เจี่ยนชิงหวารู้ดีว่าคุณชายซูชีมีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง เขาอยู่ในใจของนางมาโดยตลอด ทว่าไม่เคยมีวาสนาได้พบกัน คิดไม่ถึงว่า…ในเรือนซอมซ่อที่นางดูแคลน กลับพบคุณชายซูชีกำลังเดินหมากรุกกับผู้อื่น สวรรค์เข้าข้างข้าเสียจริง
“เรือนตระกูลหนิงช่างยากจนเหลือเกิน แม้แต่โถงที่พอไปวัดไปวาได้ก็ยังไม่มี” จางหมัวมัวกอดอกมองลานหน้าเรือน ภายในใจเกิดความรู้สึกดูถูก แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่า คุณหนูที่อยู่ข้างกายมองจนตาลอยไปแล้ว
อาซ้อจางเห็นว่าที่เรือนของมั่วเชียนเสวี่ยมีแขก จึงเข้ามาช่วยต้อนรับ
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นอาซ้อจางมา รีบบอกให้อาซ้อจางพาหมัวมัวทั้งสองและสาวใช้ทั้งสี่ คอยดูแลที่เรือนหน้า ส่วนตนพาเจี่ยนชิงโยวและคุณหนูตระกูลเจี่ยนทั้งสองคนเข้าไปในเรือนหลัง
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นแววตาและกิริยาท่าทางของคุณหนูทั้งสอง พาพวกนางเข้าไปนั่งในห้องโถงเงียบๆ หลังจากนั้นก็สั่งให้อวิ๋นอิ๋นไปชงชา
รอให้อวิ๋นอิ๋นยกชามา คุณหนูทั้งสองดื่มชา ทว่าอดไม่ได้ที่จะลอบมองออกไปด้านนอก
มั่วเชียนเสวี่ยกระแอมไอเล็กน้อย เพียงบอกให้พวกนางนั่งรออยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง นางมีงานปักจะให้คุณหนูใหญ่ดู และถือโอกาสให้คุณหนูใหญ่ช่วยแนะนำ
คุณหนูห้าและคุณหนูเจ็ดต่างเคลิบเคลิ้มอยู่ในความปลื้มปริ่มของตนเอง จะมีกะจิตกะใจมาสนใจมั่วเชียนเสวี่ยได้อย่างไร ปรารถนาให้นางไปยิ่งไกลก็ยิ่งดี พวกนางจะได้มีโอกาสทำพูดคุยความรู้จักกับบุรุษที่อยู่ในใจ ด้วยเหตุนี้ พวกนางต่างพยักหน้า
ดวงหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยคลายยิ้มเย้ยหยัน แล้วพาเจี่ยนชิงโยวเข้าไปในเรือน
หลังจากอวิ๋นอิ๋นยกน้ำชามาวาง รู้สึกไม่ดีเท่าใดนัก จึงไปยกขนมหวานมาให้คุณหนูทั้งสอง
คุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจินเห็นขนมที่อวิ๋นอิ๋นยกมา ดวงหน้าฉายความดีใจ
จึงคิดหาเหตุผล แล้วนำขนมหวานไปให้คุณชายที่กำลังเดินหมากทั้งสอง
ทว่าคิดไม่ถึงคุณหนูห้าเจี่ยนชิงหวามีความคิดเดียวกับนาง นางยื่นมือออกมาข้างหนึ่งแล้ววางไว้บนจานขนม
ทั้งสองมองตากัน สายตาของทั้งสองต่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งสองจึงลอบออกแรง ดึงขนมหวานเข้าหาตน เพราะเหตุนี้ จานขนมหวานจึงเลื่อนไปเลื่อนมาบนโต๊ะ
อวิ๋นอิ๋นยืนอยู่ข้างๆ ตกตะลึงเล็กน้อย
นี่เป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันเพียงเพื่อ…ขนมหวานจานเดียว? ช่างทำให้คนดูแคลนเสียจริง หรือว่าที่เรือนของพวกคุณหนูไม่มีขนมหวานเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางความดูแคลนของอวิ๋นอิ๋น นางไปยกขนมหวานที่เหมือนกันมาอีกหนึ่งจาน วางไว้บนโต๊ะแล้วถอยออกไป
คุณหนูห้าเจี่ยนชิงหวาเห็นว่ามีขนมหวานยกมาวางอีกหนึ่งจาน จึงปล่อยมือจากขนมหวานจานแรก อยากจะไปยกขนมหวานอีกจาน ทว่าช่างบังเอิญยิ่งนัก คุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจินก็มีความคิดเดียวกับนาง คุณหนูเจ็ดก็ปล่อยขนมหวานจานนั้น แล้วมายกขนมหวานจานนี้เช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ เพื่อขนมหวานหนึ่งจาน ทั้งสองใช้กำลังมากขึ้น
เมื่อใช้กำลังมากขึ้น ทั้งสองต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ ปล่อยมือพร้อมกัน และเตรียมที่จะไปยกขนมหวานจานที่ไม่มีผู้ใดแตะ กลายเป็นว่าปล่อยพร้อมกัน ยกอีกจานพร้อมกัน
สุดท้าย คุณหนูห้าเจี่ยนชิงหวาดึงสติกลับมาก่อน ถอนมือกลับ แล้วเอ่ยถาม “น้องเจ็ด น้องอยากจะได้จานใดกันแน่ พี่ให้เจ้าเลือกก่อนก็แล้วกัน”
คุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจินเกรงใจเล็กน้อย แต่นางดูแคลนคุณหนูห้าเจี่ยนชิงหวาที่เป็นบุตรีอนุภรรยามาโดยตลอด จึงทำเสียงฮึดฮัด หยิบหนึ่งจาน แล้วพูดทิ้งท้าย “รู้ตัวก็ดี” จากนั้นยกจานขนมหวานเดินไปหาคุณชายซูชีที่กำลังเดินหมาก
ถึงอย่างไรในเรือนแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใด นางไม่ต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดเห็น แล้วบอกว่านางไม่สงวนตัว
สำหรับเจี่ยนชิงหวานั้น…ไม่เคยอยู่ในสายตาของนางมาก่อน เจี่ยนชิงหวาเองก็ไม่มีความกล้าพอจะมาตำหนินาง
ขณะที่ด้านนอก กำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น เจี่ยนชิงโยวและมั่วเชียนเสวี่ยกลับอยู่ในเรือนแล้วพูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน
เจี่ยนชิงโยวบอกกับมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความเศร้าหมอง คนที่จวนกำลังจะหารืองานแต่งงานให้กับนาง รอให้ผ่านวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งก็จะกำหนดวันแล้ว
……
ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยและคนในตระกูลกำลังทานอาหารฉลองวันปีใหม่ อาหารค่ำคืนส่งท้ายปีของเรือนตระกูลถงก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ผู้เฒ่าถงสวมเสื้อคลุมสีแดงหม่นปักกระดุมทองคำ ยืนอยู่ในห้องโถงด้วยความดีใจ เห็นได้ชัดว่ากระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ วันนี้เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่เขาได้ทานอาหารค่ำคืนส่งท้ายปีกับบุตรชาย แล้วจะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร
ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน หลังจากถงจื่อจิ้งโดนวางยาพิษ เขาก็ไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับถงจื่อจิ้งอีกเลย
มองพ่อบ้านพาถงจื่อจิ้งเดินเข้าไปในห้องโถงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ถงเหล่ารู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก ท่าทางการเดินและสีหน้าของถงจื่อจิ้ง อธิบายได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่พ่อบ้านถงรายงานก่อนหน้านี้เป็นความจริง
เห็นถงจื่อจิ้งที่เป็นแบบนี้ จิตใจที่กระวนกระวายในตอนแรกของผู้เฒ่าถง รู้สึกสงบขึ้นมาทันที เขาเหยียดตัวลุกขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “จิ้งเอ๋อร์กลับมาแล้ว”
ขณะพูดเขาตบเก้าอี้ที่อยู่ข้างกาย “เร็วเข้า มานั่งข้างพ่อ”
หลังจากถงจื่อจิ้งเข้ามาในห้องก็ไม่ได้มองผู้เฒ่าถง ราวกับว่าผู้เฒ่าถงไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น เขาเลือกนั่งบนเก้าอี้ที่ห่างจากถงเหล่าที่สุด
ถงเหล่าเศร้าหมอง เขารู้ว่าบุตรชายยังคงเกลียดตน อ้ำอึ้งเล็กน้อย ยิ้มแห้งๆ แล้วพูดขึ้น “จิ้งเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าก็ดีขึ้นมากแล้ว น่าจะเข้าใจเหตุและผลบางอย่างแล้ว เรื่องในอดีตที่พ่อทำล้วนเป็นเพราะหวังดีต่อเจ้า เจ้าอย่าได้ตำหนิพ่อเลย”
ถงเหล่าพูดถึงตอนสุดท้ายไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่ถูก พ่อลูกไม่โกรธเคืองกันข้ามคืน อีกอย่าง เรื่องนั้นไม่สมควรและไม่ถูกต้อง แต่เขาทำด้วยความปรารถนาดี เขาหวังดีกับถงจื่อจิ้งจริงๆ และเขาก็ทำเพื่อตระกูลถง
หลังจากถงจื่อจิ้งเดินเข้ามาในห้องแล้วชำเลืองมองถงเหล่า จากนั้นก็ไม่ได้มองถงเหล่าอีกเลย สิ่งที่ถงเหล่าพูด เขาคล้ายไม่ได้ฟังอย่างไรอย่างนั้น
เพียงตั้งใจแกะสลักงานชิ้นเล็กในมือ จากรูปร่างของงานแกะสลักนั้นแล้ว คล้ายแกะสลักคน
ถงเหล่าเหยียดกายลุกขึ้น เดินไปข้างเขา ทำตามความชอบของเขา พูดด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ “จิ้งเอ๋อร์แกะสลักสิ่งใดหรือ บอกพ่อได้หรือไม่” ชีวิตนี้เขาไม่เคยประจบผู้ใดมาก่อน
ถงจื่อจิ้งเงียบ ยังคงเงียบ เขาเอาแต่แกะสลัก ไม่เงยหน้าขึ้น
ถงเหล่ากระตือรือร้นเข้าหาเช่นนี้ทว่าบุตรชายกับทำสีหน้าเยือกเย็น รอยยิ้มบนใบหน้าแห้งเหือดค้างอยู่เช่นนั้น ความรู้สึกผิดและประนีประนอมในใจถูกแทนที่ด้วยความโมโหและไม่พอใจ ทำให้รอยยิ้มเอาอกเอาใจแลดูร้ายกาจ
พ่อบ้านถงเห็นว่าบรรยากาศเริ่มแย่ จึงเดินเข้าไปหาแล้วพูด “นายท่าน คุณชายกลับมาแล้ว อาหารก็เตรียมเอาไว้นานแล้ว ตั้งโต๊ะเวลานี้ดีไหมขอรับ”
“ตั้งโต๊ะเถอะ”
ถงเหล่าขุ่นเคือง สะบัดอาภรณ์ กลับไปนั่งที่ของตน
เขาไม่เคยพูดและขอโทษผู้อื่นด้วยความระมัดระวังเช่นนี้มาก่อน แม้จะเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เทียนฉ๊ ยังต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาท
อาหารยกมาแล้ว ถงเหล่ายังไม่ยอมแพ้ จึงยกตะเกียบขึ้นสุดแขนแล้วคีบน่องไก่ให้กับถงจื่อจิ้ง หลังจากนั้น กระแอมไอ แล้วพูดด้วยสีหน้ารื่นรมย์ “จิ้งเอ๋อร์ เจ้าดูสิ พ่อเตรียมอาหารที่เจ้าชอบกินสมัยเด็กๆ เอาไว้ด้วย” นี่คือสิ่งสูงสุดที่เขาสามารถทำได้
ถงจื่อจิ้งเงยหน้าขึ้น แววตาเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน มือไม่แม้แต่จะแตะถ้วย เพียงกวาดตามองน่องไก่ในถ้วย เอ่ยปากบอกถงจั่นที่ยืนอยู่ด้านหลัง “ยกนี่ไปซะ น่องไก่นี้ข้าตบรางวัลให้เจ้า”