยสงสัยว่าเนื้อวัวและยาสมุนไพรที่หายไปจะถูกอาซ้อจ้าวเอ้อร์ผู้ขโมยไป”
“เจ้า! เจ้าใส่ร้ายข้า!” สองสามีภรรยาตระกูลจ้าวพูดขึ้นพร้อมกัน
“งึ้นรึ? เช่นนั้นพวกเจ้าจะบอกหรือไม่ว่าใครนำเนื้อนั่นมาจากในเมืองให้พวกเจ้า ข้าว่า เนื้อนั่นต้องเป็นของที่ถูกขโมยไปจากบ้านข้าแน่ สงสารสามีของข้า ร่างกายของเขาอ่อนแอเพียงนี้ พวกเจ้ากลับ… สวรรค์ยังมิอาจทนดูพวกเจ้าทำเช่นนี้ ส่งเคราะห์ร้ายมาจัดการพวกเจ้า ให้เจ็บป่วยทุรนทุราย นอกจากพวกเจ้าจะไม่รู้จักสำนึกผิดแล้ว ยังมาก่อเรื่องถึงบ้านข้าอีก…”
คำพูดของมั่วเชียนเสวี่ยราวกับมีดที่กำลังเชือดเฉือนเนื้อ สะกดจ้าวเอ้อร์และภรรยาให้ตกตะลึงโดยไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆ
ชาวบ้านที่ล้อมวงเฝ้าดูความตื่นเต้นต่างพากันส่ายหัว มนุษย์ป้าเริ่มพูดคุยกันแล้ว
“เมียจ้าวเอ้อร์ขี้เหนียวจะตายไป นางจะลงทุนซื้อเนื้อวัวที่มีราคาแพงได้อย่างไรกัน”
“นั่นสิ นางชอบเอาเปรียบผู้อื่นเพียงนั้น ไม่บอกก็รู้ว่าเนื้อนั่นต้องถูกขโมยมาจากหนิงเหนียงจื่อแน่”
“หนิงเหนียงจื่อช่างน่าสงสารจริงๆ นอกจากจะถูกขโมยเนื้อไปแล้ว ยังถูกคนพวกนั้นใส่ความ…”
“คนเช่นนั้นไม่รู้จักถูกผิดหรอก…”
“ใช่ ที่ป่วยหนักเพียงนั้นอาจเป็นบทลงโทษจากสวรรค์ก็ได้…”
มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจกับคำพูดตอกย้ำมากมาย เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ ! สองผัวเมียคู่นี้สมควรได้รับบทเรียนนี้
“ไม่พูดไม่จาเช่นนี้ คงจะยอมรับสารภาพแล้วสินะ” มั่วเชียนเสวี่ยกระแอม ผู้คนรอบข้างก็พลันเงียบเสียงลง จับจ้องไปยังร่างบางที่สวมชุดสีฟ้า ดูเหมือนยามนี้นางจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนไปเสียแล้ว
“เนื้อวัวทั้งหมดสามชั่ง เป็นจำนวนเงินสองร้อยอีแปะ พวกเจ้าต้องชดใช้ และยาสมุนไพรพวกนั้น เป็นจำนวนเงินสามร้อยอีแปะ พวกเจ้าต้องชดใช้เช่นกัน นอกจากนี้ พวกเจ้าทำให้การรักษาโรคของสามีข้าล่าช้า ต้องชดใช้อีกสิบตำลึง เพื่อเป็นค่าบำรุงรักษาร่างกายเขา ทั้งนี้เชียนเสวี่ยไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าโขกศีรษะขอโทษ แต่พวกเจ้าทำลายชื่อเสียงข้า ให้พวกเจ้าคุกเข่าขอโทษก็พอ ข้าก็จะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป…”
มั่วเชียนเสวี่ยคิดคำนวณอย่างถี่ถ้วนพลางอธิบายช้าๆ ยังไม่ทันได้พูดจบ ใบหน้าของสองผัวเมียนั่นก็เปลี่ยนเป็นสีเดียกับตับหมูแล้ว
“เจ้าๆๆ เจ้าฝันไปเถิด หากต้องการเงินข้าคงไม่มีให้ จะมีก็เพียงหนึ่งชีวิตนี้ เจ้าจะเอาหรือไม่” จ้าวเอ้อร์เอ่ยขัดหัวชนฝา
“ไม่นะ หนิงเหนียงจื่อกำลังบีบเค้นจะเอาชีวิตคนแล้ว…” ซ้อจ้าวเอ้อร์นอนลงบนพื้นแสร้งทำเป็นสิ้นใจอีกครั้ง
“หุบปาก!” หวังเอ้อร์กระแทกปล้องยาสูบของเขาลงบนเก้าอี้ข้างๆ เสียงดังปัง จากนั้นบรรยากาศโดยรอบก็พลันเงียบสนิท
“เอาล่ะ หนิงเหนียงจื่อ นี่ก็ถือเป็นความผิดของพวกเขาจริงๆ วันนี้ข้าจะเปิดหอบรรพชนแล้วให้พวกเขาคุกเข่าเป็นเวลาสองสามชั่วยามเพื่อให้สำนึกผิด อีกอย่างเจ้าก็เป็นสตรี เหตุใดจึงบีบขั้นผู้อื่นเพียงนี้ คุณธรรมของหญิงที่ดีหายไปไหนเสียแล้ว วาจาท่าทาง…”
ไม่มีการชดใช้ ไม่มีการปลอบโยน แถมยังกล่าวหานางได้หน้าตาเฉย บัดนี้หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยเย็นยะเยือก แล้วคนที่กำลังเสแสร้งตายอยู่บนพื้นนั่นเรียกว่าเป็นหญิงที่มีคุณธรรมได้อย่างนั้นหรือ?
หวังเอ้อร์ผู้นี้กำลังลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรเสีย อาซ้อจ้าวเอ้อร์ก็ยังคงเป็นบุตรสาวของตระกูลหวัง
มั่วเชียนเสวี่ยสืบเสาะที่มาที่ไปของอาซ้อจ้าวเอ้อร์อย่างละเอียด แต่เดิมสามีของนางเป็นบุตรชายคนแซ่จ้าว จากหมู่บ้านจ้าวจยา ตระกูลจ้าวมีบุตรชายอยู่มาก ส่วนอาซ้อจ้าวเอ้อร์ผู้นี้ไม่ได้เข้ากับคนอื่นได้ง่ายๆ นางแต่งเข้าบ้านสามีได้ไม่ถึงสองปี ก็ตบตีกับแม่สามีอยู่หลายครั้ง
เมื่อไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้วจริงๆ บังเอิญที่หมู่บ้านหวังจยามีบ้านว่างอยู่พอดี นางจึงร้องห่มร้องไห้วิงวอนบิดาให้ช่วยเจรจากับหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อมอบบ้านหลังนั้นให้นาง ย้ายมาอยู่ที่นี้ แยกออกมาเป็นครอบครัวเดี่ยว ย่อมสบายกว่าการพึ่งพาแม่สามีเป็นไหนๆ
แม้ว่าจะมีคนแซ่อื่นๆ มากมายที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหวังจยาแห่งนี้ แต่ผู้นำหมู่บ้านล้วนแซ่หวัง ในบรรดาผู้อาวุโสหวังเอ้อร์มีอายุมากที่สุด ลำดับศักดิ์สูงที่สุด ดังนั้นหากเกิดเรื่องขึ้น คนตระกูลหวังจะเป็นผู้ตัดสิน
หวังเอ้อร์ตกลงปลงใจแต่แรกแล้วว่าอยากได้สูตรทำเต้าหู้ ในเมื่อแตกหักไปแล้ว แถมหนิงเหนียงจื่อผู้นี้เป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ ก็อย่าถือโทษที่เขาต้องใช้วิธีโหดเหี้ยมเลย เขาไม่เชื่อว่าอาวุโสที่อยู่ในหมู่บ้านหวังจยามาสามรุ่นเช่นเขาจะไม่สามารถต่อกรกับเหนียงจื่อที่พลัดถิ่น เขาไม่เชื่อว่าตนจะคุมบัณฑิตที่หนีภัยมาไว้ไม่ได้
“หนิงเหนียงจื่อ เจ้าเป็นสตรี ดำเนินกิจการค้าขายเต้าหู้ยังพอทำเนา แต่ยังจะเข้าเมืองลอยหน้าลอยตาทำการเจรจาค้าขาย ทำลายธรรมเนียมปฏิบัติอันดีของเรา ต่อจากนี้ไป ทางหมู่บ้านจะเป็นผู้จัดการดำเนินกิจการแทน ส่วนเจ้ามีหน้าที่ตั้งใจทำเต้าหู้ก็พอ วางใจเถิด พวกเราไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าแน่ เรื่องนี้ตกลงเช่นนี้แล้วกัน!”
มังกรก็สู้งูเจ้าที่ไม่ได้[1]! ยามนี้ หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยจมดิ่งลึกลงไป เมื่อเป็นผู้น้อยก็ต้องยอมศิโรราบแก่ผู้ที่เป็นใหญ่กว่าเสมอ หากเป็นคำพูดของจ้าวเอ้อร์นางคงจะเพิกเฉยหรือตอบโต้กลับจนอีกฝ่ายล้มตึง ทว่าคนตรงหน้าคือหวังเอ้อร์ นางไม่ฟังเขาพูดให้จบไม่ได้
หากหวังเอ้อร์ตั้งใจแน่วแน่จะทำเช่นนั้นจริงๆ นางคงทำได้แค่ยอมจำนนเท่านั้น ขืนต่อต้านไป ด้วยอำนาจของเขาอาจจะปิดกั้นทางเข้าหมู่บ้านเพื่อกันไม่ให้คนจากไป๋อวิ๋นจวีเข้ามา เขาใช้อำนาจหยุดให้ชาวบ้านเอาถั่วมาแลกได้ และยังสามารถ…
ท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเกาซานกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พยายามดื่มน้ำชาเพื่อหลบหลีกสายตา
กลับกันใบหน้าของหลี่ปาและฟางอู่กลับดูจะเบิกบานเป็นพิเศษ
สีหน้าของหวังเอ้อร์เคร่งขรึม
สองสามีภรรยาจ้าวเอ้อร์กระหยิ่มยินดี
ด้านอาซ้อฟางที่กำลังจะเปิดปากแต่กลับถูกคนอื่นรั้งไว้ ส่วนอาซ้อกุ้ยฮวาเอาแต่ก้มหน้าก้มตา
ท่ามกลางผู้คน มีทั้งคนเสียดาย มีทั้งคนเสียใจ มีบางคนก็สะใจ บางคนก็มาดูเอาสนุก…
มั่วเชียนเสวี่ยเคว้งคว้างและทำอะไรไม่ถูก…
“คนภายนอกสามารถก้าวก่ายกิจในบ้านของคนตระกูลหนิงได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เสียงนุ่มนวลดุจเครื่องสายดังมาจากข้างนอกลานบ้าน แม้เสียงจะเบาบางแต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แต่ละคำกล่าวออกมาอย่างชัดเจน
ทุกคนมองไปที่ประตูลานบ้าน ฝูงชนแยกเป็นสองทางโดยไม่ได้นัดหมาย หนิงเซ่าชิงไขว้มือไว้ด้านหลัง เดินอาดเข้ามา
ริมฝีปากบางซีดเซียวเม้มลง กายสวมชุดสีฟ้า ดูสง่าสูงส่ง เดินมาอย่างเชื่องช้า ไม่มีเค้าความโมโหแต่กลับดูน่าเกรงขาม
“เหตุใดท่านอาจารย์หนิงจึงกลับมา ในตอนนี้ท่านไม่ควรต้องอยู่ที่โรงเรียนหรอกหรือ” หวังเอ้อร์รู้สึกร้อนรนครั้นสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
การแสดงออกอันเย็นชาของหนิงเซ่าชิง ทำให้บรรยากาศโดยรอบพลันหนาวเย็นเสียจนใจหาย ช่างต่างจากเขาในยามปกติที่ดูอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง “นางเป็นภรรยาข้า คุณธรรมหรือกิริยามารยาทของนาง ข้าจะเป็นผู้ขัดเกลาเอง จะรบกวนท่านหวังเอ้อร์ได้อย่างไร”
ครั้นดวงตาสุกสกาวสบกับความขุ่นมัวของหวังเอ้อร์ จู่ๆ ร่างกายของเขาก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ถูกความเยือกเย็นของคนตรงหน้าบีบอัดจนแทบแหลกสลาย
[1] มังกรก็สู้งูเจ้าที่ไม่ได้ สำนวนจีนหมายถึง ต่อให้เก่งกาจเพียงไหนก็สู้อำนาจเจ้าถิ่นไม่ได้