ตอนที่ 49 บทสนทนาในห้องปิดตาย
เมื่อทั้งสองอยู่ใกล้กัน ฟางจั๋วหรานก็ได้กลิ่นหอมจาง ๆ จากหลินม่ายอีกครั้ง
ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นบทความบนนิตยสารว่าผู้ชายจะใจเต้นแรงยามได้กลิ่นหอมของผู้หญิงคนที่ใช่
ทว่าเขากลับพบหญิงสาวผิวคล้ำคนนี้เพียงไม่กี่ครั้ง และได้พูดคุยเล็กน้อยเท่านั้น จะใจ้เต้นแรงเพราะเธอได้อย่างไร!
บทความประเภทที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของหลักวิทยาศาสตร์แบบนี้ช่างชวนให้เข้าใจผิด แม้แต่เขาที่เป็นถึงรองศาสตราจารย์ภาควิชาศัลยกรรมก็สับสน
ฟางจั๋วหรานหัวเราะเยาะตนเองในใจ
เมื่ออาหารทะเลตากแห้งถูกแช่และทำความสะอาดเสร็จแล้ว หลินม่ายก็กลับไปที่ห้องโถง เพื่อพูดคุยกับคนอื่นขณะผิงไฟ
เธอรอคอยให้แขกมาถึงเสียก่อนจึงจะเริ่มผัดอาหาร เพื่อที่แขกจะได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศ
ขณะเดียวกันมีเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วดังลอดเข้ามาจากด้านนอก คุณย่าฟางตื่นเต้นมาก รีบลุกขึ้นและเดินไปเปิดประตู “คงจะเป็นครอบครัวของเจ้าใหญ่!”
ใครบางคนพูดทักทายคนที่อยู่ด้านนอกอย่างอบอุ่น “เว่ยกั๋ว พาสะใภ้กับลูกชายมาอวยพรปีใหม่พ่อแม่ด้วยเหรอ?”
น้ำเสียงที่ฟังดูใจเย็นดังลอดออกมาพร้อมกับการตอบรับเสียงสูงเพียงไม่กี่คำ
คุณย่าฟางเปิดประตูออกมา และสั่งให้ครอบครัวของลูกชายคนโตรีบเข้ามาในบ้าน “ทำไมถึงมาช้านักล่ะ?”
ฟางเว่ยกั๋วพูดเบา ๆ “หิมะตกถนนลื่น เลยค่อย ๆ ขับมาน่ะครับ”
หลินม่ายเดิมตามคุณปู่ฟางและหลานชายไปทักทายแขกที่หน้าประตู ขณะเหลือบเห็นรถเก๋งทะเบียนเซี่ยงไฮ้ที่จอดอยู่หน้าประตู
สมัยนี้คนไม่ค่อยใช้รถยนต์ส่วนตัว จะใช้เพียงแต่รถบัสเท่านั้น
ลูกชายคนโตของคุณปู่ฟางสามารถเดินทางมาด้วยรถบัส ไม่ว่าเขาจะเป็นข้าราชการระดับสูงหรือหัวหน้าองค์กรขนาดใหญ่ก็ตาม
ไม่แปลกใจที่ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกจะแต่งตัวไม่ธรรมดา แต่ละคนสวมเสื้อคลุมขนสัตว์แบบสั้นคู่รองเท้าหนังที่ให้ความรู้สึกสมบูรณ์แบบทุกระเบียบนิ้ว
ฟางจั๋วหรานเดินไปข้างหน้าและเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “พ่อ”
เขาหยิบกระเป๋าใบใหญ่และใบเล็กออกจากมือของฟางเว่ยกั๋ว แต่กลับเมินเฉยต่อหวังเหวินฟางผู้เป็นแม่เลี้ยงที่ยืนอยู่ด้านข้างฟางเว่ยกั๋ว แม้แต่หลินม่ายที่เป็นคนนอกยังรู้สึกอึดอัด
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยิบของจากมือหวังเหวินฟาง
ในขณะนั้นเอง หวังหรงที่แต่งกายนำสมัยแบบจัดเต็มก็กระโดดเข้ามาตรงหน้าฟางจั๋วหรานอย่างขี้เล่น พูดออดอ้อน “พี่คะ ตกใจใช่มั้ยล่ะที่เห็นฉัน ประหลาดใจไหมคะ?”
ทว่าการแสดงของหล่อนกลับหยุดชะงักเมื่อเห็นหลินม่ายเดินตามฟางจั๋วหรานออกมา
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเฉยเมย “ไม่รู้ว่าอาทิตย์หนึ่งฉันต้องเจอเธออีกกี่ครั้ง จะมีอะไรให้น่าประหลาดใจอีก”
หวังหรงหน้าเสียไปเล็กน้อย
หวังเหวินฟางผู้เฉียวฉลาดและงดงามได้ส่งของในมือให้หลินม่ายรับช่วงต่อ
ก่อนจะหันไปยิ้มกับคุณปู่และคุณย่า “คุณพ่อคุณแม่น่าจะจ้างพี่เลี้ยงมาตั้งนานแล้วนะคะ ใช่ว่าไม่มีเบี้ยเลี้ยงสำหรับพี่เลี้ยงสักหน่อย”
หลินม่ายเหลือบมองผู้เฒ่าทั้งสองด้วยความประหลาดใจ คาดไม่ถึงว่าพวกเขามีเงินเบี้ยเลี้ยง!
เบี้ยเลี้ยงของพี่เลี้ยงไม่คุ้มค่าพอสำหรับคนบางระดับ
ก่อนหน้านี้เห็นคุณย่าฟางบอกว่าคุณปู่ฟางเคยอยู่ในเมืองหลวงมานานกว่าสิบปี เดาว่าเขาคงจะเป็นข้าราชการระดับสูงที่เกษียณแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากเกษียณแล้ว เขาจะมาใช้ชีวิตสันโดษในชนบท
คุณย่าฟางรู้สึกไม่สบายใจ “เธอพูดไร้สาระอะไร? ฉันกับตาเฒ่ายังเดินได้อยู่ จะมีพี่เลี้ยงไปทำไม! อีกอย่างหล่อนก็เป็นแขกบ้านเรา ชื่อหลินม่าย”
หวังเหวินฟางยิ้มแหย แต่ไม่ได้พูดขอโทษหลินม่าย
ฟางจั๋วเยวี่ย น้องชายต่างมารดาของฟางจั๋วหรานเดินเข้ามาหาหลินม่ายที่ด้านข้าง จ้องมองเธออย่างละเอียดถี่ถ้วน และพูดว่า “แม่สาวงามผิวเข้ม”
หลินม่ายไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ขี้เล่น เธอจึงวางของลงบนโต๊ะอาหารและเดินเข้าไปในห้องครัว เพื่อชงชาให้กับครอบครัวลูกคนโตของคุณย่าฟาง
เมื่อนำชาออกมา เธอพบเพียงแต่ฟางจั๋วเยวี่ยกับหวังหรงที่อยู่ในห้องโถง ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ หายไปไหน
หลินม่ายรู้สึกสงสัยในใจเมื่อได้ยินเสียงของคุณย่าฟางที่จงใจลดระดับเสียงลงดังลอดออกมาจากห้องนอน จากนั้นเธอจึงรู้ว่าฟางเว่ยกั๋วมีเรื่องจะพูดกับคุณปู่ฟางและภรรยาเป็นการส่วนตัว
หลินม่ายหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความสงสัย โดยวางกาน้ำชาลงบนโต๊ะอาหาร และพาโต้วโต้วไปเตรียมอาหารกลางวันที่ห้องครัว
ภายในห้องนอนของคุณย่าฟาง ฟางเว่ยกั๋วทำอะไรไม่ถูก พูดไม่ออก เพียงแต่จ้องมองไปที่พ่อผู้แก่เฒ่าด้วยสายตาผิดหวัง
“พ่อ! ทำไมถึงดื้อด้านแบบนี้ มีพ่อแม่คนไหนบ้างที่ไม่ยอมช่วยลูกตัวเองให้ได้เลื่อนตำแหน่ง เอาแต่พูดถึงหลักการอยู่ได้!”
ตอนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก็ไม่เคยฉุดดึงพี่น้องคนไหนขึ้นไป พอเกษียณแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทำไมถึงได้หัวโบราณแบบนี้?
พ่อดูสหายร่วมรบเก่าอย่างคุณอาหวงสิ ตำแหน่งเขาไม่ได้ดีเด่เท่าของพ่อด้วยซ้ำ ลูกชายที่เขาเลี้ยงดูมาก็ไม่เก่งเท่าเราสามพี่น้อง
“แต่คนพรรค์นั้นกลับกล้าฉุดดึงลูกชายตัวเองขึ้นไป ในขณะที่เราสามคนพี่น้องรวมกันยังไม่ได้ดีเท่าลูกชายของเขาเลย เห็นแบบนี้แล้วพ่อดีใจนักใช่ไหม?”
คุณปู่ฟางเบิกตากว้างด้วยความโกรธ ก่นด่าด้วยเสียงต่ำ “แกมองดูแต่พวกที่คิดคดโกง ทำไมไม่พูดถึงวีรบุรุษที่เสียสละตนเพื่อประเทศชาติบ้างล่ะ? ชีวิตของผู้คนที่ถูกพรากไป ได้อะไรกลับคืนมาไหม?”
อย่าคิดแต่เรื่องเลื่อนตำแหน่งและร่ำรวยไปวัน ๆ หัดอุทิศตนเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองบ้าง!
พ่อไม่เคยใช้อำนาจช่วยเหลือพวกแกมาก่อน และก็จะไม่มีวันใช้เครือข่ายมาปูทางให้พวกแกด้วย พวกแกควรไต่เต้าด้วยความสามารถของพวกแกเอง!
และไม่ว่าจะไต่เต้าไปจนสูงแค่ไหน พ่อก็หวังว่าพวกแกจะไม่หลงลืมว่าพวกแกกำลังต่อสู้เพื่อประเทศชาติอยู่ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว!
ใบหน้าของฟางเว่ยกั๋วหม่นหมองลง ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระต่อตอนบ่าย คงจะอยู่กินข้าวกับพ่อแม่ไม่ได้”
หลังจากวันปีใหม่แล้ว รัฐสภาที่เขาทำงานอยู่จะเลื่อนตำแหน่งให้กับคนที่มีฝีมือ
เขาต้องการให้ชายชราออกไปพูดทักทายผู้บัญชาการระดับสูง เพื่อที่เขาจะได้ไต่เต้าขึ้นไป แต่ชายชรากลับปฏิเสธอยู่เสมอ จนทำให้เขาทุกข์ใจ!
หวังเหวินฟางเดินตามสามีออกจากห้องอย่างเชื่อฟัง
คุณปู่ฟางมองดูลูกชายและลูกสะใภ้ที่เดินจากไป ใบหน้าบูดบึ้งด้วยความขุ่นเคือง
ถึงคุณนายฟางจะรู้สึกลังเล แต่ก็ไม่ได้ฉุดรั้งเอาไว้
ระหว่างลูกชายกับสามี หล่อนมักจะเข้าข้างสามีเสมอ
หล่อนไม่เข้าใจว่าทั้งที่ลูกชายก็มีชีวิตที่ดีแล้ว ทำไมถึงยังไม่พอใจอีก
จะต้องไปเปรียบที่กับคนนู้นคนนี้อยู่เสมอ
ทำไมถึงไม่เปรียบเทียบกับคนธรรมดาบ้าง คนทั่วไปไม่เคยได้ใช้ชีวิตดี ๆ แบบพวกเขาด้วยซ้ำ!
ฟางจั๋วเยวี่ยเหยียดขาทั้งสองขาออกทั้งที่ไม่รู้จะไปที่ไหน ก่อนจะถามพี่ชายใหญ่ฟางจั๋วหรานเกี่ยวกับความเป็นมาของหลินม่าย ทว่าการเพิกเฉยของพี่ใหญ่กลับทำให้เขาผิดหวัง
เขากำลังเรียกให้พ่อแม่มาผิงไฟเมื่อเห็นทั้งสองเดินออกมา แต่กับได้ยินแม่พูดว่า “พ่อมีธุระต้องไปทำต่อ เรากลับกันเถอะลูก”
ฟางจั๋วหรานเหลือบมองหวังเหวินฟางด้วยสายตาเย็นชา
ถ้าพวกเขามีธุระอะไรก็ไปทำสิ จะมาเรียกหาจั๋วเยวี่ยทำไม?
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ได้มีธุระอะไรเสียหน่อย เพียงแค่ไม่เป็นดั่งใจหวัง จึงไม่อยากกินข้าวกับสองเฒ่า การกระทำชัดเจนขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็น!
ฟางจั๋วเยวี่ยขมวดคิ้ว “พ่อแม่มีธุระอะไรก็กลับไปก่อนสิ ผมจะอยู่กินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับ”
“กว่าจะมาหาคุณปู่คุณย่าที่ต่างจังหวัดได้ไม่ง่ายสักนิด ถ้ากลัวว่าฟ้าจะถล่มนักก็ไม่ควรมาแต่แรก”
ฟางเว่ยกั๋วจ้องเขม็งไปที่ลูกชายคนเล็ก เปิดประตูและเข้าไปในรถยนต์พร้อมกับหวังเหวินฟาง
เพื่อนบ้านสองสามคนที่ผ่านมาทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่กินข้าวก่อนไปเหรอจ๊ะ?”
ฟางเว่ยกั๋วอยู่ในท่าทีสงบ “พอดีมีธุระต้องทำน่ะครับ ต้องรีบไปก่อน”
หลินม่ายแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินบทสนทนาที่ดังเข้ามาในห้องครัว วันปีใหม่ทั้งทียังต้องทำงานอีกหรือ?
นอกจากนี้คุณปู่กับคุณย่าฟางยังไม่ได้ออกไปส่งพวกเขา จึงคาดเดาได้ว่าพวกเขารีบออกไปเพราะมีปากเสียงกัน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เห็นแต่ละคนที่มาเยี่ยมสองเฒ่าแล้วหัวจะปวดค่ะ พ่อแม่ก็คิดจะกอบโกย น้องต่างแม่ก็มาหมาหยอกไก่ใส่ม่ายจื่อ ส่วนยัยหรงหรงก็มาตอแยพี่หมอไม่หยุด
ไหหม่า(海馬)