ตอนที่ 32 พนักงานขายที่ใช้สายตาดูถูกคนอื่น
หลินม่ายพยักหน้ายอมรับ “แต่พี่สาวต้องนับจำนวนคูปองเหล่านั้นต่อหน้าฉันก่อน ฉันถึงจะจ่ายเงินให้พี่ เกิดพี่ให้คูปองฉันไม่ครบขึ้นมาจะทำยังไง?”
“ใครจะไปโกหกเด็กบ้านนอกคอกนาอย่างเธอเล่า?” พนักงานบ่นอุบอย่างดูถูก ทว่ายังทำตามที่เธอบอก ด้วยการหยิบคูปองอาหารสิบใบออกมา แล้วนับจำนวนต่อหน้าเธอ
หลินม่ายจึงวางใจ หยิบธนบัตรในมือยื่นให้หล่อนอีกครั้ง
พนักงานคนนั้นจึงยื่นคูปองจำนวนสิบใบนั้นให้เธอ
หลินม่ายอาศัยการจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว ยื่นมือข้างหนึ่งไปชิงคูปองสิบใบเหล่านั้น ส่วนมือที่ถือธนบัตรอีกด้านก็รีบดึงกลับมา จากนั้นก็ยัดคูปองทั้งสิบใบใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว
ไม่ทันรอให้พนักงานคนนั้นได้สติกลับมา เธอเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปปะปนในฝูงชนเรียบร้อย
พนักงานคนนั้นได้สติกลับมาหลังจากนั้นสองสามวินาที ก่อนจะโกรธจนสีหน้าถมึงทึง
หล่อนไล่ตามหลินม่ายไป พลางเอ่ยเสียงต่ำด้วยความเกลียดชัง “คืนเงินฉันเดี๋ยวนี้ ไม่ก็คืนคูปองฉันมา ไม่อย่างนั้นเธอกับฉันได้เห็นดีกันแน่!”
หลินม่ายชำเลืองมองหล่อนด้วยสายตาเย็นชา “ฉันชักอยากเห็นแล้วสิว่าพี่สาวจะทำให้ฉันเห็นดียังไง แต่ถ้าพี่สาวทำให้ฉันลำบากใจ ฉันจะป่าวประกาศว่าพี่ขายคูปองให้ฉัน ดูสิว่าพี่จะรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ไหม”
แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในยุค 80 การขายคูปองไม่ได้มีการโจมตีอย่างรุนแรงเหมือนแต่ก่อน ถ้าโดนจับได้ก็โยนเข้าคุกอย่างเดียว สมัยนี้เน้นการวิจารณ์การศึกษาเป็นหลัก
แต่ปัญหาคือ ในฐานะที่เป็นพนักงานในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ผลของการซื้อขายคูปองนั้นไม่น้อยไปกว่าการฝ่าฝืนกฎหมาย นั่นคือถูกไล่ออกสถานเดียว
พนักงานคนนั้นจึงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง พลางกัดฟันพูดว่า “เธอมันร้ายกาจ!”
“ฉันไม่ได้ร้ายกาจ” หลินม่ายล้วงเงินสามหยวนออกมาวางบนฝ่ามือของหล่อน “คูปองพวกนี้มีค่าแค่ไม่กี่หยวน คิดว่าฉันเป็นแกะโง่เหรอ ฝันไปเถอะ อีกเรื่อง ต่อไปพี่สาวอย่าเที่ยวใช้สายตาแบบนั้นดูถูกคนอื่นอีก ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะเมตตาเหมือนกับฉัน เป็นแค่พนักงานขาย ไม่ใช่ผู้นำประเทศ ต้องอวดดีขนาดนี้เลยเหรอ?”
แม้ว่าพนักงานขายคนนั้นจะน่ารังเกียจ แต่แค่ได้สอนให้เป็นบทเรียนก็ยังดี ไม่ต้องมีความเคียดแค้นต่อกัน
กระทำสิ่งใดต้องเหลือทางไว้บ้าง วันหน้าคงได้พบกัน ดังนั้นเธอจึงทิ้งเงินจำนวนสามหยวนให้หล่อน คิดเสียว่าซื้อคูปองอาหารของหล่อนตามราคาในตลาดมืด
พนักงานขายคนนั้นจึงไม่ได้ไล่ตามหลินม่ายอีก แต่มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต
จะเกลียดก็เกลียดไม่ลง จะชอบก็ชอบไม่ได้ กลัวว่ามันจะกลายเป็นความจริง
พวกชาวบ้านในสมัยนี้ช่างร้ายกาจนัก!
หลินม่ายกลับมายังเคาน์เตอร์ขายอาหารบำรุง แล้วซื้อนมผงสองกระป๋องและน้ำผึ้งสองขวดรวมทั้งลำไยอีกสองชั่งกับพนักงานขายอีกคน
ทว่ากลับรู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมองอยู่ หลินม่ายมองออกไปอย่างระแวดระวัง จนเห็นชายร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งท่ามกลางผู้คนที่กำลังพลุกพล่านส่งยิ้มมาให้เธอ จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
รอยยิ้มนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้หลินม่ายไม่น้อย
แต่เธอไม่ได้คิดมาก เดินตรงไปยังโซนเสื้อผ้าชั้นสอง ตั้งใจจะซื้อเสื้อขนสัตว์สำหรับฤดูหนาวให้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางคนละตัว
ยุคสมัยนี้ เสื้อขนสัตว์สำหรับฤดูหนาวเป็นเสื้อที่มีระดับ และกลายเป็นสินค้าที่ผู้คนทั่วทั้งประเทศต้องการภายในไม่กี่ปี
ก่อนหน้านั้นต้องประสบกับปัญหาส่งออกต่างประเทศ แต่คนซื้อกลับมีไม่น้อย เศรษฐีเมืองเจียงเฉิงต่างรวมตัวกันมาซื้อเสื้อผ้ากันที่นี่
ประมาณว่าที่แห่งนี้เป็นห้างสรรพสินค้าเจ้าแรกที่มีการแขวนเสื้อผ้าเรียงรายให้ลูกค้าได้เร่เข้ามาเลือก
ไม่เหมือนกับห้างสรรพสินค้าที่อื่นที่ยังถูกแขวนอยู่ในตู้ ลูกค้าถูกใจตัวไหนก็ให้พนักงานช่วยหยิบออกมาให้
ดังนั้นการซื้อเสื้อผ้าจึงมีอิสระในการซื้อมากกว่าสินค้าจำพวกของบำรุง แม้ว่าพนักงานขายจะมีสีหน้าทมึง แต่ไม่ต้องพูดกับหล่อน
เมื่อเลือกเสื้อผ้าได้แล้ว แค่ยื่นคูปองก็เป็นอันเสร็จ
หลินม่ายได้ซื้อเสื้อขนสัตว์สำหรับหน้าหนาวและซักง่ายให้กับสองปู่ย่า
เธอซื้อเสื้อขนสัตว์สีน้ำเงินให้คุณปู่ฟาง และซื้อเสื้อสีแดงลูกพุทราให้คุณย่าฟาง
หลังจากเลือกได้แล้ว ก็ให้พนักงานทำการห่อและออกใบเสร็จ
พนักงานขายคนนั้นมองพิจารณาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าของเธออยู่นาน จนเอ่ยถามว่า “จะซื้อจริง ๆ เหรอ?”
หลินม่ายหมดความอดทน พนักงานขายเมื่อครู่คนนั้นก็มองเธอด้วยสายตาดูถูก พนักงานคนนี้ก็ยังใช้สายตานี้กับเธออีก
จึงตะโกนเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันบอกว่าจะซื้อ เธอยังจะถามอีกเหรอว่าฉันจะซื้อหรือไม่ซื้อ เธอโง่รึเปล่า ถ้าสมองมีปัญหานักก็ไปหาหมอให้หมอตรวจหน่อยไหม”
พนักงานขายในยุคสมัยนี้ชักหยิ่งยโสมากขึ้นทุกที เห็นคนบ้านนอกหน่อยไม่ได้ริอยากท้าทายตน เหมือนไม่ไว้หน้ากัน สีหน้าจึงดูไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม
“ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูความจนของตัวเองบ้าง แค่บอกว่าตัวเองจะซื้อได้ คุยโวราวกับไม่ต้องเสียภาษีอย่างนั้นแหละ?”
“ฉันเนี่ยนะจน? เธอมีเงินงั้นสิ? ถ้าเธอมีเงินแล้วทำไมถึงมายืนขายงก ๆ ที่นี่ละ? ต้องนอนสันหลังยาวมีคนรับใช้สิถึงจะถูก!”
ภาษาจีนนั้นกว้างขวางและลึกซึ้งมาก คำว่า “ขาย” ของหลินม่ายทำให้ลูกค้ารอบตัวที่เข้ามามุงดูไม่น้อยพากันหัวเราะร่วน
สีหน้าของพนักงานขายคนนั้นดูแย่ลงยิ่งกว่าเดิม เริ่มปะทะคารมกับหลินม่ายจนยิบตา ดึงดูดสายตาของแผนกอื่น
การกระทำนี้ดึงดูดผู้จัดการข่งให้เบียดเสียดฝ่าวงล้อมเข้ามา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้น?”
พนักงานขายคนนั้นชี้ไปทางหลินม่ายแล้วฟ้องอย่างน่ารังเกียจ “เธอดูถูกคนอื่น”
หลินม่ายเอ่ยถามอย่างไม่ยอมแพ้ “ฉันไปดูถูกเธอตอนไหนไม่ทราบ?”
พนักงานขายไม่มองเธอ แต่กลับฟ้องผู้จัดการข่งต่อว่า “เธอบอกว่าฉันมองด้วยสายตาดูถูก!”
หลินม่ายหัวเราะเยาะเย็นชา “ก็ฉันพูดความจริง แล้วทำไมกลับกลายเป็นฉันที่ดูถูกเธอได้! ไม่ใช่เพราะเธอดูถูกคนบ้านนอกก่อนเหรอ คิดว่าฉันซื้อของเหล่านี้ไม่ได้!”
เธอหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋า “มาสิ อธิบายหน่อยว่าเป็นเงินปลอมหรือเปล่า หรือแม้แต่ธนบัตรในมือของฉันก็ไม่คู่ควรจะซื้อสิ่งของของพวกเธอ?”
พนักงานขายคนนั้นโง่เขลาไปชั่วขณะ คาดไม่ถึงว่าเด็กบ้านนอกคนนี้จะมีเงินมากขนาดนี้
หลินม่ายเก็บเงินเข้ากระเป๋า แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง “เธอเป็นแค่พนักงานกระจอกคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรมาทำตัวหยิ่งผยอง คิดว่าตัวเองเป็นปูเหรอ? ถึงไม่เห็นว่าตอนนี้มันสมัยไหนแล้ว ยังทำตัวเหมือนสมัยก่อนอีก ถ้าทัศนคติของเธอแสดงออกถึงทัศนคติของห้าง ในกระแสการแข่งขันที่มีการปฏิรูปอย่างกว้างขวาง ห้างสรรพสินค้าของเธอคงอยู่ได้ไม่ถึงห้าปีก็ปิดตัวลงแล้ว แล้วเธอนั่นแหละที่จะตกงาน! ไม่มีงานทำ เธอก็สู้คนบ้านนอกอย่างฉันไม่ได้หรอก ยังจะกล้าดูถูกคนบ้านนอก ไม่มีคนบ้านนอกอย่างเราดำนาปลูกข้าวให้กิน เธอคงกินขี้ไปนานแล้ว”
พนักงานขายคนนั้นถูกด่าจนเลือดขึ้นหน้าแล้วจู่ ๆ ก็พลันซีดเผือดลง เนื่องจากผู้จัดการข่งอยู่ที่นี่ด้วย หล่อนจึงกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์
ผู้จัดการข่งมองพนักงายขายคนนั้นด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “รีบขอโทษลูกค้าคนนี้เสีย แล้วบริการหล่อนด้วย”
พนักงานขายคนนั้นโกรธแค้นยิ่งกว่าเดิม น้ำตาเอ่อล้นออกมารอบดวงตา ก่อนจะกล่าวขอโทษหลินม่าย
หลินม่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “เธอดูถูกลูกค้า ให้เธอชดใช้ด้วยการขอโทษลูกค้า แต่เธอกลับทำตัวเหมือนได้รับความไม่เป็นธรรมจากสวรรค์ ในเมื่อได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้ ฉันก็ไม่อยากให้เธอมาบริการฉันอีก”
แล้วกันไปเอ่ยกับผู้จัดการข่ง “ฉันขอเปลี่ยนพนักงานขายคนใหม่มาดูแลฉันได้ไหมคะ?”
“ได้ ได้สิ” ผู้จัดการข่งรีบเรียกพนักงานขายอีกคนเข้ามา ทำให้หลินม่ายซื้อเสื้อผ้าได้อย่างราบรื่น
ก่อนหลินม่านกลับเธอได้เอ่ยกับผู้จัดการข่งไว้ “เพราะคุณสมบัติของพนักงานขายในร้านห้างสรรพสินค้าของคุณ เลยทำให้ฉันไม่อยากซื้อเสื้อผ้าของพวกคุณ แต่เพราะเวลาที่กระชั้นชิด เลยต้องตัดใจซื้อ ครั้งต่อไปถ้าไม่มีเรื่องเวลา คุณคอยดูว่าฉันจะมาเหยียบที่นี่อีกไหม!”
ผู้จัดการข่งจึงลากพนักขายคนนั้นไปอบรมเสียยกใหญ่
พนักงานชั้นล่างเหล่านี้ไม่ได้ตระหนักถึงรูปแบบของการบริการและระบบว่ามีการปฏิรูปอย่างช้า ๆ ขณะที่ผู้บริหารระดับกลางเหล่านี้ตระหนักถึงความอันตรายในส่วนนี้
ยุคที่ต้องมีการจัดสรรปันส่วนโดยรัฐบาลอาจจะไม่การย้อนกลับ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสามารถล้วน ๆ
ความสามารถของห้างสรรพสินค้าสักห้างคืออะไร? นั่นคือการขาย
ผลักไสไล่ส่งลูกค้าออกไปแบบนี้ จะขายได้อย่างไร แบบนั้นไม่ต่างอะไรกับการเข้าใกล้ความตายเลย?
พนักงานขายคนนั้นมีความผิดจนต้องชดใช้ด้วยการกล่าวขอโทษ ลูกค้ายังไม่ให้อภัยหล่อน ไม่สนใจซื้อเสื้อผ้าในมือของหล่อน
ส่วนแบ่งจากการขายเสื้อผ้าหล่อนก็ไม่ได้รับ แถมเบื้องบนยังตำหนิหล่อน…….
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อย่าคิดดูถูกม่ายจื่อเชียว โดนเอาคืนกลับไปเป็นไงล่ะ เจ็บแสบดีไหม
ใครแอบมองน่ะ อย่าบอกนะว่าพี่หมอฟางมาตามแอบดู
ไหหม่า(海馬)