Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1980 ยึดร่าง

ตอนที่ 1980 ยึดร่าง

ตอนที่ 1980 ยึดร่าง
เสียงคำรามหมดความอดทนของเหลยเฟิงเชวียเหมือนเป็นการระบายออกมา สติหลุดอย่างสมบูรณ์
เขาถูกทำให้ตกใจแล้ว
ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักคนแล้วคนเล่าถูกฆ่าตายทีละคนระหว่างทาง ความตายที่นองเลือดนั่นจู่โจม ทำให้เหลยเฟิงเชวียหวาดกลัวถึงขั้นจวนจะพังทลาย
“หากไม่หนี พวกเรามีแต่จะตายไวกว่าเดิม!”
เสียงของข่งเจาเหมือนเค้นลอดไรฟัน สีหน้าเขียวคล้ำบิดเบี้ยว ในใจเขาก็อัดอั้นหาใดเปรียบ และรู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน
สิ่งที่ต่างจากเหลยเฟิงเชวียคือ เขายังคงรักษาความเยือกเย็นได้บ้าง
“ทำไม… ทำไมพวกเราต้องล่วงเกินคนชั่วร้ายเช่นนี้ด้วย…”
เหลยเฟิงเชวียจิตหลุดสติแตก
ฝึกปราณหาใช่เรื่องง่าย การที่ประสบความสำเร็จอย่างในวันนี้บนมรรคาได้ ยิ่งทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายและความบากบั่นไม่รู้เท่าไหร่
ใครอยากตายไปเช่นนี้กันเล่า
ผึง!
เสียงยิงธนูสะเทือนไหวอันคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง
เสียงเดียวเท่านั้น กลับทำให้เหลยเฟิงเชวียที่ขวัญผวาแต่แรกสั่นเทิ้มทั้งตัว ร้องเสียงหลงว่า “ข้ายอมจำนน อย่าฆ่าข้า อย่า…”
เห็นได้ชัดว่าเขาสติแตกโดยสมบูรณ์แล้ว จิตต่อสู้อะไร ศักดิ์ศรีอะไรล้วนไม่สนใจแล้ว แค่อยากมีชีวิตรอด!
แต่คำพูดเขายังไม่ทันเอ่ยจบ
เสียงปังดังคราหนึ่ง ศรดอกหนึ่งเสียบทะลุร่างของเขา เลือดสดพุ่งสูงหลายจั้ง
“ข้าไม่อยาก… ตายจริงๆ นะ…”
ท่ามกลางเสียงไม่ยินยอมและตระหนกตกใจ ทั้งตัวเหลยเฟิงเชวียแตกระเบิด เลือดเนื้อลอยกระเด็น
ตั้งแต่ต้นจนจบข่งเจาไม่ได้หันกลับมามอง เผ่นหนีไปไกลๆ เขามีพลังเหลือพอจะช่วยชีวิตเหลยเฟิงเชวีย แต่เขารู้ดียิ่งกว่าว่าหากทำเช่นนี้ รังแต่จะถ่วงรั้งฝีเท้าในการหลบหนีของตนเท่านั้น
หาใช่เขาเลือดเย็นไร้ปรานี แต่เพราะมองออกแต่แรกว่าสภาวะจิตของเหลยเฟิงเชวียพังไปแล้ว ต่อให้ถูกช่วยไว้ มรรควิถีแห่งตนก็ต้องสูญสลายไปเช่นนี้แน่นอน
สวบ!
เงาร่างของหลินสวินปรากฏในจุดที่เหลยเฟิงเชวียร่วงหล่น โบกแขนเสื้อเก็บสิ่งของของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะไล่ตามข่งเจาไปอีกครั้ง
ในมือ ธนูวิญญาณไร้แก่นสารแผ่กลิ่นอายเกรี้ยวกราดดุกร้าวที่น่าสะพรึงออกมา

“จินตู๋อีก็คือหลินสวิน ในมือเขาถือครองศุภโชคที่มีความลับของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ ใครฆ่าเขาได้ ผู้นั้นก็ได้ครอบครอง!”
ระหว่างหลบหนีตลอดทาง ข่งเจาส่งเสียงคำรามลั่นไม่หยุด พูดย้ำประโยคนี้ คลื่นเสียงแผ่กว้าง
เขาไม่มัวสนใจสิ่งอื่นแล้ว ตอนนี้เหลือเขาเพียงคนเดียว นี่ทำให้เขาก็รู้สึกจวนจะสิ้นหวัง ต้องการให้คนช่วยเหลือโดยด่วน
หลินสวินที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังสีหน้าเรียบเฉย ฐานะเปิดเผยก็เปิดเผยไป ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณแห่งนี้ เขาไม่เกรงกลัวผู้ใดนานแล้ว!
“คนล่ะ ตายกันหมดแล้วหรือ!?”
“ไอ้พวกไร้ประโยชน์ พอรู้ฐานะแท้จริงของจินตู๋อีนี่ก็พากันตกใจขวัญหนีกันหมดแล้วหรือ”
หนีตายตลอดทาง ส่งเสียงตลอดทาง แต่เนิ่นนานก็ไม่เห็นมีคนยื่นมือเข้ามา นี่ทำให้ข่งเจาจวนจะเสียสติ รู้สึกอับจนหนทางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หากอยู่โลกภายนอก แค่ยกฐานะผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของเขาขึ้นมา ใครจะกล้าล่วงเกิน
แต่ตอนนี้ ลับถูกไล่ฆ่าจนแทบบ้า ภาพเหตุการณ์นี้หากถูกคนเห็นเข้า เกรงว่าล้วนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
ผึง!
เสียงสายธนูสั่นสะเทือนดังขึ้นอีกรอบ
ข่งเจาที่รู้สึกถึงภัยคุกคามถึงชีวิตเรียกกระบี่จักรพรรดิน้ำค้างใสออกมาโดยไม่ลังเล ขวางลูกศรที่ยิงสังหารเข้ามาปุบปับนั่นไว้ได้อย่างหวุดหวิด
ปึง!
กระบี่และศรปะทะกัน ประกายแสงวิเศษสาดกระเซ็น
พลังโจมตีน่าสะพรึงที่ประหนึ่งไร้ศัตรูทัดเทียม ซัดโจมตีกระบี่จักรพรรดิน้ำค้างใสให้หลุดกระเด็นอย่างแรง เงาร่างข่งเจาซวนเซ มองกระบี่จักรพรรดิน้ำค้างใสปราดหนึ่งอย่างปวดใจ สุดท้ายก็ยอมตัดใจอย่างเด็ดขาดแล้วตรงดิ่งเผ่นหนีไป
เงาร่างหลินสวินปรากฏขึ้น เรียกเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดออกมา เสียงตูมดังคราหนึ่ง กำราบและเก็บกระบี่จักรพรรดิน้ำค้างใสนั่นเข้าไปในเจดีย์สมบัติ
พร้อมกันนั้นเขาง้างธนูวิญญาณไร้แก่นสารขึ้น ยิงศรหนึ่งออกไปอีกครา
ไกลออกไป เงาร่างข่งเจาถูกยิงใส่ ประกายศักดิ์สิทธิ์คลุ้งฟ้าระเบิดกระจาย แต่ที่แท้กลับเป็นเกราะสีขาวเงินชั้นหนึ่งที่ป้องกันบนตัวเขา ขวางการโจมตีครั้งนี้เอาไว้
ทว่าพลังโจมตีน่าสะพรึงนั่นกลับซัดจนข่งเจาเหมือนว่าวสายป่านขาด กระเด็นลอยออกไปอย่างแรง ปากจมูกกบเลือด
เขารู้สึกยากจะเชื่อ
ด้วยพลังของเขา ถึงกับยังหลบการยิงของลูกศรนั่นไม่ได้ นี่มีเพียงคำอธิบายเดียว ศรธนูในมือหลินสวินนั่นก็เป็นสมบัติจักรพรรดิเหมือนกัน!
“หลินสวิน โลกภายนอกมีสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งกลุ่มเฝ้ารออยู่ ถ้าเจ้าฆ่าข้าแล้ว ต่อให้รอดชีวิตออกไปได้ แต่ตอนที่เดินพ้นเขตต้องห้ามเซียนโบราณก็ต้องถึงฆาตแน่!”
ขณะข่งเจาคำราม เงาร่างถึงกับกลายเป็นนกยูงหลากสีสันตัวหนึ่ง สยายปีกกรีดทึ้งห้วงอากาศ เริ่มเคลื่อนตัวหนี ความเร็วไวกว่าตอนแรกช่วงหนึ่ง
ผึง!
สิ่งที่ตอบเขาคือหนึ่งศรของหลินสวิน ราวสายรุ้งยาวพาดตะวัน ยิงออกไปด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ
ก็เห็นรอบตัวข่งเจาโคจรประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี ตวัดกวาดโดยแรงคราหนึ่ง ถึงกับสะเทือนศรนี้จนชะงักงันขึ้นมา
อาศัยช่องโหว่ตรงนี้ ข่งเจาหลบหลีกเคราะห์ภัยได้อย่างเฉียดฉิว เริ่มหนีอุตลุดอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
“หลินสวิน ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าสักครั้ง ข้าข่งเจาสาบาน ชีวิตนี้จะไม่เป็นศัตรูกับเจ้าอีก ว่าอย่างไร”
เขาตะโกนเสียงดัง
หลินสวินยังคงไม่สนใจเขา ปลายนิ้วง้างสายธนูสีแดงฉานดุจโลหิตนั้นอย่างต่อเนื่อง
ผึง! ผึง! ผึง! ผึง!
ยิงศรนภาคราม ศรนิรันดร์ ศรแสงโชค ศรเสี้ยวปีกออกไปในหนึ่งลมหายใจ
ข่งเจาหน้าเปลี่ยนสีสิ้นเชิง ปีกขนนกห้าสีที่ปกคลุมทั่วร่างราวลุกโหม ระเบิดแสงหลากสีสันเรืองรองออกมา สกัดขวางสุดกำลัง
ปึง!
ศรนภาครามพุ่งมาถึง ซัดจนประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีพลิกม้วนรุนแรง
ศรอีกสามดอกก็พุ่งโจมตีเข้ามาติดๆ ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่พร่างพราวหาใดเปรียบนั่นพลันยันไม่ไหว ระเบิดแหลกโดยพลัน
“อ๊าก…!”
เสียงร้องโหยหวนทรมานของข่งเจาดังขึ้น ร่างเขาถูกศรเทพสองสายเสียบทะลุ ร่วงตุบจากห้วงอากาศตรงๆ ไม่มีโอกาสหนีพ้นอีก
สวบ!
เงาร่างของหลินสวินเคลื่อนเข้ามา นัยน์ตาดำลึกล้ำเรียบเฉย ปรายตามองข่งเจาที่ร่วงตกพื้นชุ่มเลือด สะบักสะบอมสุดขีด ปากก็เอ่ยเบาๆ ออกมาสามคำ
“สะใจไหม”
ประโยคเดียว ทำเอาข่งเจาทั้งอายทั้งโกรธจนอยากตาย
ก่อนหน้านี้หลังฆ่าลู่ตู๋ปู้กับซูมู่หาน เขาเคยใช้วาจาล้อเลียนปนได้ใจเอ่ยถามหลินสวินว่ารู้สึกสะใจมากใช่หรือไม่
และตอนนี้ หลินสวินก็ใช้วิธีเดียวกัน เหยียบย่ำและลบหลู่เขาอย่างรุนแรง!
“วางใจเถิด ข้าไม่ให้เจ้าตายเช่นนี้หรอก”
ขณะหลินสวินเอ่ยพูดก็โบกแขนเสื้อหนึ่งครา จองจำรอบตัวข่งเจาเอาไว้โดยสมบูรณ์
“เจ้าคิดจะทำอะไร” ข่งเจาตาแทบถลน ขอบตาหลั่งเลือด
หลินสวินกล่าวเสียงเรียบ “ข้าได้ยินว่าทายาทเลือดบริสุทธิ์เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งเกิดมาพร้อมกับ ‘ปีกขนนกห้าสี’ สามารถปลดปล่อยแสงเทพห้าสีที่อัศจรรย์สุดหยั่งออกมาได้ ดังนั้น ข้าตั้งใจจะถอนขนของเจ้าก่อน”
“เจ้า…”
หน้าผากข่งเจาเส้นเลือดปูดโปน กระอักเลือดไม่หยุด เจ้าหมอนี่เห็นตนเป็นอะไรไปแล้ว เจตวัตถุหายากอย่างหนึ่งหรือ
“อีกอย่าง ข้ายังไม่เคยลิ้มรสเนื้อนกยูงระดับมกุฎราชันอริยะมาก่อนเลย ก็ไม่รู้ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรกันแน่…”
ตอนที่ได้ยินประโยคนี้ของหลินสวิน ข่งเจาราวถูกสายฟ้าฟาด หน้าตาอึ้งค้างไปหมด เจ้าหมอนี่ถึงกับยังเห็นตนเป็นอาหารด้วยหรือ
เขาคำรามเดือดดาล “หลินสวิน เจ้าต้องไม่ตายดีแน่! คอยดูเถอะ ไม่ว่าเจ้าจะเดินออกจากเขตต้องห้ามเซียนโบราณได้หรือไม่ เจ้าก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
“เช่นนั้นหรือ ข้ารู้แต่ว่าเจ้าต้องตายก่อนข้าแน่นอน ตอนนี้ข้าจะส่งเจ้าไปรวมตัวกับบรรพชนตระกูลเจ้า ทางที่ดีลองถามเขาด้วย ว่าเนื้อนกยูงควรปรุงอย่างไรถึงจะได้รสเด็ดที่สุด”
หลินสวินเรียกเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดออกมา และสยบข่งเจาไว้ภายในนั้น
จนกระทั่งถูกสยบ ข่งเจาก็ยังไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหลินสวิน อะไรที่เรียกว่ารวมตัวกับบรรพชน
“ข้ายังนึกว่าระหว่างที่กำลังจะตายในที่สุดก็มีทายาทรุ่นหลังมาช่วยแล้ว ใครจะคิด ดันเป็นพวกไม่ได้เรื่องคนหนึ่ง…”
เสียงแก่ชราที่อ่อนแอสายหนึ่งดังขึ้นในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด เผยแววคับแค้นและผิดหวังไม่รู้จบ
ข่งเจาเงยมอง ก็เห็นว่าจุดที่ห่างจากตนไปไม่ไกลนัก มีประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่เรืองรองหาใดเปรียบกลุ่มหนึ่งถูกกำราบเอาไว้อย่างแน่นหนา
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ กลิ่นอายที่ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีนั่นแผ่อกมายังคงน่าสะพรึงถึงขีดสุด เคลือบแฝงพลังกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิอันบริสุทธิ์สูงสุด!
“เจ้าเป็นใครกัน”
ข่งเจาตกใจระคนสงสัย
“เป็นพวกไร้ประโยชน์จริงดังคาด แม้แต่บรรพชนตระกูลตัวเองก็จำไม่ได้แล้ว…”
เสียงอ่อนแรงสายนั้นยิ่งผิดหวังมากกว่าเดิม มีความรู้สึกระทดหดหู่
“ทะ… ท่านคือท่านบรรพชนหรือ”
ข่งเจาตะลึงงัน บรรพชนตระกูลข่งคือจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนผู้มีชื่อเสียงเลื่องระบือในยุคดึกดำบรรพ์ เป็นผู้นำแห่งเจ็ดจักรพรรดิอสูรมาร บารมีสะเทือนทั่ว ใต้หล้าใครบ้างไม่รู้จัก
เพียงแต่ข่งเจากลับคิดไม่ถึงเป็นอันขาด ว่าตอนที่ตนถูกกำราบจะมาพบกับบรรพชนได้อย่างไร
นี่น่าเหลือเชื่อเกินไป!
ที่ตามมาติดๆ คือความปิติยินดีอย่างบอกไม่ถูกทะลักเข้าสู่กลางใจข่งเจา ร้องว่า “ท่านบรรพชนช่วยข้าด้วย ท่านบรรพชนช่วยข้าด้วย!”
“ที่แท้ไม่ใช่แค่ไร้ประโยชน์ ยังเป็นคนโง่บรมอีกด้วย…”
เสียงของจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนล้วนเจือแววท้อแท้ ละเหี่ยใจยิ่งกว่าเสียอีก
ข่งเจาผงะ ครู่ใหญ่กว่าจะได้สติฉุกคิดขึ้นมาได้ หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่กล่าวว่า “ท่านบรรพชน ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร คงไม่ใช่ว่า…”
กล่าวถึงตรงนี้ข่งเจาก็เกือบขวัญกระเด็น พอจะตัดสินได้คร่าวๆ แล้ว บรรพชนคนนี้ของตนก็เหมือนกับตน ถูกปฏิบัติเช่นเดียวกัน!
นี่เป็นไปได้อย่างไร
บนโลกนี้ยังมีสมบัติที่สามารถกำราบบรรพชนได้อีกหรือ
หลินสวินนั่นเป็นใครกันแน่ เหตุใดสมบัติในมือเขาแต่ละชิ้นถึงได้น่าสะพรึงขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้
“เวลาข้ามีไม่มากนัก เมื่อถึงคราวตายกลับพบเจอกับคนรุ่นเยาว์เช่นเจ้า หรือนี่จะเป็นประสงค์ของสวรรค์”
เสียงของจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนดังขึ้น “ช่างเถิด เช่นนั้นก็เดิมพันสักตั้ง หากสำเร็จข้าจะได้ยืมร่างไปเกิดใหม่ หากล้มเหลว… ก็แค่ตาย!”
ในใจข่งเจาสั่นไหว กล่าวด้วยความตกใจว่า “ท่านบรรพชน ท่านจะทำอะไร”
แต่สิ่งที่ตอบเขา กลับเป็นประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่แสบตาไร้ขอบเขต ท่วมตัวเขาทั้งตัวจมมิดอยู่ในนั้น
“ไม่…! อย่า…!”
ข่งเจาคำราม ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าบรรพชนคนนี้ของตนถึงกับยึดร่างคนรุ่นเยาว์อย่างตน!
เพียงชั่วพริบตาสั้นๆ จิตรับรู้และจิตดั้งเดิมของเขาก็ถูกบดขยี้โดยสมบูรณ์ ร่างถูกจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนยึดครอง เท่ากับตายคาที่อย่างสิ้นเชิงแล้ว
การตายเช่นนี้อำมหิตที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ต่างจากกัดกินเลือดเนื้อสักเท่าใดนัก!
“เด็กน้อยเอ๋ย การได้ทำเรื่องเล็กน้อยให้บรรพชน ตายไปก็น่าภาคภูมิไม่ใช่หรือ ฮ่าๆๆ… สำเร็จแล้ว ในที่สุดก่อนตายข้าก็ช่วงชิงทางรอดเสี้ยวหนึ่งได้แล้ว!”
“เก่ออวี้ผู รอยามข้าพลังฟื้นคืน จะต้องฆ่าพวกเศษเดนของคีรีดวงกมลทั้งหมดให้สิ้นซาก!”
ข่งเจาระเบิดหัวเราะ เพียงแต่ข่งเจาในเวลานี้กลายเป็นอีกคนไปแล้ว ทั่วร่างเผยความเผด็จการที่สามารถสะเทือนหมื่นยุคได้
ปึง!
แสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งปรากฏ กดทับบนตัวข่งเจาอย่างหนักหน่วง โจมตีจนเขาส่งเสียงร้องโหยหวนชวนสังเวชออกมา ล้มฟุบลงตรงนั้น เริ่มกระตุกเกร็งเหมือนเป็นลมชัก
พร้อมกันนั้นเสียงของหลินสวินก็ดังขึ้นภายในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด
“เจ้าเฒ่า เมื่อครู่ตอนยึดร่างก็สูบพลังอันน้อยนิดที่เจ้าเหลืออยู่ไปหมดแล้ว ตอนนี้แม้แต่เรี่ยวแรงจะโต้กลับก่อนตายเจ้ายังไม่มีเลย เหตุใดยังดีใจเช่นนี้อยู่อีก”
………………………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท