ตอนที่ 24 อยากซื้อบ้าน
แรกเริ่มนั้นหลินม่ายเลือกขายเกาลัดคั่วในละแวกใกล้เคียงกับสถานีรถไฟ เพราะปัจจัยโดยรวมค่อนข้างสะดวก
ประกอบกับการทำธุรกิจในละแวกสถานีรถไฟนั้นเอื้อต่อการเดินทางไปกลับระหว่างเมืองกับชนบท ดังนั้นเธอจึงลงหลักปักฐานขายของที่นั่น
ถ้าทำธุรกิจในท่าเรือเยวี่ยฮั่น อาจจะไม่สะดวกต่อการไปกลับระหว่างเมืองกับชนบทก็ได้
เพราะท่าเรือเยวี่ยฮั่นนั้นห่างจากสถานีรถไฟมากโข ไม่เหมาะสมต่อการวิ่งไปรับของทุกวัน
จากท่าเรือเยวี่ยฮั่นนั่งต่อไปถึงสถานีรถไฟต้องใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า โชคดีที่สมัยนี้ไม่มีรถติด ยังกลับกับรถไฟได้ แค่ต้องเสียเวลาอยู่บนท้องถนนอยู่สามสี่ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน
ดังนั้นถ้าอยากจะย้ายไปเปิดร้านในท่าเรือเยวี่ยฮั่น อันดับแรกต้องเช่าบ้านก่อน และต้องขนเกาลัดจำนวนสองพันกว่าชั่งมาไว้ที่นี้ด้วย
ระยะเวลาเพียงครึ่งเดือน ถ้าอยากย้ายร้านก็ต้องรีบคว้าไว้ ไม่อย่างนั้นเวลาเพียงครึ่งเดือนนี้คงจะผ่านไปเสียเปล่าประโยชน์
ก่อนออกเดินทาง หลินม่ายได้บอกกล่าวแม่เฒ่าผางและเหล่านักศึกษาไว้แล้ว ว่าเธอจะไม่มาเปิดขายที่นี่อีกนับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป
ริ้วรอยบนใบหน้าที่ยากจะรับได้ของแม่เฒ่าผางเปลี่ยนไปมาก นางชำเลืองมองไปยังครอบครัวของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นด้วยสายตารังเกียจ
ก่อนจะเอ่ยกับหลินม่ายด้วยความโกรธเคือง “ทำไมเธอยอมแพ้ง่ายขนาดนี้? เธอมาก่อน แต่กลับถูกขับไล่ ไร้เหตุผลสิ้นดี!”
แม่เฒ่าผางเดินไปหาหลินม่ายด้วยความอาลัยอาวรณ์ เพราะถ้าเธอไปแล้ว คงทำเงินให้นางไม่ได้อีก ไม่ใช่เพราะนางชอบเธอหรอก เรื่องนี้หลินม่ายรู้แก่ใจดี
นักศึกษาเหล่านั้นทยอยกับโน้มน้าว “พี่สาวอย่าไปเลย เราจะคอยสนับสนุนพี่ทุกวันเลย”
หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็เพราะไม่อยากให้พวกเธอมาสนับสนุนฉันทุกวันนี่ไง ฉันเลยต้องไป ตัวฉันเองก็ทำให้พวกเธอเสียเวลาเรียนด้วย ความผิดบาปนี้มันหนักหนาเกินไป ฝากไปบอกหมอฟางด้วยนะว่าขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือของเขา”
จากนั้นก็หันกลับมาเอ่ยกับแม่เฒ่าผางอีกครั้ง “ต่อไปถ้ามีเวลาฉันจะมาเยี่ยมคุณย่านะคะ”
ก่อนจะหยุดชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็เอ่ยกระซิบข้างหูของแม่เฒ่าผางเสียงเบาว่า “คุณย่ามาขายอาหารเช้าครึ่งวันหน้าบ้านตัวเอง คิดว่าทำเงินไม่ได้เหรอ?”
แม่เฒ่าผางเอ่ยด้วยความลำบากใจ “ฉันทำอาหารเช้าไม่เป็นเลยต่างหาก”
ถ้าทำอาหารเช้าเป็น นางคงขายอาหารเช้าไปแล้ว จะมานั่งขายน้ำชาแบบนี้อยู่ทำไม!
หลินม่ายหมดคำพูดในทันที “คุณย่าทำข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋(1)ได้ไหมคะ อีกครึ่งเป็นไส้น้ำตาลขาว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งทำเป็นไส้ผักกาดดองแทน ฉันสอนคุณย่าทำข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋ได้นะคะ”
นี่คืออาหารเช้าที่ง่ายที่สุดที่เธอคิดได้ ถ้าแม่เฒ่าผางยังทำข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋ไม่ได้ เธอก็คงจะช่วยนางไม่ได้แล้ว
สาเหตุที่เธอช่วยนาง นั่นเพราะแม่เฒ่าผางมีคุณงามความดีไม่น้อยเลย
แม้ว่าแม่เฒ่าผางจะเข้ามาปฏิบัติดีต่อเธอเพราะเงิน แต่ก็ไม่ใช่เจ้าของบ้านทุกคนที่จะดีต่อเธอเพราะเงินที่ได้รับจากเธอ
เจ้าตัวให้เธอเช่าหน้าบ้าน เธอให้เงินนาง ยื่นหมูยื่นแมวถือว่ายุติธรรมดี
เรื่องของความยุติธรรม เจ้าของบ้านไม่ได้เอาเปรียบอะไรเธอ นางแสนดีกับเธอ และเมินเฉยเธอได้เช่นกัน
แม่เฒ่าผางวิ่งไปยังร้านค้าโดยรัฐบาลแห่งหนึ่ง ซื้อปาท่องโก๋หนึ่งชิ้น ข้าวเหนียวครึ่งชั่ง ส่วนผักดองนั้นมีอยู่ที่บ้านแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อ
หลินม่ายเข้าไปในบ้านของหล่อน สอนนางทำข้าวเหนียวปาท่องโก๋อาหารประจำเมืองเจียงเฉิง
ข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋ของเมืองเจียงเฉิงนั้นทำง่ายมาก แค่หั่นปาท่องโก๋ออกเป็นสี่ส่วน แล้วนำข้าวเหนียวนึ่งเกลี่ยลงให้เรียบบนผ้าขาวชื้นที่สะอาด ใส่ผักดองที่ผัดเรียบร้อยแล้วลงไป โรยน้ำตาลขาวไปด้วยยิ่งดี
จากนั้นก็วางปาท่องโก๋ลงด้านบน ใช้ผ้าขาวจับข้าวเหนียวม้วนเข้าหากัน ระหว่างนั้นทำการบีบกดเล็กน้อยไม่ให้ไส้กระจาย ไม่นานข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
แม่เฒ่าผางเรียนรู้จนเป็น หลินม่ายจึงพาโต้วโต้วจากไป
ก่อนออกเดินทางเธอเห็นหญิงหน้าไหว้หลังหลอกกำลังส่งรอยยิ้มเยาะเย้ยอย่างลำพองใจที่เป็นผู้ชนะใส่เธอ เธอได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์เท่านั้น
คิดว่าเธอไปแล้ว ครอบครัวของพวกเขาจะเป็นร้านเกาลัดแห่งเดียวบนถนนสายนี้สินะ?
ฝันไปเถอะ ฉันขายที่นี่ไม่ได้ พวกหล่อนก็อย่าหวังว่าจะขายได้!
หลินม่ายพาโต้วโต้วรถประจำทางสาธารณะไปยังท่าเรือเยวี่ยฮั่น จากนั้นก็ไปยังหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด นั่นคือ หมู่บ้านซานหยาง และเช่าที่ไหนสักแห่งในนั้น
สมัยนี้ บ้านพักของคนงานค่อนข้างแออัด อย่าคิดว่าจะเช่าบ้านในเขตเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเช่าบ้านในเขตเมืองได้ เพราะบ้านที่สร้างนั้นมีขนาดกว้างขวางกว่า
ผลก็คือ หลังจากลองเดินเข้าไปในหมู่บ้านซานหยาง ก็ไม่มีใครยอมให้เช่า
หลินม่ายตั้งใจจะเดินหาในเมืองอื่น
โต้วโต้วเริ่มเหนื่อยเล็กน้อย หล่อนดึงมือของเธอ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “คุณแม่ หนูเดินไม่ไหวแล้ว เราพักกันก่อนได้ไหม….”
บอกจะพักแต่ก็พักไม่ได้ เพราะตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่า เช่าบ้านเสร็จแล้วยังต้องเดินทางกลับเมืองซื่อเหม่ยอีก
หลินม่ายคุกเข่าลง แล้วเอ่ยกับโต้วโต้วว่า “แม่แบกหนูเอง”
โต้วโต้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คุณแม่ไม่เหนื่อยเหรอคะ?”
หลินม่ายเอ่ยเร่งเร้า “รีบขึ้นมาเถอะ แม่ทุกคนบนโลกใบนี้มีพลังมหาศาล ไม่เหนื่อยหรอก”
โต้วโต้วจึงปีนขึ้นแผ่นหลังของเธออย่างเบิกบานใจ
หลินม่ายแบกหล่อนขึ้นหลังเตรียมจากไป
แต่หลังจากเดินต่อไปไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักลง
เพราะเธอเห็นป้ายประกาศขายบ้านที่แปะอยู่บนประตูไม้ที่ปิดสนิทบานหนึ่ง
เธอจำได้แล้ว หมู่บ้านแห่งนี้คือหมู่บ้านแห่งแรกของเมืองเจียงเฉิงที่ถูกรื้อถอน
เพราะถูกรื้อถอนโดยรัฐบาล ดังนั้นรัฐบาลก็ต้องชดเชยอย่างมหาศาลเหมือนกัน ไม่เพียงแต่ค่าดำเนินการที่สูงแล้ว แม้แต่พื้นที่ชดเชยของบ้านก็ยังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอีกด้วย
รื้อถอนหนึ่งตารางเมตร ก็ต้องชดเชยให้ถึงสองตารางเมตร
เพราะอสังหาริมทรัพย์เพิ่งก้าวหน้า การรื้อถอนเป็นเรื่องที่ใหม่มาก ด้วยความที่รัฐบาลไม่มีประสบการณ์ จึงต้องชดเชยเป็นจำนวนมหาศาล
รอกระทั่งสถานการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ได้รับความนิยมมากขึ้น ระดับในการชดเชยของการรื้อถอนจึงยิ่งลดน้อยลง จะอาศัยการรื้อถอนมาหาเงินจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
ตอนนี้ถ้าซื้อบ้านหลังหนึ่งที่นี่ รอรื้อถอนในยุค 90 บ้านหลังเก่าจะกลายเป็นบ้านใหม่สองหลัง ส่วนเงินค่าดำเนินการต้องมีราคาไม่ต่ำกว่าอย่างน้อยห้าหมื่นหยวน ถึงจะได้รับเงิน
แต่น่าเสียดายที่บนป้ายประกาศไม่ได้เขียนบอกถึงจำนวนราคาของตารางเมตรที่ชัดเจน ถ้าไม่แพงเกินไป ซื้อไว้คงไม่เลว
หลินม่ายทำการสอบถามราคาจากพวกชาวบ้าน ซึ่งพวกชาวบ้านไม่ค่อยรู้นัก เลยพูดกันว่าประมาณหนึ่งกว่าหยวน
ราคานี้ถือว่าเหมาะสมมาก
หลินม่ายถามถึงสาเหตุที่ต้องขายบ้านจากพวกชาวบ้าน เรื่องนี้สำคัญมาก เกิดเป็นบ้านผีสิงหรือเกี่ยวข้องอะไรแบบนั้นคงซื้อไม่ได้
พวกชาวบ้านบอกเธอว่า เจ้าของบ้านจากโลกนี้ไปหลายปีแล้ว ลูก ๆ ของเขาก็มีบ้านของตัวเอง เลยจะขายบ้านหลังนี้ แบ่งทรัพย์สินอย่างเท่าเทียมกัน
พวกชาวบ้านล้อมเข้ามาคุยกับพวกชาวบ้านอย่างจริงจัง มีคนชี้ไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดินมาทางพวกเขาพลางเอ่ยว่า “อ้ายกั๋วมาแล้ว”
จากนั้นก็มีคนแนะนำให้หลินม่ายได้รู้จัก “เขาคือเฉียนอ้ายกั๋วลูกชายคนโตขจองเจ้าของบ้านคนเก่า”
เฉียนอ้ายกั๋ว…ชื่อนี้ฟังแล้วหมดคำพูดจริงๆ ….
เฉียนยอ้ายกั๋วเดินตามเข้ามาถามว่า “มีคนอยากซื้อบ้านของเราเหรอ?”
ชาวบ้านต่างชี้ไปยังหลินม่าย “สาวน้อยคนนี้อยากซื้อบ้านหรือไม่นั้นเราไม่รู้ รู้แค่ว่าหล่อนมาสอบถามราคา”
เฉียนอ้ายกั๋วเห็นสองแม่ลูกหลินม่ายแต่งกายด้วยเสื้อผ้าดูยากจน อีกทั้งผิวพรรณของหลินม่ายยังหมองคล้ำหยาบกร้าน ไม่ได้รับการบำรุงที่ดีเท่าไหร่ ทันทีที่เห็นก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่เศรษฐีมีเงิน เลยอดผิดหวังไม่ได้
แต่ก็ยังไม่วายถามประโยคหนึ่ง “เธออยากซื้อบ้านเหรอ?”
หลินม่ายตอบเสียงเรียบ “รอดูบ้านก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเอาหรือไม่เอา”
เฉียนอ้ายกั๋วหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู
บ้านอิฐที่ดูธรรมดาได้ดึงดูดสายตาของหลินม่าย
เฉียนอ้ายกั๋วสาธยายให้เธอฟังอยู่ข้างกาย “ห้องนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยตารางเมตร ลานกว้างด้านหน้ามีพื้นที่แปดสิบตารางเมตร รวมกันเป็นหนึ่งร้อยแปดสิบตารางเมตร นี่คือต้นแอปเปิลหนึ่งต้น นี่คือต้นทับทิม และก็ต้นองุ่น อย่ามองว่าในฤดูหนาวต้นองุ่นเหลือแต่เครือ รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิก่อนมันจะออกใบมากกว่านี้ ฤดูใบไม้ร่วงในทุกปีเต็มไปด้วยองุ่นที่ออกลูกออกผล อย่างน้อยก็ให้ผลกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบกิโลกรัม”
ถัดไปเป็นประตูใหญ่ของห้อง ตรงหน้าของหลิรนม่ายตอนนี้คือโครงสร้างรูปห้องทรงเก่า
ตรงกลางเป็นห้องที่มีความยาวแปดเมตร มีความกว้างสี่เมตร ประมาณสองห้อง หนึ่งในห้องนั้นสร้างขึ้นเป็นห้องครัว ดังนั้นห้องครัวเลยใหญ่ขึ้น
………………………………………………………………………………………………………………………
糯米包油条 เป็นของว่างประจำเมืองเจียงหนาน เป็นข้าวเหนียวนึ่งห่อปาท่องโก๋และสารพัดไส้
สารจากผู้แปล
คิดว่าแย่งที่ขายเกาลัดได้แล้วเจ๋งนักเหรอ ม่ายจื่อเตรียมซื้อบ้านแล้วเถอะ ถึงคราวนั้นได้ค่าตอบแทนมากกว่าพวกหล่อนหลายร้อยเท่าอีก
ไหหม่า(海馬)