ตอนที่ 11 สาวน้อยร้องหาแม่
แค่สองป้ายก็ถึงสถานีปลายทางแล้ว ดังนั้นคนที่ขึ้นรถไฟจึงมีไม่เยอะนัก เมื่อหลินม่ายขึ้นไปเลยยังพอมีที่นั่งบ้าง
เธอจึงเลือกที่นั่งตามใจชอบ
เด็กสาวชาวเมืองหน้าตาจิ้มลิ้ม แต่งตัวดูดีนั่งถัดจากเธอไปคนหนึ่งได้ชำเลืองหางตามองเธอด้วยความรังเกียจปราดหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยอย่างไม่เป็นมิตรนัก “ที่นั่งตั้งมากมาย แต่ดันมานั่งข้างฉัน ไม่รู้ตัวเหรอว่าตัวเองตัวเหม็นสาบขนาดไหน นังบ้านนอก!”
หลินม่ายกลอกตากลับใส่หล่อน “บ้านนอกแล้วยังไง? ถ้าไม่มีคนบ้านนอกอย่างฉันเธอคงอดตายไปนานแล้ว!วีรชนที่พลีชีพในประเทศของเราก็คนบ้านนอกนี่แหละ หากไม่มีพวกเขาคอยสละเลือดเนื้อเพื่อชาติ เธอจะได้มานั่งอย่างสุขสบายคอยรังเกียจคนบ้านนอกที่นี่ไหม? ถ้ารังเกียจที่ฉันเหม็นก็ไปนั่งที่อื่นสิ พูดเหมือนกับมีใครตอกตะปูรั้งเธอไว้ที่เดิมอย่างนั้นแหละ!”
ใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวหงิกงอในทันที “ฉันจะนั่งตรงนี้ ถ้าจะเปลี่ยนควรเป็นเธอต่างหากที่ต้องเปลี่ยน!”
หลินม่ายเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันไปแย่งที่นั่งเธอรึไง? ฉันนั่งอยู่ข้างเธอต่างหาก! ทำไมฉันต้องเปลี่ยนที่นั่งด้วย?”
แม้สมัยนี้จะยังมีคนในเมืองดูถูกคนในชนบทอยู่ แต่คนที่ทำเกินไปเหมือนกับเด็กสาวชาวเมืองคนนี้กลับมีไม่เยอะนัก
ในขบวนรถอย่าว่าแต่ชาวบ้านที่สนับสนุนหลินม่ายเลย แม้แต่ชาวเมืองเหล่านั้นก็ยังตำหนิเด็กสาวชาวเมืองคนนั้นอย่างขุ่นเคืองเช่นกัน
เด็กสาวชาวเมืองคนนั้นถูกทุกคนมองอย่างตำหนิจนไม่เหลือชิ้นดี จึงทำได้แค่ต้องลุกขึ้นและเดินไปยังตู้โดยสารอีกตู้หนึ่ง
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ในที่สุดรถไฟก็มาถึงสถานีรถไฟฮั่นโขว
หลินม่ายแบกสัมภาระตามผู้โดยสารคนอื่นจำนวนไม่มากนักลงจากรถไฟไป
สถานีรถไฟฮั่นโขวในปัจจุบันนี้ยังไม่ได้ถูกย้าย ยังคงตั้งอยู่บนเส้นทางที่มีรถวิ่งกันขวักไขว่
หลังจากลงจากรถไฟและออกจากสถานีไป ก็เป็นเส้นทางที่มีรถวิ่งกันอย่างคึกคัก เมื่อทอดมองออกไปสุดลูกหูลูกตา ทั่วทุกหนทุกแห่งก็ล้วนเป็นสิ่งปลูกสร้างรูปแบบยุโรปทั้งนั้น
ไม่ไกลจากนั้น สาวน้อยผมสีน้ำตาลวัยสามถึงสี่ขวบเนื้อตัวสกปรกมอมแมมคนหนึ่งกำลังเดินร้องไห้หาแม่โดยไร้ซึ่งการช่วยเหลือ
ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นแล้วต่างก็ทยอยกันถอยหนี ตามหลักเหตุผลแล้ว เด็กคนนี้จะต้องถูกผู้เป็นแม่แท้ ๆ ทอดทิ้งอย่างแน่นอน เด็กของคนทั่วไปไม่มีทางเนื้อตัวสกปรกมอมแมมแบบนี้
หลินม่ายไม่ได้ใส่ใจนัก เธอเป็นคนสองโลก เห็นชาวโลกที่ไร้น้ำใจต่อกันจนชินไปแล้ว ไหนเลยจะมีจิตใจเมตตากรุณาขนาดนั้น
เมื่อเด็กสาวชาวเมืองหน้าตาจิ้มลิ้มที่เคยปะทะคารมกับหลินม่ายบนรถไฟก่อนหน้าคนนั้นเห็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักแต่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมคนนั้นจากไกล ๆ ก็เตรียมจะเดินอ้อมด้วยความรังเกียจทันที
คาดไม่ถึงว่าเมื่อสาวน้อยคนนั้นเห็นหล่อนเนื้อตัวสะอาดและหน้าตาสะสวย ทั้งยังอ่อนเยาว์ จึงรู้สึกดีกับหล่อน เลยวิ่งพุ่งเข้ามาหา ก่อนจะร้องไห้คร่ำครวญ “คุณน้า คุณน้าอยากได้หนูไหม หนู….”
ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะพูดจบ หญิงสาวชาวเมืองหน้าตาจิ้มลิ้มคนนั้นก็ตื่นตระหนกตกใจจนต้องเหยียบส้นรองเท้าวิ่งตะบี้ตะบันไปตลอดทาง เพราะกลัวว่ามือสกปรกของเด็กหญิงจะมาถูกเสื้อตัวนอกสีแดงสดของตัวเอง
ระหว่างที่วิ่งก็ยังไม่ลืมที่จะพึมพำว่า “ตาบอดรึไง เรียกฉันว่าน้า!”
นัยน์ตาของสาวน้อยคนนั้นเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา และยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิมด้วยความเสียใจ
ตอนที่กำลังจะหมุนตัวกลับอย่างยากลำบาก สายตาของหล่อนก็ได้มาหยุดอยู่ที่หลินม่าย เกิดความลังเลขึ้นชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งโซซัดโซเซมาหาเธอ
หล่อนกอดขาข้างหนึ่งของเธอพลางกล่าวอ้อนวอน “คุณน้า คุณน้าอยากได้หนูไหม หนูจะเป็นเด็กดี…”
หลินม่ายก้มหน้ามองเด็กคนนั้น ใบหน้าซูบตอบไม่มีก้อนเนื้อนุ่มนิ่มให้จับ จึงอดสงสารจับใจไม่ได้
ในอดีตชาติเธอและอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่เคยมีชีวิตฉันท์สามีภรรยากันจริง ๆ จึงไม่มีลูกด้วยกัน
ชาตินี้เธอจึงไม่คิดจะแต่งงาน
ในเมื่อเด็กคนนี้วิ่งตรงมาหาเธอท่ามกลางผู้คนที่เดินพลุกพล่าน เช่นนั้นเธอจะรับเลี้ยงหล่อนไว้ ต่อไปยามตัวเองแก่เฒ่าจะได้มีที่พึ่งพิง
หลินม่ายเอ่ยกับสาวน้อยด้วยเสียงนุ่มนวล “ได้สิ แต่หนูต้องจับชายเสื้อของฉันให้แน่นนะ ถ้าหลุดมือไปฉันไม่ย้อนกลับมาหาตัวหนูด้วย”
เธอแบกสัมภาระที่หนักอึ้งด้วยตัวเอง ต้องลำบากอยู่ท่ามกลางผู้คน ไม่สามารถดูแลหล่อนได้อย่างเต็มที่
สาวน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และจับชายเสื้อของเธอแน่นไปตลอดทาง
ต่อให้มีคนเดินมาชนหล่อนหกล้ม หล่อนก็จะรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน แล้วเดินเตาะแตะตามหลินม่ายต่อไป จับชายเสื้อของเธอไว้แน่นอีกครั้ง
เด็กสาวสองคนโตหนึ่งเล็กหนึ่งเดินตุปัดตุเป๋อยู่บนถนนใหญ่ที่แออัดที่สุดท่ามกลางฝูงคนบริเวณทางเข้าออกของสถานีรถไฟ
หลินม่ายวางสัมภาระลง ก้มหน้ากล่าวถามสาวน้อยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่าหล่อนชื่ออะไร
สาวน้อยตอบด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “หนูชื่อตัวตัว”
ชื่อนี้ เห็นได้ชัดว่าพ่อแม่ของหล่อนไม่ค่อยชอบหล่อนนัก
ครั้นหลินม่ายเห็นใบหน้าที่เหลืองและซูบซีดของตัวตัว ริมฝีปากแห้งผาก ท่าทางจะกระหายน้ำมาก
เธอปรายตามองไปรอบ ๆ ด้าน เห็นแผงขายชาขนาดเล็กที่วางอยู่ริมทางหน้าบ้านหลังหนึ่ง หลังแผงมีหญิงชราผมขาวโพลน แต่เนื้อตัวสะอาดสะอ้านคนหนึ่งนั่งอยู่
สมัยนี้ แม้ว่าการทำค้าขายจะดูผ่อนคลายลง แต่เอกสารทางการยังไม่มีประกาศลงมา ดังนั้นจึงมีบางคนที่กล้าเปิดร้านขนาดย่อมขึ้น
แต่เมืองฮั่นโขวเคยเป็นเซี่ยงไฮ้ยุคเก่า คนท้องถิ่นต่างมีความรู้ด้านการค้าขาย มีความกล้าหาญชาญชัย แม้แต่ผู้อาวุโสก็ยังกล้าวางแผงขายชาอยู่หน้าบ้านของตนเอง หากเปลี่ยนเป็นเมืองอู่ชางเกรงว่าคงไม่มีใครกล้าหาญขนาดนี้
หลินม่ายนวดไหล่ที่ปวดระบม จากนั้นก็ทำการแบกสัมภาระอีกครั้ง พาตัวตัวเดินไปยังแผงขายชาแห่งนั้น
ในฤดูหนาว รายการเครื่องดื่มมักขายไม่ดีนัก หญิงชรานั่งขายอยู่ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ก็ยังขายไม่ได้สักราย ในที่สุดก็เห็นลูกค้าเข้ามา จึงลุกขึ้นด้วยความดีใจ
นางเลื่อนเก้าอี้ตัวเล็กสองตัวออกมาจากใต้โต๊ะ ให้เด็กสาวทั้งสองคนได้นั่ง
ตัวตัวมีความเนียมอาย เมื่อเห็นหลินม่ายนั่งลง หล่อนจึงนั่งตาม
หลินม่ายเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณยาย ชานี้ขายยังไงคะ?”
ในอดีต หลินม่ายเดินทางเข้าเมืองตอนอายุยี่สิบปี เธอใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเจียงเฉิงตลอดจนถึงคราวสิ้นใจ ดังนั้นสำเนียงเมืองเจียงเฉิงจึงค่อนข้างชำนาญมาก
ชาวเมืองเจียงเฉิงมีจุดเด่นอย่างหนึ่ง ถ้าคุณพูดภาษาท้องถิ่นได้ดี คนท้องถิ่นจะยอมรับว่าคุณคือคนในท้องถิ่น พวกเขาจะปฏิบัติกับคุณอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา
หญิงชราได้ยินสำเนียงของหลินม่ายที่ฟังดูไร้เดียงสา เดิมทีที่นึกรังเกียจท่าทางยากจนของหล่อนและตัวตัว ตอนนี้กลับไม่รังเกียจแล้ว
จึงยิ้มตาหยีพลางตอบว่า “แก้วใหญ่สองเฟิน แก้วเล็กหนึ่งเฟิน”
สมัยที่ธัญพืชมีราคาแค่ 1.5 เฟินต่อหนึ่งชั่งนี้ ราคานี้ไม่นับว่าถูกหรือแพงเกินไป
หลินม่ายยื่นเงินสองเฟินออกไป “เอาสองแก้วเล็กแล้วกันค่ะ”
หญิงชรารีบรินชาที่กำลังร้อนกรุ่นสองแก้วทันที แม้จะเป็นใบชาคุณภาพต่ำ แต่รสชาตินับว่าไม่เลวเลยทีเดียว รสสัมผัสก็ดีมากเช่นกัน หอมสดชื่นน่ารื่นรมย์
ตัวตัวรับแก้วชาแล้วรีบดื่มในทันทีอย่างอดไม่ได้ เนื่องจากน้ำชานั้นร้อนเกินไป ไม่สามารถดื่มอึกใหญ่รวดเดียวได้ ทำได้เพียงแค่จิบทีละอึกเท่านั้น
หลินม่ายกลัวว่าหล่อนจะรีบดื่มเกินไป
ท่าทางของหล่อนไม่เพียงแต่กระหาย ทั้งยังดูหิวโซและเหนื่อยล้ามากด้วย การดื่มน้ำที่เร็วเกินไปอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหดเกร็งได้ง่าย
ตอนนี้เมื่อเห็นหล่อนดื่มน้ำเร็วไม่ได้แม้ว่าอยากจะดื่มมาก หลินม่ายก็วางใจ
หล่อนหยิบมันเทศตากแห้งที่โจวไฉ่อวิ๋นให้เธอพกติดตัวมาด้วยถุงนั้นออกมา หยิบชิ้นที่ใหญ่หน่อยให้ตัวตัว ให้หล่อนได้กินแก้หิวไปก่อน
ตัวตัวรับมาแล้วอ้าปากกัดคำใหญ่ด้วยความตะกละตะกลาม ท่าทางแบบนี้ไม่รู้ว่าอดมาแล้วกี่มื้อ
หลินม่ายเอ่ยด้วยความปวดใจ “ค่อย ๆ กินก็ได้ อย่าตะกละ กินหมดแล้วก็ยังมีอีก”
ขณะเอ่ย ก็หยิบมันเทศตากแห้งอีกสองชิ้นออกมาใส่กระเป๋าของหล่อน
ตอนนี้ มีเด็กผู้ชายอายุราวห้าถึงหกขวบคนหนึ่งวิ่งออกมาจากในบ้าน แล้วจ้องมองตัวตัวที่กำลังกินมันเทศตากแห้งด้วยความตะกละตะกลาม
แม้ว่าในเมืองหลวงสมัยนี้จะมีฐานะที่ดีกว่าชนบท แต่เวลาซื้อของก็ต้องใช้ธนบัตร เด็กในเมืองจึงไม่มีขนมให้กินเล่นแต่อย่างใด
หลินม่ายใจกว้างหยิบมันเทศตากแห้งชิ้นใหญ่ให้เด็กผู้ชายคนนั้น
เด็กผู้ชายกล่าวขอบคุณ แล้วรับมันเทศตากแห้งวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
หญิงชราหันไปตะโกนไล่หลังเขา “คุณเขาให้แก แกก็รับง่าย ๆ ทำไมหนังหน้าแกถึงได้หนาขนาดนี้ ห่วงแต่กินอย่างเดียว!”
เด็กผู้ชายไม่ตอบ
หญิงชราจึงหันมาส่งยิ้มให้หลินม่ายเป็นการขอโทษ “เด็กคนนี้เห็นแก่กินเกินไปแล้ว พอได้กินแล้วอะไร ๆ ก็ไม่สนใจทั้งนั้น”
หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เด็กก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ”
เธอเหม่อมองถนนใหญ่ที่มีผู้คนสัญจรขวักไขว่ไปมาอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะลองหยั่งเชิงเอ่ยถามหญิงชราว่า “คุณยาย ฉันขอยืมหม้อและไม้พายของคุณยายไปคั่วเกาลัดขายได้ไหมจ๊ะ?”
“คั่วเกาลัด?” หญิงชรามีท่าทางไม่อยากให้ยืมอย่างชัดเจน แล้วมองไปยังถุงกระสอบข้างตัวหลินม่ายพลางเอ่ยว่า “คั่วเกาลัดมันสิ้นเปลืองมากนะ”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อย่ามาดูถูกคนชนบทกันนะ ฝีปากคือคมกริบจนทนฟังไม่ได้เลยนะ
ไปขายเกาลัดแต่ได้ลูกบุญธรรมมาหนึ่งคน นับว่ามีโชคนะคะ
ไหหม่า(海馬)