ตอนที่ 58 ขอเงินอั่งเปาหน่อย
ประการที่สองที่หลินม่ายกำลังนึกถึงก็คือวันนี้เธอไปแสดงตัวที่หมู่บ้านสกุลหวังให้ชาวบ้านเห็นแล้วว่าเธอเกลียดหลินเพ่ยกับซุนกุ้ยเซียงมากแค่ไหน อีกทั้งยังทำให้เติ้งซิ่วจือรู้สึกขุ่นเคืองซุนกุ้ยเซียงกับลูกสาว
เมื่อใดที่สำนักสันติบาลมาตรวจสอบ แล้วทางชาวบ้านให้การว่าเธอมีความขัดแย้งกับบ้านสกุลหลิน รวมถึงเติ้งซิ่วจือที่ขุ่นเคืองแม่ย่ากับน้องสาวสามี ในฐานะที่พวกเขาจะต้องมีส่วนในการรับผิดชอบคดีฉ้อโกงงานแต่งงานถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เธอก็ไม่ต้องกลัวว่าทางซุนกุ้ยเซียง ลูกสาวและบ้านสกุลอู๋จะปรักปรำเธอได้อีก
เธอจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงงานแต่งงาน และไม่ต้องได้รับโทษทางกฎหมาย
ระหว่างการสอบสวนอย่างเข้มงวด มันคงน่าสังเวชน่าดูถ้าพวกเขามีส่วนร่วมและถูกพิพากษาให้จำคุก
เธอมีความรู้สึกแปลก ๆ วันนี้เธออยู่ในหมู่บ้านสกุลหวังเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ทำไมเธอถึงไม่เห็นหลินเจี้ยนกั๋วกับลูกชายเขาเลย ช่วงเทศกาลปีใหม่นี้พวกเขาหายไปไหนกัน?
ครอบครัวของพวกเขาเป็นคนต่างถิ่น และไม่มีญาติให้ไปหา
เมื่อนึกไม่ออกว่าหลินเจี้ยนกั๋วกับลูกชายไปไหน หลินม่ายจึงไม่อยากคิดมาก กลับนึกถึงทัศนคติของซุนกุ้ยเซียงที่มีต่อหลินเพ่ย
แม้ว่าหลินเพ่ยจะมีไหวพริบปฏิภาณ สามารถพูดเกลี้ยกล่อมคนทั้งครอบครัวได้ แต่ซุนกุ้ยเซียงไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่โลภในสิ่งที่หลินเพ่ยวาดฝันเอาไว้ให้ ถึงจะยังวางใจได้ไม่เต็มที่ แต่ก็ไม่น่าจะปกป้องหลินเพ่ยมากเหมือนในวันนี้
นางปกป้องหลินเพ่ยมาก และความเป็นไปได้น่าจะมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือนางมองเห็นและเกือบสัมผัสภาพเพ้อฝันแผ่นใหญ่ที่หลินเพ่ยวาดไว้ให้ได้แล้ว
สิ่งนี้ทำให้หลินม่ายนึกถึงชีวิตในชาติที่แล้ว ตอนที่หลินเพ่ยเรียนอยู่ในชั้นมัธยมตอนปลาย เธอเข้ากันได้ดีกับเพื่อนร่วมชั้นชายคนหนึ่งที่พ่อเป็นผู้จัดการโรงงานผลิตอาหารประจำมณฑล
เพื่อนร่วมชั้นชายคนนั้นหลงใหลในบุคลิกที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนของหล่อน และไม่ว่าครอบครัวจะคัดค้านยังไง เขาก็จะแต่งงานกับหล่อน
เธอจำได้ว่าหลังจากหลินเพ่ยเรียนจบจากชั้นมัธยมตอนปลายไม่นาน ชายผู้มีจิตใจเรียบง่ายและไร้เดียงสาก็เกลี้ยกล่อมให้พ่อแม่มาสู่ขอหลินเพ่ยที่บ้านสกุลหลิน
ในตอนนั้นหลินเจี้ยนกั๋วกับภรรยาเสนอเงื่อนไขที่ละโมบมาก โดยกล่าวว่าถ้าเขาต้องการแต่งงานกับหลินเพ่ยย่อมไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่พวกเขาจะต้องให้ลูกชายและลูกสะใภ้เข้าไปทำงานในโรงงานผลิตอาหาร
ส่วนเรื่องพ่อแม่ของฝ่ายชายจะให้หลินเพ่ยทำงานเป็นพนักงานประจำในโรงงานผลิตอาหารหรือไม่นั้นพวกเขาไม่ได้สนใจ
ถึงแม้ว่าหลินเจี้ยนกั๋วกับภรรยาจะปฏิบัติต่อหลินเพ่ยดีกว่าเธอพันเท่า แต่เมื่อเทียบกับหลินสง ในสายตาของหลินเจี้ยนกั๋วกับภรรยา หลินเพ่ยเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการผลักดันหลินสงให้มีชีวิตดีขึ้นเท่านั้น
ที่ซุนกุ้ยเซียงดีต่อหลินเพ่ยมาก เป็นเพราะนางมองเห็นโอกาสของหลินเพ่ยกับเด็กชายคนนั้น
หลินม่ายจำเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ
ผู้ชายคนนั้นชื่อว่าอะไรนะ? ดูเหมือนจะถูกเรียกว่าจินปอ
พรุ่งนี้เธอจะเดินทางไปที่อำเภออวิ๋นไหลที่หลินเพ่ยกำลังศึกษาอยู่ และบอกความจริงเกี่ยวกับการสลับเปลี่ยนตัวของหลินเพ่ยแก่จินปอ บอกว่าเธอถูกหลอกให้แต่งงานเพื่อเอาเงินสินสอดมาเป็นค่าศึกษาเล่าเรียนต่อ
จะต้องช่วยจินปอโดยการทำลายสายสัมพันธ์ของพวกเขา ก่อนที่เขาจะรักหลินเพ่ยมากจนถลำลึกลงไป
เธอจำได้ว่าในชาติที่แล้วหลินเพ่ยใช้จินปอเป็นบันไดปีนขึ้นไปเจอผู้ชายที่ดีกว่า จากนั้นจึงเตะเขาทิ้ง
การเตะเขาทิ้งอย่างเดียวคงไม่เป็นไร แต่หล่อนกลับใช้ให้เขายักยอกเงินหลวงก่อนจะทิ้งไป พ่อของเขายอมเป็นผู้รับผิดแทนเพื่อไม่ให้เขาไม่ต้องติดคุก
พ่อต้องมาติดคุก หนำซ้ำยังถูกภรรยาทอดทิ้ง จินปอทนไม่ไหวจึงกลายเป็นบ้าในที่สุด
หลินเพ่ยนึกถึงแต่ตัวเอง หล่อนไม่เคยมอบความจริงใจให้ใครเลย ใครก็ตามที่ตกหลุมรักหล่อนจะต้องพบกับความพินาศ
ตราบใดที่จินปอเลิกสนใจหลินเพ่ย ภาพความฝันที่หลินเพ่ยขายให้แก่ซุนกุ้ยเซียงก็จะไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป
เมื่อซุนกุ้ยเซียงไม่เห็นประโยชน์ หลินเพ่ยจะยังมีชีวิตที่ดีอยู่อีกหรือ?
ถึงตอนนั้นแม่กับลูกสาวจะต้องต่อสู้จนเกิดความโกลาหลแน่ และบ้านสกุลหลินจะต้องครึกครื้น
หลินม่ายครุ่นคิด ขณะที่ความเหน็ดเหนื่อยโถมเข้าใส่ราวคลื่นยักษ์ ทำให้เธอผล็อยหลับไปในที่สุด
……
ชาวบ้านที่ขัดขวางซุนกุ้ยเซียงเอาไว้ปล่อยซุนกุ้ยเซียงออกมาหลังจากคิดว่าหลินม่ายวิ่งหนีไปไกลจนไม่สามารถตามไปจับทัน
ทุกคนพูดปลอบนางเพียงไม่กี่คำ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไป
ซุนกุ้ยเซียงไม่คิดยอมแพ้ ยังคงบ้าคลั่งไล่ตามหลินม่ายต่อไป ขณะที่ลมหนาวพัดผ่านต้นไม้กลางภูเขา นางจะเห็นแม้แต่เส้นผมของหลินม่ายได้อย่างไร?
ซุนกุ้ยเซียงกลับมาที่บ้านด้วยความขุ่นเคือง และเห็นเติ้งซิ่วจือเตรียมน้ำตาลทรายแดงให้กับลูกทั้งสองคน และยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นหลานทั้งสองคนยกถ้วยน้ำตาลในมือขึ้นมากิน
ครอบครัวของพวกเขาไม่ควรแบ่งแยกกัน และบางอย่างควรให้แม่ย่าเป็นคนจัดแจงให้ ลูกสะใภ้กล้าดีอย่างไรมาตัดสินใจเปิดถุงน้ำตาลทรายแดงให้หลานทั้งสองคนดื่ม!
แต่ก่อนเติ้งซิ่งจือไม่กล้าทำแบบนั้น แต่วันนี้หล่อนกล้าทำมัน นั่นเป็นเพราะหล่อนถูกนังสารเลวหลินม่ายยั่วยุ
ซุนกุ้ยเซียงพยายามระงับความทุกข์ระทมในใจ และพูดถาม “ซิ่วจือ เงินอั่งเปาที่หลินม่ายให้หลานทั้งสองล่ะ?”
เติ่งซิ่วจือนั่งยอง ๆ อยู่ในสนาม ล้างมันเทศอย่างสุดกำลัง
เทศกาลปีใหม่ยังไม่จบ มีใครในหมู่บ้านไม่ได้กินข้าวขาวบ้าง มีแต่ครอบครัวของหล่อนที่ได้กินมันเทศนึ่ง!
การกินมันเทศไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่พอจะกินอีก แม่ย่ากลับไม่ยอมให้ปอกเปลือก
ครอบครัวของเติ้งซิ่วจืออาศัยอยู่ในภูเขาลึก มีป่ารกร้างยิ่งกว่าบ้านสกุลหวัง
ตอนที่แม่สื่อไปสู่ขอหล่อนแต่งงานที่บ้าน พ่อแม่หล่อนคิดว่าบ้านสกุลหลินอาศัยอยู่บนภูเขาลูกใหญ่ ใกล้กับปากทางลงภูเขา สถานที่ตั้งดีเยี่ยมและน่าจะมั่งคั่งมากกว่าหมู่บ้านของพวกหล่อน
บ้านสกุลหลินมาจากในเมือง จะต้องไม่ทุบตีลูกสะใภ้เป็นแน่ ดังนั้นหล่อนจึงแต่งงานกับหลินสง
หล่อนคาดหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีตั้งแต่นั้นมา แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่านอกจากหลินม่ายแล้ว จะไม่มีใครในบ้านสกุลหลินทำสวนเป็น และชีวิตความเป็นอยู่ก็ไม่ได้ดีเหมือนกับบ้านพ่อแม่ของหล่อน
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความดีของหลินสงที่มีต่อลูกทั้งสอง หล่อนคงหดหู่ใจตายไปนานแล้ว
เมื่อได้ยินแม่สามีพูดเรื่องเงินอั่งเปา หล่อนจึงตอบโต้อย่างขุ่นเคืองว่า “ฉันเก็บไปแล้ว ทำไมคะ?”
แม่ย่าขโมยเงินทุกเฟินที่หลินม่ายเอาให้สองพี่น้องโก่วไปซื้อลูกแก้ว เติ้งซิ่วจือจะหยิบเงินอั่งเปาสองหยวนของลูก ๆ ให้นางอีกได้อย่างไร มันไม่ใช่สิ่งที่แม่สามีจะมาเอาไปได้!
เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของเติ้งซิ่วจือฟังดูไม่สู้ดีนัก ซุนกุ้ยเซียงก็หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
นางไม่สามารถก่นด่าหรือทุบตีลูกสะใภ้เหมือนกับนังสารเลวหลินม่ายได้
หากสามีกับนางแก่ตัวลง พวกเขาจะต้องพึ่งพากำลังสนับสนุนของลูกสะใภ้กับลูกชาย เพราะฉะนั้นนางจะไม่ทำตัวแข็งกระด้างกับลูกสะใภ้
ลูกชายเชื่อฟังลูกสะใภ้มาก และมีความสัมพันธ์อันดีงามกับลูกสะใภ้ รอจนพวกเขาแก่ตัวไป นางจะทำอย่างไรถ้าลูกสะใภ้สั่งไม่ให้ลูกชายมอบเงินค่าเลี้ยงดูยามชราให้พวกเขา?
ซุนกุ้ยเซียงอดทนและพูดว่า “ซิ่วจือ เพื่อความปลอดภัย เอาเงินอั่งเปามาให้แม่เก็บเถอะ”
ใบหน้าของเติ้งซิ่วจืออึมครึ้มในทันที “ฉันยังไม่ตายและก็ไม่ใช่คนโง่ ทำไมฉันจะเก็บเงินอั่งเปาลูกไว้ไม่ได้ ทำไมฉันจะต้องให้แม่เก็บเพื่อรักษาความปลอดภัยด้วย!”
ซุนกุ้ยเซียงตกตะลึงจนแทบจะยืนไม่ไหว
ลูกสะใภ้ผู้นี้เก็บเอาคำพูดยั่วยุของหลินม่ายมาใส่ใจอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เช่นนั้นหล่อนคงไม่พูดด้วยทัศนคติเช่นนี้
ซุนกุยเซียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ซิ่วจือ เราจะมองระยะสั้นไม่ได้ ต้องมองระยะยาว”
“แม่รู้ว่าความคับข้องใจเรื่องต้าโก่วกับเอ้อโก่วทำให้ลูกไม่มีความสุข”
“แต่หลังจากที่เพ่ยเพ่ยได้ดี บ้านเราก็มีทางสว่าง”
“ลูกอย่าไปฟังคำยั่วยุของนังสารเลวหลินม่ายที่พยายามตีจากพวกเราเลย”
เติ้งซิ่วจือเยาะเย้ย “หลินเพ่ยเรียนได้คะแนนแย่แบบนั้นจะได้ดีได้ยังไงคะ?”
ซุนกุ้ยเซียงพยายามอดทนอย่างหนัก “แม่จะบอกความจริงอะไรให้ เพ่ยเพ่ยกำลังคบอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นที่มีพ่อเป็นผู้จัดการโรงงานผลิตอาหาร”
“ในอนาคต ถ้าเพ่ยเพ่ยได้แต่งงานกับเพื่อนร่วมชั้นชายคนนั้น หล่อนจะขอพ่อปู่ให้พาสามีลูกและลูกเข้าไปทำงานในโรงงานผลิตอาหาร”
“ต่อจากนี้ไปครอบครัวของลูกจะได้เป็นคนในเมือง ดีกว่าเป็นคนโง่เขลาอยู่ในชนบทใช่ไหมล่ะ?”
“เพราะงั้นลูกเอาเงินอั่งเปาสองหยวนมาให้แม่ซะ แม่จะเก็บไว้เป็นค่าตัดเย็บเสื้อผ้าในฤดูใบไม้ผลิให้เพ่ยเพ่ย ”
“พระพุทธรูปต้องมีทองหุ้ม คนก็ต้องมีเสื้อห่อ เพ่ยเพ่ยต้องใส่ชุดสวย ๆ ผู้ชายจากบ้านฐานะดีถึงจะสังเกตเห็นหล่อน”
ก่อนจะมองดูลูกสะใภ้อย่างกระตือรือร้น
หัวใจของเติ้งซิ่วจือเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินว่าหล่อนและสามีมีโอกาสจะได้ทำงานในโรงงานผลิตอาหาร
ทว่าสิ่งต่าง ๆ ยังไม่ชัดเจน อีกฝ่ายแค่อยากจะหลอกเอาเงินอั่งเปาจากหลานทั้งสองเท่านั้น เพราะฉะนั้นหล่อนจะไม่มีทางให้!
หลินเพ่ยกล่าวว่าหล่อนกำลังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกชายผู้จัดการโรงงานผลิตอาหาร
แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้แต่งงานกันในสามปีให้หลัง เงินอั่งเปาของลูกทั้งสองก็จะต้องถูกหลอกไปโดยเสียเปล่าไม่ใช่หรือ?
หล่อนจึงพูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าลูกชายผู้จัดการโรงงานผลิตอาหารไม่มาหมั้นหมายกับน้องสามีในวันพรุ่งนี้ ฉันก็จะไม่มีวันเอาเงินสองหยวนไปเป็นค่าตัดชุดใหม่ให้หล่อนเด็ดขาด ทีลูกฉันยังต้องอยู่ในสภาพโกโรโกโสเลย!”
ซุนกุ้นเซียงยอมแพ้หลังจากพยายามโน้มน้าวใจลูกสะใภ้อย่างสุดกำลัง
ครุ่นคิดกับตนเองว่ารอจนกว่าชายผู้นั้นกับลูกชายจะกลับมาจากในเมือง จากนั้นจึงค่อยเอาเงินสองหยวนจากลูกสะใภ้
ซุนกุ้ยเซียงรู้สึกประหม่ามากเมื่อนึกถึงชายผู้นั้นกับลูกชายของเธอ
แม้ว่าจะผ่านมาเป็นสิบกว่าปีแล้ว แต่นางก็ยังหวาดกลัวอยู่ดี กลัวว่านางกับสามีจะติดคุก…
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดีมากที่ไม่ให้ พี่สะใภ้ตาสว่างแล้วสินะ
ครอบครัวนี้มีคดีอะไรติดตัวหรือเปล่าเนี่ย ทำไมถึงได้ดูหวาดกลัวเวลาจะเข้าเมืองนัก
ไหหม่า(海馬)