ตอนที่ 37 ไม่ควรเอาโต้วโต้วมาบังคับฉัน
วันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ หลินม่ายพุ่งตรงเข้าไปในตลาดมืดตั้งแต่เช้าตรู่
แค่ไม่กี่วัน ราคาสินค้าในตลาดมืดก็เพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย จุดสำคัญคือลูกค้าต่างมาจับจ่ายใช้สอยสินค้าสำหรับวันปีใหม่อย่างคลุ้มคลั่ง ยื้อแย่งแข่งขันกันทุกสิ่งอย่าง ราวกับมันเป็นของฟรี
หลินม่ายต้องฝ่าฟันขวากหนามไปตลอดทาง เบียดเสียดรุมทึ้งจนผมเผ้ายุ่งเหยิง เพื่อแย่งชิงตับหมูครึ่งชั่ง กระดูกหมูสองชั่งและเนื้อขาหลังอีกครึ่งชั่ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้นหกหยวน จนเธอถึงกับต้องสูดลมหายใจเย็นเข้าไปหลายครั้งด้วยความปวดใจ
เมื่อซื้อวัตถุดิบประเภทเนื้อเรียบร้อย หลินม่ายก็ตรงไปซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทถั่วและผักสด
ราคาผักสดยังคงที่ ราคาผลิตภัณฑ์ประเภทถั่วแทบจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากโข
หลินม่ายซื้อผักสดสองอย่างและเต้าหู้อีกสองชั่ง และไม่ลืมที่จะซื้อคูปองเสื้อผ้ากับคูปองอื่นๆ จากคนขายคูปองด้วย
วันปีใหม่ใกล้จะมาถึง หลินม่ายต้องซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้แก่สองแม่ลูกและสองผู้เฒ่าสกุลฟาง และยังต้องหาซื้อของขวัญ ซึ่งของเหล่านี้ต้องใช้คูปอง
หลินม่ายออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า สิบโมงก็ยังไม่กลับ เถียหนิวร้อนใจจนอยู่ไม่ได้ อดบ่นกับแม่ของเขาไม่ได้ “รู้งี้ผมไปตลาดมืดกับม่ายจื่อดีกว่า แต่แม่ก็ไม่ยอม ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรกับม่ายจื่อบ้าง”
ยุค 70 ถึงต้นยุค 80 เป็นช่วงเปลี่ยนผันของยุคสมัย จากยุควางแผนเศรษฐกิจเป็นยุคปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศ
เพราะเหตุนี้กฎระเบียบจึงไม่ค่อยเข้มงวดนัก กระทั่งใช้คำว่าเลวร้ายมาอธิบายถึงสถานการณ์ตอนนี้ได้ หัวขโมยเอย นักล้วงกระเป๋าเอย โจรเอยผุดขึ้นไม่น้อย
โจรและนักล้วงกระเป๋าบางคนไร้ซึ่งมนุษยธรรมไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพียงเพื่อชิงของมีค่า แม้แต่คนยังกล้าเข่นฆ่า
แม่เถียหนิวร้อนใจอยู่ภายใน แต่เจ้าลูกชายตัวดีกลับตำหนินาง ทำให้นางไม่พอใจ
กระทั่งมองสองจิ๋วผู้ไม่เคยเข้าใจอะไรสักอย่าง มัวแต่เล่นซ่อนแอบทั่วบ้าน จึงเอ่ยเสียงต่ำอย่างไม่พอใจว่า “แกโตแล้วนะ ทำไมไม่มีแววเสียบ้าง? แกคิดว่าม่ายจื่ออยากให้แกไปเป็นเพื่อนเหรอ รายได้ในแต่ละคืนหล่อนยังต้องแอบนับลับหลังเรา คงอยากให้แกตามหล่อนไปช่วยใช้เงินซื้อของหรอกนะ?”
นางไม่อยากยอมรับว่าตนกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเจ้าลูกชายตัวดี ดังนั้นจึงไม่ให้ลูกชายไปตลาดมืดกับหลินม่ายตั้งแต่เช้าตรู่
หกโมงเช้าท่ามกลางฤดูหนาวในเมืองเจียงเฉิง ท้องฟ้ายังไม่สว่าง ใครเลยจะรู้ว่าจะเจอะเจอกับอันตรายอะไรบ้างระหว่างทาง
เถียหนิวมีนิสัยตรงไปตรงมา พูดไม่ค่อยเก่ง แต่กลับยังตำหนิแม่ของเขาถึงสองประโยค “ม่ายจื่อคำนวณรายได้ลับหลังเราแล้วยังไงครับ? หล่อนเอาเปรียบเราเหรอ? แม่อย่าเอาความใจแคบไปตัดสินหล่อนได้ไหม?”
แม่เถียหนิวโกรธฉุนเฉียว ทะเลาะกับเจ้าลูกชายด้วยเสียงต่ำ “อายุแค่นี้ มีตาหามีแววไม่ แถมยังมาว่าแม่ใจแคบ!”
ในตอนนี้เอง หลินม่ายกลับมาพอดี
แม่เถียหนิวเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว ความโกรธที่แสดงออกมาเมื่อครู่หายไปทันตา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ไอหยา เธอกลับมาแล้ว ฉันและเถียหนิวกำลังเป็นห่วงเธอพอดี!”
หลินม่ายยิ้ม “วันนี้ตลาดมืดคนเยอะไปหน่อย ของก็หาซื้อยาก เลยกลับมาสาย”
กล่าวจบ ก็พับแขนเสื้อเตรียมทำอาหาร แม่เถียหนิวจึงเข้ามาช่วยก่อไฟ
แม้วัตถุดิบจะมีจำกัด แต่หลินม่ายก็ยังรังสรรค์อาหารที่คล้ายคลึงกันขึ้นมาหลายอย่าง
ซุปเต้าหู้ตับหมู ลูกชิ้นหมูราดน้ำแดง กระดูกหมูทอดกระเทียม ไข่ตุ๋นไก่ รวมทั้งเต้าหู้ราดซอสแดงและผัดผักตั้งโอ๋
ผู้ใหญ่สามคนและเด็กน้อยสองคนนั่งล้อมโต๊ะ ดื่มชาแทนเหล้า และกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกชิ้นเนื้อราดซอสแดงที่นุ่มละมุนลิ้นเหมือนกับเต้าหู้ เนื้อส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายหก ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างชื่นชอบ
แม่เถียหนิวกินพลางชำเลืองมองหลินม่ายอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
หลินม่ายถูกมองจึงทำตัวไม่ถูก ลูบศีรษะของตัวเอง แล้วยิ้มแห้งพลางเอ่ยว่า “คุณป้า คุณป้ามองฉันทำไมคะ?”
แม่เถียหนิวรู้สึกผิดขึ้นมา จึงคลี่ยิ้ม แล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ม่ายจื่อ เธอว่าเถียหนิวของฉันเป็นไง?”
หลินม่ายไม่ใช่คนโง่ คำพูดแบบนี้ เกินครึ่งคืออยากเป็นแม่สื่อชักจูง
แม่เถียหนิวอยากเป็นแม่สื่อให้เธอกับลูกชายของตัวเองงั้นเหรอ?
เธอฝืนใจตอบกลับไป “ดีค่ะ อดทนต่อความยากลำบากเก่งดี”
เถียหนิวได้ยินเธอประเมินตนแบบนี้ก็หน้าแดงขึ้นมา แต่ด้วยผิวคล้ำของเขาจึงสังเกตได้ยาก
แม่เถียหนิวรู้สึกยินดีขึ้นมาทันที “อย่าหาว่าฉันโม้เลย เถียหนิวของฉันไม่เพียงแต่อดทนต่อความลำบากได้แล้ว ยังแสนดีกับภรรยาอีกด้วย เธอรู้ไหมว่าทำไมเราถึงได้จนแบบนี้? นั่นเพราะต้องรักษาอาการป่วยให้แม่ของนิวนิวจนบ้านเราไม่เพียงแต่ลำบากเท่านั้น ยังเป็นหนี้เป็นสินอีกด้วย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็รีบเสริมต่อทันทีว่า “แต่หนี้เราได้ใช้คืนไปหมดแล้ว”
จากนั้นก็หยุดชะงักไป แล้วพูดต่อว่า “ฉันคิดว่าหนูคงเข้าใจความหมายของฉันแล้ว ฉันคิดว่าเธอเหมาะสมกับเถียหนิวที่สุด เธอ….เธอจะยินยอมไหม?”
เถียหนิวลำบากใจเป็นที่สุด เขาเคยพูดกับแม่ของตัวเองแล้ว ว่าเขาไม่เคยคิดเกินเลยกับหลินม่าย
แค่อยากหาเงินกับเธอ ให้ชีวิตในครอบครัวดีขึ้น แม่เขากลับไม่ฟังเขา ยังกล้าเปิดประเด็นนี้กับหลินม่ายอีก?
หลินม่ายปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่อยากแต่งงาน ตอนนี้เป็นแบบนี้มันก็ดีอยู่แล้วค่ะ”
“ดีตรงไหนกัน!” แม่เถียหนิวเอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่มีผู้ชายในบ้านได้ยังไง ไม่มีใครเขาทำงานหนักเอาเป็นเอาตายกันแบบนี้หรอกนะ”
นางมองโต้วโต้วแวบหนึ่ง “เธอไม่อยากหาพ่อให้โต้วโต้วเหรอ?”
โต้วโต้วที่ได้ยินนางเรียกชื่อก็เงยหน้าขึ้นมามองหลินม่าย ก่อนจะมองแม่เถียหนิว
แม่เถียหนิวรีบถามโต้วโต้วด้วยความเมตตาว่า “โต้วโต้ว หนูอยากมีพ่อไหมจ๊ะ?”
หลินม่ายตอกกลับอย่างไม่พอใจ “คุณป้า! คุณป้าตั้งใจจะเอาโต้วโต้วมาบังคับฉันเหรอคะ?”
แม่เถียหนิวตะกุกตะกักในทันที “ฉัน…ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนี้ ฉัน….ฉันแค่รู้สึกว่าพวกเธอสองคนต่างก็โสดทั้งคู่ จับมือครองคู่กันก็น่าจะดี….”
หลินม่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณป้า หากคุณป้าขอความเห็นจากฉันก็ไม่มีปัญหา แต่คุณป้าไม่ควรเอาโต้วโต้วมาบีบบังคับฉัน! “
หลังเปิดประเด็นเล็ก ๆ นี้ขึ้นมา ผู้ใหญ่ทั้งสามคนก็กินอาหารฉลองวันสิ้นปีกันอย่างฝืดคอ
แม้แต้สองจิ๋วยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันที่ยากจะระงับได้ และกินข้าวอย่างไม่มีความสุข
หลังจากกินข้าวเสร็จ ครอบครัวเถียหนิวทั้งสามคนก็พากันหอบผ้าหอบผ่อนกลับไปด้วยความอับอาย
หลินม่ายเก็บชามและตะเกียบ คิดจะพาโต้วโต้วกลับหมู่บ้าน
ไม่ใช่เพราะรีบร้อนอยากกลับไปฉลองปีใหม่กับสองเฒ่าสกุลฟางที่บ้านหรอก แต่อยากรับไก่และไข่ไก่มาขายในเมือง
ในตลาดมืดตอนนี้ไม่มีไก่ เป็ด ปลา เนื้อ และไข่เพียงพอสำหรับขาย ถ้าเธอขายได้ คงสร้างเงินได้ไม่น้อย
สองแม่ลูกทำการล็อกประตูบ้าน หลังออกจากบ้านไม่นาน ก็เจอกับผู้จัดการข่งจากห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงกำลังถือของขวัญ กับพนักงานประจำเคาน์เตอร์เสื้อขนสัตว์กำลังถามหาเธอจากชาวบ้าน
ชาวบ้านคนนั้นชี้ไปยังเธอแล้วเอ่ยว่า “หล่อนคือคนที่พวกคุณตามหา”
หลินม่ายมีหน้าตาหมองคล้ำแต่ก็มีโครงหน้าคมสวยในขณะเดียวกัน มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่มีใครเกิน ผู้จัดการข่งและพนักงานคนนั้นจึงจำเธอได้
ผู้จัดการข่งรุดหน้าเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว ส่งยิ้มให้เธอและเอ่ยว่า “สหายหลิน ผมพาพนักงานคนนี้มาขอโทษถึงที่บ้านเลยครับ”
หลินม่ายเห็นท่าทางนี้ ก็รู้ทันทีว่าจดหมายร้องเรียนที่ตัวเองได้เขียนรายงานถึงความประพฤติต่อสำนักหนังสือพิมพ์ได้ผลแล้ว ถึงได้ส่งคนมาเยือนถึงถิ่น
ผู้จัดการข่งตำหนิตัวเองก่อน บอกว่าตนนั้นอบรมสั่งสอนพนักงานถึงจรรยาบรรณของการทำงานไม่ดีพอ ทำให้เธอมีประสบการณ์ที่เลวร้ายต่อห้างสรรพสินค้า เลยให้พนักงานคนนั้นมามอบของขวัญขอโทษหลินม่าย
พนักงานคนนั้นไม่กล้าทำเรื่องอย่างวันนั้น ยอมรับผิดอย่างว่าง่าย วางของที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ “นี่คือของขวัญที่ฉันซื้อด้วยเงินส่วนตัว หวังว่าคุณผู้หญิงจะให้อภัยฉันนะคะ”
หลินม่ายชำเลืองมองของขวัญเหล่านั้นแวบหนึ่ง ซึ่งในนั้นเป็นนมผงสองห่อ นมมอลต์สองกล่องและขนมอีกหลายกล่อง
ในเมื่อยกของขวัญมาให้ถึงที่ แสดงว่าครั้งนี้อีกฝ่ายคงรู้ผิดแล้ว เธอจึงเลือกที่จะให้อภัย
ผู้จัดการข่งจึงวางของขวัญที่ตัวเองนำมาด้วยวางลงบนโต๊ะอาหาร บอกว่าของเหล่านี้เป็นของขวัญที่ทางห้างสรรพสินค้าอยากแสดงความเสียใจต่อเธอ
หลินม่ายรับไว้ทั้งหมด
ผู้จัดการข่งพูดคุยเพียงไม่กี่ประโยค ในที่สุดก็เอ่ยถึงเจตนารมณ์ที่มาในครั้งนี้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไปเลยค่ะ ไปแล้วอย่ามาอยู่บ้านม่ายจื่ออีกนะ โทษใครไม่ได้นอกจากตัวป้าที่โลภมากเอง
ผู้จัดการอยากคุยเรื่องอะไรกับม่ายจื่อกัน?
ไหหม่า(海馬)