ตอนที่ 57 ใช่ลูกแท้ ๆ หรือไม่
เมื่อซุนกุ้ยเซียงที่หยิ่งยโสและวางอำนาจได้ยินดังกล่าว นางก็ยังคงด่าทอหลินม่ายอย่างต่อเนื่อง ทว่าเสียงด่าทอที่ฟังดูก้าวร้าวกลับเจือแววหวาดกลัว กลับกลอกไปมาราวกับปิดบังความผิด
หลินเพ่ยปลดปล่อยความคับข้องใจให้เป็นไปตามคำพูดของซุนกุ้ยเซียง และหันไปพูดกับหลินม่ายอย่างไร้เดียงสา “ดูสิ พี่ไม่ได้อยากไปแทนที่เธอในโรงเรียนสักหน่อย แต่มันเป็นความตั้งใจของพ่อกับแม่”
หล่อนไม่ได้หวั่นเกรงที่จะยอมรับต่อหน้าชาวบ้านว่าตนไปโรงเรียนแทนหลินม่าย
ในยุคสมัยนี้ อย่าว่าแต่พี่น้องไปโรงเรียนในนามของกันและกันเลย ต่อให้พวกเขาให้คนนอกเข้ามาแทนก็ไม่มีใครสนใจนัก
ดังนั้นสถานการณ์แบบนี้จึงเป็นเรื่องปกติในยุคนี้ และคงจะดีถ้าไม่มีใครรายงาน
ผู้คนจะรายงานก็ต่อเมื่อมีใครบางคนล้ำเส้นกันเกินไป
หลินม่ายเขยิบเข้าไปใกล้หล่อนมากขึ้น “ก็ได้ แต่ถึงพ่อแม่จะให้เธอไปเรียนในชื่อฉัน แต่เธอจำเป็นจะต้องแต่งตัวดูดีแบบนี้ด้วยเหรอ?”
วันนี้หลินเพ่ยสวมใส่เสื้อแจ็คเก็ตที่ทำมาจากผ้าใยสังเคราะห์ ซึ่งเป็นสินสอดที่บ้านสกุลอู๋มอบให้หลินม่าย
ผ้าใยสังเคราะห์นับว่าเป็นผ้าคุณภาพสูงสำหรับชาวบ้านบนภูเขา
หลินม่ายกระชากเสื้อแจ็คเก็ตใยสังเคราะห์ที่ปักลายดอกไม้สวยงามอยู่บนกระเป๋า “เธอเอาเศษผ้าที่บ้านสกุลอู๋ยกให้ฉันไปขายที่ตลาดมืดมานี่ เอาเงินนั้นไปค้ำจุนครอบครัวไม่ดีกว่าหรือไง?”
“แต่เธอกลับให้ที่บ้านเอาเงินไปจ้างช่างตัดเย็บผ้าทำเสื้อผ้าให้ แล้วยังมีหน้าไม่ยอมรับว่าตัวเองเห็นแก่ตัว ไม่นึกถึงครอบครัวบ้างหรือไง!”
เห็นแก่ตัวจนไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับใครในครอบครัว!
สาปแช่งคนอื่นเพื่อประโยชน์ของตนเอง!
หลินเพ่ยพูดแก้ต่างทั้งน้ำตาคลอ “ตอนนี้ฉันเป็นนักเรียนมัธยมปลายแล้ว ฉันควรจะได้แต่งตัวดี ๆ สิ ไม่งั้นเพื่อนร่วมชั้นจะดูถูกเอา…”
หลินม่ายเยาะเย้ย “ศักดิ์ศรีมันสำคัญนักหรือไง? สำคัญมากกว่าความทุกข์ยากของคนในครอบครัวงั้นเหรอ! เธอไม่เคยมองดูชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวเลยสินะ!”
เติ้งซิ่วจือพยายามตั้งใจฟังคำพูดของหลินม่ายที่พูดกับหลินเพ่ย
ยิ่งฟังมากเท่าไร หล่อนก็ยิ่งรู้สึกว่าน้องสามีมีเหตุผลมากเท่านั้น และยิ่งรู้สึกเกลียดหลินเพ่ยมากขึ้น
เมื่อซุนกุ้ยเซียงเห็นว่าหลินม่ายยังจับไม่ได้ว่านางใช่แม่ผู้ให้กำเนิดหรือไม่ จึงหันไปโต้เถียงกับหลินม่ายด้วยถ้อยคำรุนแรงเหมือนเดิม
“ฉันกับพ่อแกอยากให้พี่เขาได้แต่งตัวดี ๆ แกอย่าเอาแต่อิจฉานักเลย อิจฉาไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ฉันกับพ่อก็แค่อยากให้พี่เขาได้แต่งตัวสวย ๆ แล้วแกจะทำไม!”
ถึงพี่สาวคนโตจะเรียนไม่เก่ง แต่หล่อนก็เข้ากับเพื่อนร่วมชั้นเพศชายได้ดี
ย้อนกลับไปตอนมัธยมต้น อู๋เสี่ยวเจี้ยนหลงใหลในตัวหล่อนมากจนขโมยข้าวสารไข่ไก่จากที่บ้านมาทำอาหารให้หล่อนบ่อยครั้ง
อู๋เสี่ยวเจี้ยนยังมอบเงินทุกเฟินที่มีติดตัวให้กับหล่อน
ตอนนี้ลูกสาวคนโตอยู่มัธยมปลายแล้ว อีกทั้งยังน่าหลงใหลยิ่งกว่าเดิม และหล่อนเข้ากันได้ดีกับลูกชายคนเล็กของเถ้าแก่โรงงานผลิตอาหารประจำมณฑล
แม้ลูกสาวคนโตจะเรียนไม่เก่ง แต่ถ้าในอนาคตหล่อนได้แต่งงานกับลูกชายคนเล็กของเถ้าแก่โรงงานผลิตอาหาร หล่อนก็จะสามารถเข้าไปเป็นคนงานในโรงงานผลิตอาหารได้
หล่อนสามารถเกลี้ยกล่อมผู้คน เกลี้ยกล่อมพ่อและแม่สามีให้พาพี่ชายและพี่สะใภ้เข้าไปทำงานในโรงงานได้ แบบนี้มันไม่ง่ายกว่าเหรอ?
เนื่องจากมองเห็นผลประโยชน์ดังกล่าว ซุนกุ้ยเซียงที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาวจึงยอมลงทุนให้กับหลินเพ่ย
หลินม่ายไม่โกรธเลยหลังจากได้ยินคำพูดของซุนกุ้ยเซียง เธอหันไปพูดกับเติ้งซิ่วจือ “ฉันเป็นลูกสาวที่ถูกจับแต่งงานออกจากบ้านไปแล้ว ผลประโยชน์ของบ้านสกุลหลินไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันทั้งนั้น”
พี่คงได้ยินแล้วว่าแม่ลำเอียงให้หล่อนขนาดนั้น ขนาดที่ว่าครอบครัวยากจนจนต้องขโมยเงินของต้าโก่วกับเอ้อโก่ว แต่พ่อแม่ก็ยังอยากให้หล่อนแต่งตัวสวย ๆ
“พ่อแม่ฉันชอบหล่อนมาก อีกหน่อยพี่กับพี่ใหญ่ก็ต้องมีความผิดคล้ายกันกับฉัน ผลประโยชน์ของครอบครัวไม่มีทางตกมาถึงพี่หรอก แต่จะถูกหล่อนดูดไปจนหมด จนน่าเวทนาเลยล่ะ!”
เมื่อพูดจบ เธอก็ยื่นน้ำตาลทรายแดงสองถุงให้เติ้งซิ่วจือ “ในเมื่อแม่ใจร้าย ลูกสาวก็อกตัญญู เดิมทีฉันซื้อน้ำตาลทรายแดงสองถุงนี้มาให้แม่ แต่ในเมื่อหล่อนใจร้ายกับฉัน ฉันก็จะยกให้พี่สะใภ้แล้วกัน”
เติ้งซิ่วจือลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับมา
หลินม่ายหยิบธนบัตรหลายสิบใบออกมาจากกระเป๋า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงห้าเหมาหรือสองเหมาที่ไม่ได้มีมูลค่าสูงนัก แต่ก็มีหลายสิบใบ
ทุกคนต่างจับจ้องด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง มันคือเงินจำนวนมากในสายตาของชาวบ้าน
โดยเฉพาะซุนกุ้ยเซียงที่พยายามจะพุ่งตัวออกไปคว้า
หลินม่ายหยิบธนบัตรสองใบขึ้นมาจากกองธนบัตรทั้งหมดและยื่นให้ต้าโก่วกับเอ้อโก่ว “นี่เงินอั๋งเปาจากคุณน้านะจ๊ะ”
เติ้งซิ่วจือถามด้วยความประหลาดใจ “ม่ายจื่อ ไปเงินพวกนี้มาจากไหน?”
หลินม่ายพูดเบา ๆ ว่า “ไปทำธุรกิจในเมืองมาน่ะ” จากนั้นเธอก็จากไป
ซุนกุ้ยเซียงร้องตะโกนอย่างหมดหนทาง “จะไปไหนก็ไปแต่เอาเงินมานี่ ฉันเลี้ยงแกมาโตป่านนี้ ได้เงินมาแล้วจะอกตัญญูแบบนี้ได้ยังไง?”
หลินม่ายหยุดก้าวเท้า “แต่ฉันไม่ได้อยู่ในบ้านสกุลหลินแล้ว และก็ไม่ได้อกตัญญูคุณด้วย”
ซุนกุ้ยเซียงตะโกนโวยวายใส่ชาวบ้านที่มาดึงรั้งนางไว้ “พวกแกปล่อย ปล่อยสิยะ ฉันจะไปตามล่านังม่ายจื่อ!”
ทว่าชาวบ้านต่างฉุดรั้งนางเอาไว้แน่นกว่าเดิม “แม่ม่ายจื่อ ลูกสาวคุณแต่งงานออกไปบ้านคนอื่นแล้ว ไม่ว่าหล่อนจะหาเงินมาได้มากเท่าไหร่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับบ้านสกุลหลิน…”
ซุนกุ้ยเซียงดิ้นและตะคอก “ฉันไม่สน ฉันจะเอาเงินจากหล่อน ฉันจะเลี้ยงมันเสียข้าวสุกไม่ได้!”
หลินม่ายเดินเร็วมาก จนแทบจะวิ่งลงจากภูเขา
เธอกลัวว่าคนบ้านสกุลหลินจะตามมาทันและมาเอาเงินจากเธอไป
หากเธอถูกปล้นเงินไป พวกชาวบ้านจะทำได้เพียงถอนหายใจ และช่วยอะไรเธอไม่ได้อยู่ดี เพราะคนที่ปล้นเงินเธอไปคือญาติของเธอเอง
ถึงแม้ว่าบนร่างกายของเธอจะมีเงินเพียงไม่กี่สิบหยวน และไม่ได้มีมูลค่าอะไรกับเธอมากนัก แต่นี่ก็เป็นเงินที่เธอหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเธอ จะปล่อยให้พวกสัตว์เดรัจฉานเอาไปไม่ได้!
เธอออกจากหมู่บ้านสกุลหวังประมาณสี่โมงเย็น แม้ว่าเธอจะขอให้ใครสักคนปั่นจักรยานพาเธอไปบ้านสกุลฟาง แต่อย่างน้อยเธอก็น่าจะถึงที่นั่นประมาณสองทุ่ม
ยุคสมัยนี้ต่อให้เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่ก็ไร้ซึ่งความปลอดภัย หลินม่ายไม่กล้าเดินเพียงลำพังในตอนกลางคืน
เธอไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินต่ออีกสามชั่วโมงไปที่เมืองเสี่ยวเหอ และพักในโรงแรมที่นั่น
โรงแรมในเมืองเสี่ยวเหอไม่ได้ไร้ชีวิตชีวาเหมือนกับในเมืองซื่อเหม่ย เมื่อหลินม่ายจ่ายเงิน พนักงานต้อนรับจะต้อนรับอย่างดี
ร้านขายขนมกินเล่นของทางรัฐปิดแล้ว ถึงแม้ว่าทางโรงแรมจะมีอาหารขาย แต่ราคาก็แพงมาก
แต่หลินม่ายไม่ได้สนใจ เธอซื้อบะหมี่เนื้อฉีกในราคาหนึ่งหยวนมากิน
โรงแรมในชนบทไม่มีฝักบัว มีเพียงอ่างล้างเท้าและอ่างอาบน้ำ
แม้ว่าอ่างล้างเท้าและอ่างอาบน้ำจะดูไม่สกปรก แต่หลินม่ายไม่กล้าใช้เพราะไม่รู้ว่ามันผ่านการใช้งานมาแล้วกี่คน
เธอเพียงต้องการน้ำมาล้างหน้า บ้วนปากและงีบหลับ
เมื่ออยู่ข้างนอก เรื่องสุขอนามัยต้องมาเป็นอย่างแรก พยายามสกปรกให้น้อยที่สุด
หลินม่ายไม่รู้สึกง่วงสักนิดแม้ว่าวันนี้เธอจะต้องเดินทางตลอดทั้งวัน ในหัวของเธอมีเรื่องให้คิดมากมาย
เธอรวมรวมเรื่องราว และค่อย ๆ คิดทีละเรื่อง
ประการแรกคือเธอเป็นลูกแท้ ๆ ของหลินเจี้ยนกั๋วกับภรรยาหรือไม่
เมื่อพิจารณาจากทัศนคติที่พวกเขามีต่อเธอ และสายตาตื่นตระหนกของซุนกุ้ยเซียงในวันนี้ เธอก็น่าจะไม่ใช่ลูก ๆ ของพวกเขา
หลินเพ่ยกับหลินสงค่อนข้างคล้ายกัน แต่เธอไม่เหมือนพวกเขาเลยสักนิด
ในชาติที่แล้วเธอเคยถามคำถามนี้กับซุนกุ้ยเซียง และซุนกุ้ยเซียงตอบกลับมาว่าเธอเหมือนยาย
แต่เธอไม่เคยเห็นยายมาก่อน จะรู้ว่าเหมือนหรือไม่เหมือนได้อย่างไร!
แม้จะมีข้อสงสัยอยู่เต็มไปหมด แต่ชาติที่แล้วเธอก็ไปตามหาความจริงจากในโรงพยาบาล หลังจากตรวจสอบไปตรวจสอบมา เธอก็พบว่าตนเองคือลูกที่เกิดจากคู่สามีภรรยาซุนกุ้ยเซียง
หรือว่าเธอจะพลาดอะไรบางอย่างไป?
เอาไว้มีเวลาจะต้องไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อดูว่ามีข้อมูลใหม่ ๆ หรือไม่
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มาเสี้ยมแล้วก็จากไป ปล่อยให้คนบ้านนั้นมันตีกันเอง แผนเริดมากค่ะ
น่าจะมีการปลอมแปลงข้อมูลในสูติบัตรหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)