ตอนที่ 4 น้ำมันไช่จื่อหนึ่งไห
พริบตาเดียวก็เข้าสู่วันที่สามที่ต้องกลับบ้านเกิด เช้าตรู่วันนี้ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนมีปากเสียงกับสองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ย เพราะต้องการขนน้ำมันไช่จื่อ(1)หนัก 10 ชั่งกลับบ้านเกิดของหลินม่าย
สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยเข้าใจดีว่าลูกชายคนโตตั้งใจขนน้ำมันไช่จื่อไปให้หลินเพ่ย ด้วยเหตุนี้จึงค้านหัวชนฝาไม่ยอมยกให้
แต่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับลากสองสามีภรรยาไปคุยบางอย่างกันในห้อง เมื่อออกมาอีกครั้ง พวกเขาก็ยกน้ำมันหนัก 5 ชั่งให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไป
ต่อให้หลินม่ายใช้นิ้วเท้าคิดก็ยังเดาเนื้อหาที่ทั้งสามคนคุยกันได้
นี่คงไม่ใช่คำสัญญาที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนมีต่อพ่อแม่ของเขา ว่าเมื่อหลินเพ่ยเรียนจบ มีงานทำ จะได้แต่งงานกับเขาหรอกใช่ไหม
แต่พ่อแม่ของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนนั้นโง่เขลา จึงถูกเขาหลอก
ตอนนี้หลินเพ่ยไม่ยอมแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ถ้ามีงานทำในอนาคตจะแต่งงานกับเขาอย่างนั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่หลินม่ายต้องสนใจ ประเด็นสำคัญที่เธอต้องสนใจคือ วันนี้เธอจะยืมมืออู๋เสี่ยวเจี๋ยนไปขอทะเบียนบ้านจากสกุลหลินได้หรือไม่ แล้วค่อยคิดหาวิธีแบ่งที่ดินกัน ตัวเองจะได้เป็นอิสระเสียที
รอให้เป้าหมายนี้ลุล่วงก็ค่อยออกจากบ้านสกุลอู๋ แล้วโบยบินดั่งนกบนท้องนภาแหวกว่ายดั่งปลาในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ตัดขาดจากคนเลวทรามเหล่านี้ แล้วไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมีความสุข
ไม่อย่างนั้นในสองวันนี้เธอจะทนอยู่ในบ้านสกุลอู๋อย่างไม่เป็นธรรมไปทำไม?
เพราะเธอรู้ดีว่าการที่ตัวเองออกจากบ้านสกุลอู๋ แล้วกลับไปเอาทะเบียนบ้านจากสกุลหลิน ไม่เพียงแต่ไม่มีใครให้เธอแล้ว ยังทำร้ายเธออีกด้วย
สกุลหลินและสกุลอู๋ล้วนเหมือนกัน คือไร้มโนธรรมสำนึก
ส่วนเธอยังไม่สามารถหยิบยกเรื่องที่หลินเพ่ยเข้าเรียนแทนเธอมาข่มขู่พ่อหลินและคนอื่นได้ พวกเขายอมให้หลินเพ่ยไม่ได้เข้าเรียนดีกว่าให้เธอมาข่มขู่เสียอีก
การใช้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไปเอาทะเบียนบ้านย่อมสำเร็จตามเป้าหมายง่ายยิ่งกว่า
หลังออกจากหมู่บ้าน หลินม่ายก็ได้แบไพ่ที่มีอยู่ในมือกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน “ฉันรู้ว่าคนที่นายชอบไม่ใช่ฉัน แต่เป็นหลินเพ่ย ฉันไม่อยากถือไพ่เหนือกว่า เมื่อถึงบ้านเกิดของฉัน ให้นายบอกกับพ่อแม่ฉันว่า อยากได้ทะเบียนบ้านไปประกอบการจดทะเบียน….”
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ก็ถูกอู๋เสี่ยวเจี๋ยนตัดบทด้วยรอยยิ้มลำพองใจ “ไหนบอกว่าไม่สนใจความรักของฉันไง นี่คงไม่ได้จะเปิดโฉมหน้าที่แท้จริงหรอกนะ!”
หลินม่ายหลุดหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “นายไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูคุณธรรมของตัวเองบ้างเลยนะ ใครจะอยากแต่งงานกับนายจริง ๆ !นี่เป็นแค่ข้ออ้างในการขอทะเบียนบ้านเท่านั้น รอให้ได้ทะเบียนบ้านมาก่อน นายก็แก้ไขอายุฉันให้ดูโตกว่าหนึ่งปี แล้วค่อยแยกฉันออกจาบ้านสกุลหลิน!”
ตามกฎหมายแล้วมีเพียงคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไปถึงจะสามารถสร้างสำมะโนครัวคนเดียวได้ แต่เธอเพิ่งจะอายุ 17 ปี
ดังนั้นถ้าอยากขึ้นสำมะโนครัวเพียงคนเดียว ต้องยืมมือของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน คนที่เขารู้จัก มีวิธีแก้ไขอายุได้
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนมองเธออย่างระแวดระวัง “เธออยากหลุดพ้นจากสกุลหลินและสกุลอู๋ แล้วออกไปทำมาหากินเพียงลำพังเหรอ?”
หลินม่ายพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แล้วยังไงล่ะ?”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนตอบปฏิเสธกลับไป “ฉันไม่รับปาก!”
เพ่ยเพ่ยสุดที่รักของเขาเคยพูดกับเขาไว้ ว่าต้องการให้หญิงสารเลวคนนี้ทำงานเป็นวัวเป็นควายเพื่อพวกเขาไปตลอดชีวิต ทำไมเขาต้องปล่อยเธอโบยบินออกไปไกลเล่า!
หลินม่ายยิ้มเยาะเย็นชา “ไม่รับปากเหรอ งั้นฉันจะไปฟ้องแก้วตาดวงใจของนายเดี๋ยวนี้!”
“เธอ!” อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถลึงตาใส่เธออย่างโหดเหี้ยม กระทั้งอยากจะบีบคอฆ่าเธอให้ตายเสียตรงนั้น
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็สงบจิตใจของตัวเองได้ จึงพยายามต่อรอง “ฉันช่วยเธอแยกออกจากสกุลหลินได้ แต่มีเงื่อนไข เธอจะไม่เปิดเผยความจริงที่ว่าพี่สาวของเธอปลอมตัวมาแทนที่เธอไม่ได้ไปตลอดชีวิต”
หลินม่ายตอบรับอย่างตรงไปตรงมา
กับคนเลวทรามเธอไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูด จะตอบรับหรือไม่ก็ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อสิ่งที่เธอจะทำในภายภาคหน้า
ทั้งสองคนเดินลัดเลาะผ่านภูเขาใหญ่หลายลูกโดยไม่พูดสิ่งใด กระทั่งมาถึงหมู่บ้านหวังเจียด้วยอาการเหนื่อยหอบในช่วงบ่าย
หมู่บ้านหวังเจียแห่งนี้มีสกุลหวังอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากตามชื่อหมู่บ้าน สกุลหลินเป็นตระกูลที่เข้ามาปะปนอยู่ในหมู่บ้าน
เพราะหมู่บ้านหวังเจียตั้งรกรากอยู่บนภูเขาใหญ่ ทำนาน้อย ประกอบกับเดินทางไม่สะดวก จึงค่อนข้างยากจนกว่าหมู่บ้านอู๋เจีย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสกุลหลินที่ยากจนยิ่งกว่า
ประเด็นคือสองสามีภรรยาหลินเจี้ยนกั๋วไม่ใช่ชาวบ้านในท้องที่ พวกเขาเป็นครอบครัวที่ย้ายจากในเมืองเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อ 17 ปีก่อน
สองสามีภรรยาไม่ทำไร่ทำนา ถ้าที่บ้านไม่ยากจนคงจะแปลกน่าดู
เมื่ออู๋เสี่ยวเจี๋ยนนึกขึ้นได้ก็รีบมองหาหลินเพ่ยสุดที่รักทันที เดิมทีหมดแรงจากการเดินขึ้นภูเขาอยู่แล้ว เวลานี้กลับฮึกเหิมดูมีชีวิตชีวาเหมือนกับแสงสายัณห์ยามตะวันรอน
ยังไม่ทันเข้าบ้านก็ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อยว่า “คุณพ่อ คุณแม่!”
หลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงรีบออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นไหน้ำมันไช่จื่อที่เขาถือยู่ในมือ ก็ฉีกยิ้มกว้างจนเกือบจะถึงใบหู
“เพ่ยเพ่ยกำลังอยากกินข้าวคลุกน้ำมันและเกลือ แกก็หิ้วน้ำมันมาพอดี พรุ่งนี้หล่อนต้องไปโรงเรียน ฉันว่าจะผัดข้าวใส่น้ำมันและเกลือชามใหญ่ให้หล่อนเป็นอาหารเช้า”
ทุกคนในสกุลหลินต่างรู้ว่าคนที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนชื่นชอบคือหลินเพ่ย ถ้าอยากได้ประโยชน์จากสกุลอู๋ แค่ใช้ชื่อของหลินเพ่ยมาแอบอ้างก็พอ
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณแม่ผัดข้าวคลุกน้ำมันและเกลือให้เพ่ยเพ่ยได้เลย ถ้าน้ำมันหมดก็ให้บอกผม ผมจะเอาจากที่บ้านมาให้”
หลินเพ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “เสี่ยวเจี๋ยน มีน้ำมันทั้งทีก็เก็บไว้ผัดข้าวคลุกน้ำมันและเกลือให้ม่ายจื่อบ้างเถอะค่ะ ม่ายจื่อร่างกายอ่อนแอ ต้องกินของดี”
ข้าวคลุกน้ำมันและเกลือที่เรียกกันคือข้าวผัดที่ผัดกับน้ำมันและเกลือ
ยุคนี้ไข่ไก่มีราคาค่อนข้างสูง ต้องแลกเปลี่ยนด้วยค่าเงิน จึงไม่ค่อยนำไข่ไปผัดกับข้าว แม้แต่ข้าวคลุกน้ำมันและเกลือก็ยังมีคนในหมู่บ้านอีกไม่น้อยที่ไม่สามารถกินได้ทุกมื้อ เพราะน้ำมันก็แพงเช่นกัน
หลินม่ายจึงโต้กลับไปอย่างไม่พอใจ “พี่เจอใครก็มักบอกว่าฉันร่างกายอ่อนแอต้องกินของดี แต่ของดีในบ้านล้วนเข้าปากพี่หมดแล้วไม่ใช่รึไง ช่วยพูดให้น่าฟังกว่าร้องเพลงหน่อยนะ !”
หลินเพ่ยนังดอกบัวขาวคนนี้มักชอบใช้ลูกเล่นนี้ที่สุด หล่อนจะพูดแบบนี้ต่อหน้าคนนอกเสมอ ทำให้พวกชาวบ้านต่างคิดว่าหลินม่ายมีร่างกายอ่อนแอเลยได้กินของดีจากที่บ้าน
หลินเจี้ยนกั๋วตวาดใส่หลินม่ายด้วยความโกรธเคือง “เด็กคนนี้ทำไมถึงได้มีนิสัยแบบนี้ พี่สาวของแกเป็นห่วงแกมันผิดมากนะเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฉันเข้าใจแล้ว ความเป็นห่วงมันก็แค่คำพูด ไว้พ่อกับแม่แก่ตัวลง ฉันก็คงพูดว่าเป็นห่วงเหมือนกัน”
ซุนกุ้ยเซียงตีสีหน้าขึงขัง “พูดเหมือนกับว่าตอนแก่เราต้องพึ่งแกเลี้ยงดูอย่างนั้นแหละ!”
หลินม่ายยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “ถือว่าไม่นับสิ่งที่พวกท่านพูดแล้วกันค่ะ!”
เมื่อนึกถึงภาพตัวเองเหมือนคนโง่ในอดีตชาติที่ต้องดูแลสองสามีภรรยาซุนกุ้ยเซียงยามแก่เฒ่า ช่วยเลี้ยงดูหลานทั้งสองคนของพวกเขา เธอก็รู้สึกเสียใจจนอยากจะตบบ้องหูของทั้งสองข้างของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด!
เมื่อเห็นว่าจะมีปากเสียงกัน หลินเพ่ยจึงรีบพูดกับสองสามีภรรยาหลินเจี้ยนกั๋วทันทีว่า “พ่อ แม่ พวกท่านหยุดพูดได้แล้ว วันนี้ควรเป็นวันเฉลิมฉลองที่ม่ายจื่อกลับบ้าน อย่าทำเหมือนกับว่าวันแต่งงานของน้องสาวเป็นวันที่หล่อนไม่มีความสุขสิคะ”
คำพูดของหล่อนทำให้ซุนกุ้ยเซียงนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ลูกสาวคนโตต้องกระเสือกกระสนออกจากบ้านสกุลหลินมาฟ้องเธอ
นางคว้าไม้กวาดแล้วหวดใส่หลินม่าย “นังเด็กสารเลว วันที่แกแต่งงาน พี่สาวของแกตั้งใจไปปลอบใจแก แต่กลับพูดจาทำร้ายจิตใจหล่อน แม่จะสั่งสอนแกเดี๋ยวนี้เลยคอยดู!”
หลินม่ายหลบเลี่ยงไปด้านข้างอย่างว่องไว “พี่บอกอะไรแม่ก็เชื่อเหรอคะ? วันนั้นหล่อนไม่ได้ปลอบใจฉัน !แต่มาเอาเงินจากฉันต่างหาก ฉันมีเงินติดตัวเพียงสี่เหมา ซึ่งนั้นคือเงินทั้งหมดของฉัน หล่อนไม่พอใจมาก เลยด่าทอแล้วเดินออกไป”
หลินเพ่ยตะโกนด้วยความไม่เป็นธรรม “น้องใส่ร้ายฉัน แม่อย่าไปเชื่อหล่อนนะคะ!”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกำลังจะพูดช่วยหล่อน แต่กลับเห็นหลินม่ายหันมามองเขาด้วยสายตาแอบแฝงเป็นนัย จึงอดตื่นตกใจไม่ได้
จากนั้นก็รีบเข้าไปลากตัวของซุนกุ้ยเซียง แล้วพูดแก้ต่างว่า “คุณแม่ เห็นแก่หน้าผมเถิด อย่าทำเหมือนเข้าใจม่ายจื่อดีกว่าเลยครับ?”
เมื่อนซุนกุ้ยเซียงเห็นว่ามีพวกชาวบ้านมาชะเง้อแลมองอยู่หน้าประตู จึงต้องจำใจทิ้งไม้กวาดอย่างไม่สบอารมณ์
เดิมทีพวกชาวบ้านต่างก็ซุบซิบนินทาลับหลังว่าสองสามีภรรยาปฏิบัติกับหลินม่ายอย่างโหดร้ายอยู่แล้ว ถ้ายังเห็นพวกเขาเฆี่ยนตีม่ายจื่อตั้งแต่กลับมาอีก ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเอาไปพูดอะไรกันบ้าง!
………………………………………………………………………………………………………………………..
น้ำมันคาโนลา หรือน้ำมันเรพซีด สกัดได้จากเมล็ดของต้นเรพหรือผักกาดดอกเหลืองที่จะบานเป็นทุ่งกว้างสีเหลืองสดในฤดูใบไม้ผลิ
สารจากผู้แปล
บ้านสามีว่าเลวแล้ว บ้านแม่ตัวเองก็เลวอีก เททิ้งให้หมดเลยค่ะม่ายจื่อ เมื่อไหร่ที่ม่ายจื่อได้ดีแล้วอย่าคลานเข่ามาอ้อนวอนขอความกตัญญูให้เลี้ยงดูทีหลังนะ ชิ
ไหหม่า(海馬)