ตอนที่ 20 เกิดความสงสารในใจ
คุณป้าคนนั้นแกล้งโมโหกลบเกลื่อนทั้งที่ในใจขี้ขลาดตาขาว บอกว่าเรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้ต้องลากหล่อนมาถึงสถานีตำรวจ กระทบการทำงานของตำรวจคนอื่น
แม้จะตะโกนเสียงดัง แต่ก็ไม่กล้าหลบหนี
ทุกครั้งที่ฟางจั๋วหรานเหลือบมองหล่อน หล่อนก็อดตื่นตระหนกตกใจไม่ได้ ทำได้แค่ตะโกนเสียงดังเพื่อเรียกความกล้าหาญ
ตอนนี้ชายผู้มีกลิ่นอายจิตสังหารแผ่ขยายทั่วร่างกาย และมีสายตาดุดันคนนี้นั่งอยู่ข้างกายหล่อน หล่อนอยากจะเอ่ยแต่ก็ต้องหยุดชะงัก ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมออกมา
ตำรวจที่รับเรื่องให้พวกเขาคนนั้นตกอยู่ในอาการกระวนกระวายใจ ดูเหมือนเมื่อครู่นี้ผู้ชายคนนี้จะโทรศัพท์หาหัวหน้าของพวกเขา
ขณะที่เขาเหมือนกำลังลังเลว่าจะรับเรื่องที่ปฏิเสธฟางจั๋วหรานไปแล้วกลับมาอย่างไรนั้น สารวัตรก็เดินออกมาจากห้องทำงานของตัวเองด้วยความรีบร้อน
ทันทีที่มาถึงห้องส่วนกลางก็เอ่ยถามว่า “ใครคือหมอฟางจั๋วหราน?”
ฟางจั๋วหรานลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม “ผมเองครับ”
“สวัสดีครับ!” สารวัตรรุดเข้ามาจับมือกับเขาอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็มองไปทางคุณป้าที่อยู่ข้างกายเขา แล้วเอ่ยถามว่า “ใครซื้อของแล้วชักดาบ แถมยังอยากถล่มร้านค้าคนอื่นอีก?”
ฟางจั๋วหรานชี้ไปทางคุณป้าคนนั้น “หล่อนครับ”
คุณป้าคนนั้นสั่นสะท้านเพราะการชี้ของเขา
สารวัตรรีบเปลี่ยนสีหน้าให้ดูเคร่งขรึมในทันที “รบกวนช่วยบอกชื่อสกุลที่อยู่อาศัยและองค์กรชุมชนของคุณด้วยครับ”
จากนั้นก็หันไปสั่งการตำรวจที่รับเรื่องของฟางจั๋วหรานเมื่อครู่คนนั้น “ให้องค์กรชุมชนของหล่อนมาไถ่ตัวออกไป ถ้าทางองค์กรชุมชนไม่มาไถ่ตัวออกไปก็ห้ามปล่อยหล่อนไปเด็ดขาด”
คุณป้าคนนั้นตะโกนขึ้น “มีสิทธิ์อะไรมาขังฉัน? ฉันไม่ได้ทำผิดเสียหน่อย!”
สารวัตรถามกลับ “ผมขังคุณแล้วรึยังครับ แค่ติดต่อองค์กรชุมชนของพวกคุณเอง ผมจะรีบแจ้งองค์กรชุมชนของพวกคุณให้มาไถ่ตัวคุณออกไปทันที แบบนี้ไม่เรียกว่าขัง นี่คือหน้าที่ตำรวจของประชาชน คุณมีพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่น ข่มขู่ว่าจะยกพวกมาถล่มร้านค้าของคนอื่น ผมให้องค์กรชุมชนของคุณมาพาตัวคุณกลับไป อบรมความรู้ในเรื่องของกฎหมายให้คุณ อาจจะช่วยขัดขวางไม่ให้คุณเป็นอันตรายจากสังคมได้ ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ มันผิดนักเหรอครับ? ถ้าคุณคิดว่ามันผิด ก็ให้หัวหน้าระดับสูงมาฟ้องผมได้เลย ถ้าไม่รู้เบอร์ฝ่ายร้องเรียน ผมบอกคุณให้ก็ได้นะครับ”
คุณป้าคนนั้นเห็นท่าทางจริงจังของสารวัตร จึงรีบหุบปากลงทันที
องค์กรชุมชนไม่มาหล่อนก็ไปไม่ได้
คุณป้าคนนั้นจนปัญญา หลังจากดื้อดึงมาราวครึ่งชั่วโมง สุดท้ายก็ต้องจำใจรายงานชื่อองค์กรชุมชนไป
ตำรวจที่รับเรื่องพวกเขาจึงได้โทรศัพท์แจ้งองค์กรชุมชน
ไม่นาน คุณป้าขององค์กรชุมชนคนหนึ่งก็มาถึง ถามหาที่อยู่ของคุณป้าที่สร้างปัญหาคนนั้น รวมทั้งชื่อ และสาเหตุของเรื่องทั้งหมด จากนั้นก็เทศนาหล่อนอย่างรุนแรงไปฉาดใหญ่
เมื่อคุณป้าจากองค์กรชุมชนมาถึง หวังหรงที่ตามมาทีหลังก็เข้ามาลากตัวฟางจั๋วหรานเครียมจากไป
หล่อนไม่อยากให้เขาเกี่ยวข้องกับหลินม่าย
ฟางจั๋วหรานกลับไม่ยอมไป กระทั่งเห็นคุณป้าจากองค์กรชุมชนสั่งสอนคุณป้าที่ก่อเรื่องคนนั้นเสร็จพอดี จึงได้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“จะให้เรื่องจบแบบนี้ไม่ได้ ทำร้ายผู้อื่นด่าผู้อื่นสาดเสียเทเสียต้องชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจ พร้อมทั้งส่งของขวัญไปขอโทษเจ้าตัวด้วย และต้องรับประกันว่าจะไม่ยกพวกมาถล่มร้านค้าของหล่อนอีก”
เงื่อนไขที่เขาเสนอมาไม่ถือว่าเกินไป คุณป้าองค์กรชุมชนตอบรับในทันที จากนั้นก็คุมตัวคุณป้าที่ก่อเรื่องคนนั้นตามฟางจั๋วหรานไปยังแผงขายของของหลินม่าย
แม้หวังหรงจะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำได้แค่ตามไปด้วยกัน
ฟางจั๋วหรานร้องเรียกให้มีการเยียวยาสภาพจิตใจให้แก่สองแม่ลูกหลินม่ายสามหยวนอย่างสมเหตุสมผล คุณป้าคนนั้นกลับโกรธจนลมออกหู “แค่ตีนิดหน่อย กับด่าประโยคเดียวถึงต้องเรียกเงินมากมายขนาดนี้ พวกคุณไม่ปล้นฉันเลยล่ะ?”
หล่อนมักมีนิสัยชอบเอาเปรียบคนอื่น ไม่อย่างนั้นคงไม่ชักดาบไม่ยอมจ่ายเงินตอนซื้อของแล้วแอบหนีไปหรอก
ให้หล่อนควักเงินจ่ายให้สองแม่ลูกหลินม่ายสามหยวน ก็เหมือนขูดเลือดขูดเนื้อหล่อนไปด้วย
ฟางจั๋วหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ชดเชยก็ได้ งั้นให้หล่อนตบคุณสักฉาด แล้วด่าคุณว่าเป็นผู้ใหญ่เมื่อวานซืนในเขตที่คุณอาศัยอยู่ แล้วปล่อยให้ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันไปเอง”
คุณป้าคนนั้นปิดปากเงียบทันที
แต่ไหนแต่ไรมาหล่อนถือดีอยู่ตลอด ถูกคนด่าอย่างจนตรอกต่อหน้าทุกคน ความอับอายเช่นนี้หล่อนรับไม่ได้แน่นอน!
ด้วยความจนปัญญา จึงต้องจำยอมจ่ายเงินสามหยวนให้กับสองแม่ลูกหลินม่าย แถมยังถูกบีบบังคับให้ขอโทษพวกหล่อนอีก
คุณป้าจากองค์กรชุมชนกำลังจะพาคุณป้าคนนั้นจากไป แต่ฟางจั๋วหรานได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “คุณอย่าคิดจะยกพวกมาถล่มร้านของหล่อนเด็ดขาด ถ้าแผงขายของของหล่อนถูกถล่ม คนที่ตำรวจจะไปหาเป็นคนแรกก็คือคุณ ยิ่งสร้างความเสียหายให้หล่อนมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งต้องชดใช้ให้หล่อนมากขึ้นเท่านั้น”
จะช่วยก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ถ้าก้าวแรกทำให้คุณป้าคนนี้ชดใช้ให้หลินม่ายไม่ได้ ก้าวต่อไปแผงขายของของเธอจะต้องถูกถล่มเละแน่ ดังนั้นจึงเอ่ยปากเตือนหล่อน
ในเมื่อคุณป้าคนนี้ตัดใจควักเงินจ่ายไม่ได้ ก็ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด การตักเตือนแบบนี้นับว่าได้ผลมาก
เรื่องราวถูกแก้ไขโดยสมบูรณ์ หวังหรงจึงรีบลากตัวฟางจั๋วหรานเตรียมจากไป “เรารีบไปซื้อของขวัญกันเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันฉลองวันเกิดคุณยายตอนเที่ยงนะคะ”
หลินม่ายรีบตักเกาลัดที่เพิ่งคั่วใหม่ในปริมาณ 500 กรัมให้หวังหรง แล้วหันไปกล่าวขอบคุณฟางจั๋วหราน
ฟางจั๋วหรานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เธอช่วยคุณย่าส่งเกาลัดมาให้ฉัน ฉันช่วยเธอมันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เธอกล่าวขอบคุณหลายครั้งแล้ว ไม่ต้องขอบคุณแล้ว”
หวังหรองกลับไม่ได้ยื่นมือออกไปรับเกาลัดที่หลินม่ายยื่นมาแต่อย่างใด เพราะอยากให้ทำให้เธอรู้สึกแย่จนสุดจะทน
ฟางจั๋วหรานชำเลืองตามองหล่อนด้วยสายตาไม่แน่ใจ ก่อนจะรับถุงเกาลัดที่หลินม่ายยื่นมาให้ใส่เสื้อแจ็คเก็ต แล้วค่อยจากไปพร้อมกับหวังหรง
หลังจากเดินออกมาไกลแล้ว ก็ยังไม่วายหันกลับไปมองหลินม่ายอยู่หลายครั้งอย่างอดไม่ได้
กระทั่งเห็นเธอกำลังจับไม้พายคั่วเกาลัดในกระทะอย่างขยันขันแข็ง ทั้งยังต้องขายเกาลัด วุ่นจนเหมือนหนวดปลาหมึกอย่างไรอย่างนั้น
เสี่ยวโต้วข้างกายเธอก็นั่งจับจ้องคนที่มาซื้อเกาลัดทุกคนอยู่บนม้านั่งอย่างเชื่อฟัง
ลมหนาวเหน็บในฤดูหนาวพัดผ่านจนเผ้าผมของพวกหล่อนยุ่งเหยิง ใบหน้าก็ถูกสายลมปะทะจนแห้งแตกและแดงก่ำ พาให้อดสงสารไม่ได้
ทั้งสองคนเดินมายังห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียว ฟางจั๋วหรานซื้อแหวนทองของผู้หญิงที่หนักที่สุดในตู้วางโชว์เครื่องประดับวงหนึ่ง จ่ายค่าเสียหายไปประมาณห้าร้อยกว่าหยวน
เมื่อซื้อแหวนทองแล้วเขาก็เตรียมตัวกลับ
หวังหรงดึงแขนเสื้อของเขา จากนั้นก็ชี้ไปยังแหวนทองที่หนักประมาณสองกรัมวงหนึ่งพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่คะ ฉันอยากได้แหวนวงนี้ พวกพี่สาวและน้องสาวของฉันต่างก็มีกันหมดแล้ว”
ความจริงแล้วพวกพี่สาวและน้องสาวของหล่อนยังไม่มี หล่อนแค่โกหกไปเท่านั้น
ห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวเริ่มมีการปฏิรูปปรับปรุง ไม่ต้องกินข้าวหม้อเดียวกันเหมือนแต่ก่อน
ใครขายดี โบนัสสิ้นเดือนจะยิ่งสูง
พนักงานขายหน้าเคาน์เตอร์จึงรีบเอ่ยกับฟางจั๋วหรานอย่างกระตือรือร้น “คุณลูกค้า ซื้อให้แฟนของคุณสักวงสิคะ สองกรัมเอง ขนาดวงที่หนักที่สุดคุณยังซื้อได้เลย แค่นี้จิ๊บจ๊อยค่ะ”
ฟางจั๋วหรานชำเลืองตามองพนักงานขายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง พนักงานคนนั้นจึงรีบหดคอหนีด้วยความหวาดกลัวกระทั่งไม่กล้าปริปากพูดอีก
ผู้ชายคนนี้ดูภายนอกก็หล่อเหลารูปร่างสูง อ่อนโยนและมีเสน่ห์ ทำไมสายตาถึงได้น่ากลัวขนาดนี้!
“หล่อนไม่ใช่แฟนของผม” ฟางจั๋วหรานอธิบายให้พนักงานคนนั้นได้เข้าใจ จากนั้นก็พูดกับหวังหรงว่า “อยากได้แหวนก็รอให้เธอมีแฟนก่อน ค่อยให้แฟนของเธอซื้อให้แล้วกัน”
หวังหรงกัดริมฝีปาก แล้วชี้ไปยังต่างหูคู่หนึ่ง “งั้นพี่ช่วยซื้อตุ้มหูคู่นี้ให้ฉันได้ไหม?”
“เครื่องประดับทองแบบนี้เธอไปให้แฟนของเธอซื้อให้ดีกว่า”
ฟางจั๋วหรานเดินมายังเคาน์เตอร์เครื่องประดับเงินด้านข้าง “ฉันซื้อกำไลเงินวงหนึ่งให้เธอได้นะ”
แม้จะไม่ใช่เครื่องประดับทองจนทำให้หวังหรงไม่พอใจอยู่บ้าง แต่การซื้อกำไลเงินให้หล่อนหนึ่งวงก็นับว่าไม่เลวร้าย
กำไลเงินบริสุทธิ์มีมูลค่าห้าหยวนต่อหนึ่งกรัม
หล่อนเลือกกำไลเงินที่หนักที่สุดวงหนึ่ง ครั้งนี้ฟางจั๋วหรานไม่ได้ปฏิเสธ ยอมเสียเงินซื้อให้หล่อนในราคาหนึ่งร้อยกว่าหยวน
หวังหรงสวมกำไลเงินบนข้อมือที่ขาวเนียนละเอียดของตัวเองในทันที จากนั้นก็ไปกินข้าวที่ร้านอาหารในเมืองเจียงเฉิงกับฟางจั๋วหรานอย่างมีความสุข
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ช่วยแบบเต็มที่มากเลยค่ะ เริ่มคิดอะไรกับม่ายจื่อแล้วหรือยังคะคุณหมอ
ลำไยนังหรงจังน้อ เขาไม่เล่นด้วยก็อย่าบังคับเขาเลยยัยเด็กแก่แดด
ไหหม่า(海馬)