ตอนที่ 12 ทดลองขายเกาลัด
หลินม่ายไม่คิดจะยืมหม้อของหญิงชราโดยเปล่าประโยชน์ “ฉันจ่ายเงิน ค่าเช่าครึ่งวันห้าเหมา คุณยายว่าไงคะ?”
จะซื้อหม้อใบหนึ่งต้องใช้คูปองทำงาน**ที่มีมูลค่าถึงสามหยวน ไม่มีคูปองทำงานก็ต้องไปซื้อในตลาดมืดที่มีมูลค่าถึงห้าหยวน เช่าครึ่งวันในราคาห้าเหมา ค่าเช่านี้ไม่นับว่าต่ำเกินไป
หญิงชราคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็รับปาก
หลินม่ายเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้ฉันยังไม่มีเงิน รอฉันคั่วเกาลัดขายได้เงินมาและจะจ่ายทันที ได้ไหมคะ?”
หญิงชราครุ่นคิดแล้วพยักหน้าตกลงอีกครั้ง แต่ไม่ลืมพูดเสริมว่า “ถ้าคั่วเกาลัดหาเงินไม่ได้ เธอต้องใช้หนี้ด้วยสิ่งของ”
หลินม่ายตอบตกลงด้วยการเอ่ยว่า “อย่างนั้นคุณยายก็ให้ฉันยืมเตาอังไฟหนึ่งใบ แล้วก็ฟืนไม้ ถึงตอนนั้นคุณยายก็ค่อยคิดรวบยอดกับฉันทั้งหมดได้ไหมคะ?”
ราคานี้ทำให้หญิงชราไม่ได้ขาดทุนเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้นางจึงตอบตกลงอย่างเบิกบานใจ
หลินม่ายอาสาขอเข้าไปช่วยยกเตาไฟในบ้าน หญิงชราจึงทำการเปิดถุงเกาลัดในถุงนั้นดู “เปลือกเกาลัดยังไม่ได้กะเทาะออก จะคั่วได้ยังไง?”
ในอดีตชาติหลินม่ายไม่เคยขายเกาลัดมาก่อน จึงคาดไม่ถึงเรื่องนี้
เธอจึงทำการยืมมีดของหญิงชรา และจ้างให้นางกะเทาะเปลือกเกาลัดด้วยกัน ค่าแรงหนึ่งวันห้าเหมา
แต่หลินม่ายไม่สามารถกะเทาะเปลือกเกาลัดทั้งวันได้ เพราะเธอต้องไปขายเกาลัด
หลังจากกะเทาะเปลือกเกาลัดได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง จนได้จำนวนเกาลัดมากกว่าหกสิบชั่ง เธอก็เริ่มเปิดแผงขายเกาลัดแล้ว
ความสามารถในการซื้อของชาวเมืองนั้นค่อนข้างแข็งแรง เกาลัดส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล จนทำให้มีคนวิ่งเข้ามาไถ่ถามราคากันเป็นจำนวนมาก
หลินม่ายนึกถึงเกาลัดคั่วน้ำตาลที่ขายในราคา 20 หยวนต่อหนึ่งชั่งในอดีต นั่นคือราคาส่งดิบที่มีมูลค่ามากกว่าหกถึงเจ็ดเท่าเลยทีเดียว
เกาลัดของเธอไม่ได้คั่วน้ำตาล ทั้งยังเป็นเกาลัดป่า ขายในราคาสี่เหมาไม่นับว่ามากเกินไป
แต่ผลลัพธ์หลังจากบอกราคาไป ผู้คนจำนวนมากกลับกล่าวหาว่าแพง ทั้งยังบอกอีกว่าเกาลัดป่าทำไมถึงขายแพงขนาดนี้ สู้เอาเงินสี่เหมาไปซื้อเนื้อสัก 300 กรัมไม่ดีกว่าเหรอ?
ยุคสมัยนี้มีของกินเล่นค่อนข้างน้อย ผู้คนจึงหันมากินเนื้อมากกว่า
แต่หลินม่ายไม่อยากลดราคา เธอจะฉวยโอกาสของการเป็นเจ้าของธุรกิจเดี่ยวสร้างเงินให้ได้มากที่สุด
เมื่อคนอื่นหันมาขายเกาลัดตาม ราคานี้แม้ไม่อยากลดก็ต้องลดอยู่ดี ถึงตอนนั้นกำไรก็คงเบาบางลงแล้ว
เธอเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ก็เพราะเป็นเกาลัดป่าไงคะจึงขายราคานี้ ถ้าใช้กำลังคนในการปลูก ฉันก็คงขายสินค้านี้ไม่ได้ หรือต่อให้ขายได้ ราคาก็ต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน”
นี่คือความเป็นจริง เมืองเจียงเฉิงเป็นเมืองที่ไม่เล็กนัก แต่เกาลัดที่หามาค่อนข้างมีจำนวนน้อย
แม้ว่าจะมีน้อย แต่ก็ยังเสนอขายให้กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คนทั่วไปได้แต่มองตาปริบ ๆ
ถึงอย่างไรก็ยังมีราคาสูงมากอยู่ดี ผู้คนไม่น้อยต่างพากันถอยหนี
แต่มีเด็ก ๆ เพียงไม่กี่คนที่ไม่ยอมไปไหน ดึงมือของผู้ใหญ่พลางชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น ตะโกนเอะอะโวยวายจะกินเกาลัดคั่ว
ผู้ใหญ่บางคนถูกตื๊อไม่เลิก จนต้องสั่ง 250 กรัม
หากจะขายเป็นกรัมก็ต้องใช้ตาชั่ง หญิงชราจึงรีบนำตาชั่งเครื่องหนึ่งให้หลินม่ายใช้อย่างกระตือรือร้น
สมัยนี้ยังไม่มีถุงพลาสสติก
หญิงชราจึงนำสมุดที่หลานสาวมีไว้เขียนการบ้านของตัวเองออกมา ทำการพับเป็นถุงสามเหลี่ยมเพื่อใส่เกาลัด
ถ้าเป็นผู้ชายพาเด็ก ๆ มาซื้อเกาลัด โดยทั่วไปจะไม่ใส่เกาลัดเพิ่มอีกสองลูกลงในถุงกระดาษ
แต่ถ้าเป็นผู้หญิงที่พาเด็ก ๆ มาซื้อเกาลัด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใส่เพิ่มไปอีกสองลูก ถึงกระนั้นก็ขอเอาเปรียบสักนิดสักหน่อย
ทำธุรกิจก็แบบนี้ คนยิ่งซื้อเยอะ ก็ยิ่งมีคนทำตาม
ไม่นาน แผงขายเกาลัดของหลินม่ายก็เต็มไปด้วยลูกค้าที่ห้อมล้อมกันมาซื้ออย่างไม่ขาดสาย
แม้โดยส่วนใหญ่จะซื้อเกาลัดเพียง 250 กรัม แต่กลับต้านทานฝูงชนไม่ไหว เกาลัดจำนวน 80 ชั่งก็ถูกขายหมดในเวลาไม่ถึงห้าชั่วโมง
เนื่องจากหลินม่ายไม่มีประสบการณ์ จึงคั่วเกาลัดได้ช้ามาก ประกอบกับหม้อที่ค่อนข้างเล็ก หญิงชราจึงต้องใช้เวลานาน…. นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องล่าช้า
หลังจากขายเกาลัดหมด หลินม่ายก็ไม่ได้คิดตุกติกแต่อย่างใด พูดคำไหนคำนั้น ยื่นเงินจำนวนห้าเหมาหนึ่งใบให้แก่หญิงชรา
หญิงชราตื่นเต้นดีใจมาก เอ่ยถามเธอว่าพรุ่งนี้จะมาอีกไหม ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดคือนางอยากหาเงินจากเงินของเธอ
หลินม่ายเข้าใจความคิดของนาง จึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้ฉันไม่กล้ารับประกัน ถ้าฉันมาขายเกาลัดในเมือง จะต้องมาเปิดแผงขายหน้าบ้านคุณยายแน่นอน”
หญิงชรารินชาให้เธอและตัวตัวโดยไม่คิดเงิน กำชับว่าให้เธอพูดคำไหนคำนั้น
หลินม่ายยิ้มตอบรับแล้วนั่งลง จิบพลางนับเงิน
นอกจากต้องตัดเงินลงทุนสินค้าและค่าเช่าที่ต้องให้หญิงชราจำนวนห้าเหมาออกแล้ว เงินสุทธิก็อยู่ที่สิบกว่าหยวนกับอีกสองสามเหมา ซึ่งน้อยกว่าที่คาดเดาไว้
ประเด็นหลักคือตอนรับเงินอาจจะพลาดลืมเก็บเงินใครไป อีกทั้งตอนชั่งก็ยังใช้ตาชั่งของหญิงชราด้วย ดังนั้นเงินที่ได้รับอาจจะน้อยกว่าเงินที่กำหนดไว้ไปสองสามหยวน
แต่หลินม่ายก็พึงพอใจมากแล้ว
เงินที่หาได้ในวันนี้เท่ากับเงินเดือนในช่วงสิบวันแรกของคนทั่วไปเลยทีเดียว
ก่อนเดินทางกลับ เธอก็ได้รู้ว่าหญิงชราคนนี้มีแซ่ว่า ‘ผาง’ หลังจากกล่าวลาคุณยายผางแล้ว หลินม่ายก็พาตัวตัวไปกินอาหารเที่ยง
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว อย่าว่าแต่ตัวตัวเลย แม้แต่เธอก็ยังหิวโซ ยิ่งไปกว่านั้นตัวตัวก็กินมันเทศตากแห้งไปแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
เมื่อเจอร้านอาหารของรัฐแห่งหนึ่ง หลินม่ายก็สั่งบะหมี่แห้งร้อนสองชามทันที
บะหมี่แห้งร้อนชามละ 1.5 เฟิน พร้อมกับคูปองข้าว*สองใบ
หลินม่ายค่อนข้างลำบาก เธอมีคูปองข้าวแค่สามใบ ซื้อบะหมี่ได้แค่ชามเดียว
ลูกจ้างขายบะหมี่ได้ยื่นหน้าออกมาถามทางช่องหน้าต่างร้าน “คูปองข้าวไม่พอใช่ไหม? ฉันมีคูปองข้าว เธอจะซื้อไหม?”
“ขายยังไงคะ”
“1.5 เหมาต่อคูปองข้าว 500 กรัม”
คูปองข้าวในตลาดมืดขายแค่ 1 เหมาต่อ 500 กรัม ลูกจ้างคนนี้หน้าเลือดจริง ๆ
แต่ถ้าจะกินบะหมี่ คูปองข้าวใบนี้จะไม่ซื้อก็ไม่ได้
หลินม่ายตึงต้องจ่ายเงิน 1.5 เหมาเพื่อซื้อคูปองข้าวอีกหนึ่งใบ ถึงจะสามารถซื้อบะหมี่แห้งร้อนสองชามได้
หลังจากได้คูปองข้าวแล้วก็ไปรับบะหมี่จากหน้าต่างอีกช่องหนึ่ง
แม้ในยุคสมัยนี้ผู้คนจะยากจนข้นแค้น แต่ด้วยร้านอาหารของรัฐบาลมีน้อยเกินไป จึงทำให้ร้านอาหารขนาดเล็กมีน้อยไปด้วย
เมืองเจียงเฉิงเป็นเมืองใหญ่ ประกอบกับช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ดังนั้นร้านอาหารขนาดเล็กจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่แน่นขนัด ไม่มีโต๊ะว่างสักโต๊ะเดียว มีอีกหลายคนที่ยอมยืนกิน
หลังจากได้บะหมี่แห้งร้อนแล้ว หลินม่ายก็พาตัวตัวมานั่งโต๊ะที่ไม่ว่างโต๊ะหนึ่ง แต่ไม่ได้เบียดเสียดเกินไป เธอส่งยิ้มเป็นการขอโทษลูกค้าโต๊ะนั้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเชิงขอร้อง “ให้ลูกของฉันกินบะหมี่ตรงมุมโต๊ะสักที่ได้ไหมคะ?”
ลูกค้าเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ชาย พวกเขาหันมองตัวตัวเด็กสาวตัวน้อย แล้วค่อยปรายตามองบะหมี่แห้งร้อนที่แบ่งออกเป็นสองชามในมือของหลินม่าย
ชามข้าวใหญ่ขนาดนั้น เด็กในวัยสามสี่ขวบถือกินคงไม่สะดวกนัก ดังนั้นจึงเลื่อนม้านั่งที่ตัวเองนั่งอยู่ไปด้านข้าง เว้นที่ให้ตัวตัว
หลินม่ายวางชามบะหมี่แห้งที่ซื้อมาให้ตัวตัวตรงมุมโต๊ะ ให้ตัวตัวยืนกินอยู่หน้าโต๊ะตัวนั้น แต่ก่อนกินก็ยังไม่ลืมที่จะคลุกเคล้าเส้นบะหมี่ให้เข้ากัน
ตัวตัวเป็นเด็กขี้อาย แต่อดใจต่อความหอมหวนชวนน้ำลายหกของบะหมี่แห้งร้อนไม่ไหว จึงยืนกินบะหมี่แห้งร้อนชามนั้น เรียนรู้การคลุกเคล้าบะหมี่จากหลินม่าย จากนั้นก็คีบมันเข้าปากคำโต
หลังจากกินบะหมี่แห้งร้อนเสร็จ หลินม่ายก็พาตัวตัวไปส่งเกาลัดให้กับฟางจั๋วหลานผู้เป็นหลานชายของคุณย่าฟางด้วยกัน
ฟางจั๋วหลานเป็นหมอศัลยกรรมคนหนึ่ง ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนัก
หลินม่ายเดินมาตามที่อยู่ที่คุณย่าฟางบอกไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เจอกับหอพักพนักงานห้าชั้นตึกหนึ่ง
ถึงอย่างไรก็เป็นโรงพยาบาลที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ แม้แต่หอพักพนักงานก็ยังแตกต่างจากที่อื่น
หอพักพนักงานของที่อื่นโดยทั่วไปเป็นหอที่มีห้องน้ำและห้องครัวร่วมกัน มีแค่โรงพยาบาลผู่จี้ที่เดียวที่เป็นอพาร์ทเมนต์สร้างติดกัน
หลินม่ายจูงมือตัวตัวขึ้นไปชั้นสาม เคาะประตูใหญ่ของหอพักห้องหนึ่ง
คนที่เปิดประตูเป็นเด็กสาวที่มีรูปร่างสูงยาวเข่าดี ผมดัดลอน ริมฝีปากแดงแจ๋ หน้าตาคล้ายกับดาราภาพยนตร์
เด็กสาวกวาดดวงตาสวยคมพิจารณาหลินม่ายและตัวตัว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างไม่ปิดปัง พลางเอ่ยถามด้วยท่าทางรังเกียจ “เธอเป็นใคร?”
……………………………………………………………………………………………………………………….
**คูปองอาหาร / บัตรปันส่วนข้าวหรือเหลียงเพี้ยว (粮票/糧票) ด้วย เวลาซื้อข้าวต้องแนบบัตรข้าวพร้อมเงินจ่ายให้กับทางร้านค้า โดยบัตรข้าวนี้ ใช้แลกซื้อข้าว ถั่ว มัน หรือธัญพืชอื่นๆได้ตามน้ำหนักที่พิมพ์อยู่บนบัตร
**คูปองทำงาน ก็เป็นตั๋วที่ได้จากการทำงาน
สารจากผู้แปล
มาถูกทางแล้วม่ายจื่อ ต่อไปก็เก็บประสบการณ์ให้เชี่ยวชาญเท่านั้นแหละ
ยัยผู้หญิงคนนี้ใคร? อย่าบอกนะว่าแฟนของหลานชายคุณย่า
ไหหม่า(海馬)