มั่วเชียนเสวี่ยกำลังยืนตักบะหมี่ด้านหน้าหม้อต้ม ทว่ากลับถูกหนิงเซ่าชิงกอดจากด้านหลัง
ท่านี้ ทำให้นางไม่สะดวกเท่าใดนัก จึงจะแกะมือหนิงเซ่าชิงออก หนิงเซ่าชิงไม่เพียงแต่ไม่ยอมปล่อย ในทางกลับกันเขากอดมือของนางไว้ด้วย ยึดอยู่ด้านหน้า ก้มหน้าลง ถูแผ่นหลังของนางเบาๆ
“ท่านรีบปล่อยมือเร็วเข้า มิเช่นนั้นเส้นหมี่จะเปื่อยเกินไป ไม่อร่อยแล้ว”
หนิงเซ่าชิงเพียงแค่กอดนางเท่านั้น ไม่พูดสิ่งใด ริมฝีปากบางประทับลงบนท้ายทอยของนาง นานครู่หนึ่งกว่าจะปล่อย
แน่นอนว่าบะหมี่ต้มจนเปื่อยเกินไปแล้ว แต่ว่าหนิงเซ่าชิงกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย
คล้ายกับว่า บะหมี่นี้คืออาหารอร่อยที่สุดที่เขาเคยกิน
บะหมี่ถ้วยนั้น หนิงเซ่าชิงกินหมดในคราวเดียว ราวกับลมที่กวาดเมฆไป เขากินอย่างสง่างามมาโดยตลอด แม้จะกินอย่างรวดเร็ว ทว่ายังคงสง่าผ่าเผย หนิงเซ่าชิงวางตะเกียบลง จ้องมองไปที่มั่วเชียนเสวี่ย พูดด้วยความจริงจัง “เชียนเสวี่ย เจ้าเป็นคนแรกที่ทำหมี่ซั่วให้ข้ากินด้วยตนเอง”
น้ำเสียงของเขานิ่งงัน ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยสัมผัสได้ถึงความเศร้าหมอง รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที นางรู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร และรู้ว่าวันนี้เมื่อปีที่แล้วคือวันที่เขาเสียใจที่สุดในชีวิต
หนิงเซ่าชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปแล้วกอดหนิงเซ่าชิงจากด้านหลัง พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปคิดถึงมันอีกเลยนะ เมื่อยี่สิบปีก่อนชีวิตของท่านไม่มีข้า แต่ว่า ชีวิตอีกหลายสิบปีของท่านต่อจากนี้ไป จะมีข้าคอยเดินเคียงข้างแน่นอน ขอเพียงท่านชอบ หลังจากนี้ข้าจะทำหมี่ซั่วให้ท่านกินทุกปี”
หนิงเซ่าชิงคลายหัวคิ้ว จับมือมั่วเชียนเสวี่ยแน่น จับมือของนางวางทาบหน้าอก แล้วยกมุมปากขึ้น
นี่คือภรรยาของเขา! เขามีคนที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดชีวิตแล้ว!
ความทุกข์ยังคงอยู่ในใจ แต่เขารู้ดีไม่ว่าจะเป็นเมื่อใด ยามที่เขาสับสนและไร้เรี่ยวแรง ภรรยาของเขาจะโอบกอดเขาไว้ หลายครั้ง พลังของบุรุษมาจากแรงสนับสนุนของสตรี
สตรีจำเป็นต้องพึ่งพิงบุรุษ แล้วเหตุใดบุรุษจะไม่ต้องการสตรีเล่า
บริเวณโดยรอบเงียบสงบ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความอบอุ่น
มั่วเชียนเสวี่ยมองท้องฟ้าด้านนอกที่มืดสนิท ทั้งสองคลอเคลียกันเช่นนี้ในห้องโถง เหมือนจะโง่เขลาเล็กน้อย จึงยิ้มแล้วพูด “ฟ้ามืดแล้ว เรากลับไปนอนกันเถอะ”
พูดจบนางก็จะถอนมือกลับ ต้องชักมือกลับอยู่หลายครั้งกว่าหนิงเซ่าชิงจะยอมปล่อย
เก็บถ้วยเสร็จ ทั้งสองเข้าไปในห้อง
คืนนี้ถูกลิขิตให้เป็นคืนที่ไม่เงียบสงบ ด้านนอกเสียงลมดังซู่ๆ
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ อ้อมไปอ้อมมา พรากจากกันไปพรากจากกันมา อ้อมจนเวียนหัวแล้วพลัดจากกันจนเบลอแล้ว จนท้ายที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันแล้ว
หนิงเซ่าชิงจับมือมั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าไปในห้อง จู่ๆ นางก็รู้สึกว่า คล้ายถูกจูงเข้าไปในห้องหอ
ลอบมองไป สีหน้าของหนิงเซ่าชิงมีความสุข มุมปากยกขึ้นอย่างสง่า
ตั้งแต่ที่หนิงเซ่าชิงเห็นนางในคืนนี้ ใบหน้าของเขาก็ไม่เคยหยุดยิ้ม หัวคิ้วคลายจากกัน ดวงตาทอประกาย เขาเป็นบุรุษที่มีรูปโฉมหล่อเหลาอยู่แล้ว ภายใต้แสงริบหรี่ ทำให้ยิ่งดูเหมือนเทพบุตร ยิ่งดูเปล่งประกาย แวววับจับใจ
“ดับไฟเถอะ” หนิงเซ่าชิงพูดเบาๆ
อยู่ข้างนอกนานครึ่งค่อนคืนไม่รู้จักรีบกลับ เวลานี้ กลับเร่งให้นอน นางเงยหน้าขึ้นพูดบ่น “รีบร้อนอะไร ดูสิ ผ้าห่มยังปูไม่เสร็จ ท่านเร่งอะไรนักหนา…”
ยังไม่ทันพูดจบ ถูกเขากอดอย่างแรง เรือนร่างของนางถูกกดไว้บนเตียง เข้าสู่จูการบดุเดือดราวกับพายุฝน
“ยังไม่ทันได้ดับไฟเลยนะ…”
ลมพัดปลิว ไฟมอดดับเอง
วันนี้เป็นวันเกิดของเขา อยากจะลิ้มรสหวานก็เป็นเรื่องที่สมควร มั่วเชียนเสวี่ยดีดดิ้นเป็นพิธีไม่กี่ครั้ง แล้วปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ
ความเป็นจริง ตั้งแต่อาอู่บอกว่าวันนี้เป็นวันเกิดของหนิงเซ่าชิง มั่วเชียนเสวี่ยรู้ทันทีว่าคืนนี้จะงดงาม
เวลานี้มั่วเชียนเสวี่ยลืมเสียสนิทว่า ตนเป็นเพียงแค่เด็กเท่านั้น
คิดเพียงว่า ถึงอย่างไรคนโบราณเมื่ออายุสิบห้าก็ได้เวลาออกเรือนแล้ว แม้จะร่วมรักก็ไม่เป็นเช่นไร
อีกเรื่องคือเรือนร่างของนางเติบโตเป็นอย่างดี ความรู้สึกของน้ำที่รินไหล ไม่แน่ว่าอาจจะร่วงเลยอายุสิบห้ามานานแล้ว
ภายใต้จูบที่ดูดดื่ม ความรู้สึกเหมือนกระแสไฟแผ่ซ่านไปทั้งตัว ความคิดเบลอไปครู่หนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกวิงเวียน ขณะที่ยังสะลึมสะลือ นางถูกพันธนาการด้วยมือและเท้าของหนิงเซ่าชิง เสื้อผ้าอาภรณ์กระจัดกระจาย ผิวขาวดุจหยก ทำให้นางงดงามเกินบรรยาย
แววตาของหนิงเซ่าชิงลุ่มลึก ราวกับน้ำในบ่อบาดาล ไม่อาจอ่านความคิดเขาได้ ทว่าเผยความเร่าร้อนออกมาเล็กน้อย ราวกับจะกลืนกินมั่วเชียนเสวี่ยลงไปทั้งตัว
เขาก็ทำเช่นนี้ พรมจูบทั่วเรือนร่างของนาง เคล้าไปด้วยความคลั่งไคล้ที่ร้อนแรง หากไม่พอใจเพียงเล็กน้อย แล้วมือใหญ่เผลอจับหัวไหล่ของนางเบาๆ บีบแรงเล็กน้อย ก็จะทำให้นางแหลกเป็นผุยผง
เมื่อจูบจนเคลิบเคลิ้ม เขาบีบจมูกของมั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ แล้วกัดริมฝีปากของนางราวกับเป็นการระบาย หายใจหืดหอบด้วยความทรมาน มือใหญ่โอบกอดเรือนร่างงดงาม ร่างกำยำฝังลงไปในซอกคอของมั่วเชียนเสวี่ย
ห่อนางไว้ในผ้าห่ม ทว่าตนกลับพลิกตัวออกมานอกผ้าห่มกะทันหัน
กั้นกลางด้วยผ้าห่ม ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยความร้อนแรง ใบหน้าแดงระเรื่อ คล้ายทรมานและคล้ายสุขสม
ทันใดนั้นเอง เขาครางเสียงลากยาว ร่างกำยำหยุดชะงัก มั่วเชียนเสวี่ยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นของผ้าห่ม ดวงหน้าแดงระเรื่อ คล้ายร่างกายมีเพลิงไฟปะทุขึ้นมา แผดเผาผิวของนางจนแดงก่ำ เรือนร่างอ่อนระทวยขดอยู่ในอ้อมกอดของหนิงเซ่าชิง คันยิบๆ ไปทั้งตัว
ความรู้สึกประหลาดนั่น ทำให้นางเริ่มดีดดิ้นในอ้อมกอดของหนิงเซ่าชิง คล้ายแรงปรารถนายังไม่เติมเต็ม ทำให้หนิงเซ่าชิงที่กำลังสุขสม อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงเบา
“หึๆ”
อ่อนโยนชวนฟัง ราวกับเงยหน้าขึ้นปะทะลมในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้นางกระสับกระส่าย
ทว่าเขากลับไม่ได้ทำอะไรนางมากไปกว่านั้น
เขาเป็นบ้าอะไร คิดจะแกล้งนาง? ให้นางเป็นฝ่ายพูดคำว่า เอา…เอานางที… คำพูดที่ไร้ยางอายนั่นหรือ!
หรือว่า…เขามีนิสัยประหลาด!
ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป นางกลัวว่าตนจะกลายเป็นผู้โชคร้ายที่ตั้งครรภ์โดยไม่ได้ร่วมรักอย่างแท้จริง
เพราะว่า หลังจากเขาปลดปล่อย ก็เลิกผ้าห่มขึ้นทันที คว้าตัวนางเข้าไปกอด ให้เรือนร่างทั้งสองแนบชิดติดกัน ไม่เหลือช่องว่าง
เดิมทีคิดว่าเขาจะหยุดเพียงเท่านี้ ทว่าคิดไม่ถึง เขากลับกระทำด้วยความคลั่งไคล้ พรมจูบไปทั่วเรือนร่างของนาง รวมถึงบริเวณที่ยากจะอธิบาย
ด้วยเหตุนี้ นางสะลึมสะลืออยู่ในการโจมตีของกระแสไฟฟ้าโดยไม่รู้เป็นรู้ตาย
เขาไม่พูด นางเองก็ไม่พูด
เขายุ่งจนไม่มีเวลาพูด ส่วนนางกลับโมโหจนไม่รู้จะพูดอะไร
เดิมทีนางคาดหวังว่าหนิงเซ่าชิงจะพูดคำหวานบนเตียง หลังจากนั้น ทั้งสองก็ค่อยๆ เริ่มบรรเลงเพลงรัก ทั้งที่เขาเป็นคนสุภาพอ่อนโยน เหตุใดจึงกระทำการเช่นนี้
อีกทั้ง เมื่อทำด้วยความขยันขันแข็ง ก็ปิดปากเงียบสนิท แม้จะอ้าปาก ก็อ้าปากเพื่อทำในสิ่งที่ทำให้นางทั้งคันยิบและเขินอาย ช่วงเวลาที่งดงามมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ท่ามกลางเสียงลมเสียงฝน กลองบอกเวลาเที่ยงคืนดังขึ้น หนิงเซ่าชิงห่อเรือนร่างของนางเอาไว้ในผ้าห่มส่วนตนปลดปล่อยด้านนอกไปสามรอบแล้ว