มเคย
พอเขาเห็นว่าโต้วโต้วได้รับของขวัญเป็นหมาป่าตัวน้อยก็รู้สึกอิจฉามาก อดทนรอจนกระทั่งฟางจั๋วหรานจากไปแล้ว จึงกล้าเดินเข้าไปใกล้หวังเล่นกับลูกสุนัขตัวนั้น
แต่โต้วโต้วไม่ชอบหน้าเขา เลยไม่อนุญาตให้เขาแตะต้องลูกสุนัขของตัวเอง
เมื่อเด็กชายร่างอ้วนไม่ได้ดั่งใจก็ยกกำปั้นขึ้นหวังจะทุบตีเธออีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่หมัดของเขาจะถูกเนื้อตัวของโต้วโต้ว โต้วโต้วกลับล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ทำท่าทางเหมือนถูกอีกฝ่ายรังแก
หล่อนร้องเสียงดัง “นายยังกล้าตีฉันอีกเหรอ? เชื่อไหมว่าถ้าฉันเอาขนมอร่อย ๆ ให้เสี่ยวเฉียงกับคนอื่นกิน พวกเขาต้องตามไปทุบตีนายถึงบ้านแน่!”
ต้าเป่าเข็ดหลาบจากการถูกเสี่ยวเฉียงและคนอื่น ๆ ทุบตี ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่กล้ารังแกโต้วโต้วอีก วิ่งปร๋อกลับไปที่แผงลอยของตัวเอง
โต้วโต้วลุกขึ้นจากพื้นอย่างสงบ ปัดฝุ่นผงตามตัว ก่อนจะนั่งลงบนรถเข็นเพื่อเล่นกับหมาป่าตัวน้อยต่อไป
เด็กชายร่างอ้วนผู้มีพลังล้นเหลือไม่คิดช่วยแม่ของตัวเองทำมาหากินแต่อย่างใด กลับเล่นซนสร้างปัญหาให้กับคนอื่น ๆ ไปทั่ว
เจ้าของแผงลอยทุกร้านต่างก็ไม่ชอบหน้าเขา แต่พวกเขาจะจัดการกับเด็กคนนี้อย่างไรดี?
เจ้าของแผงลอยที่ขายขนมงาทอด(1)เกือบถูกต้าเป่าก่อความวุ่นวายอย่างยากจะรับมือ ก่อนเรื่องราวจะบานปลาย เขาหยิบขนมงาทอดมายื่นให้ต้าเป่าโดยตรง “เอานี่ไปกินซะ แล้วอย่ามาวุ่นวายกับร้านฉันอีก”
เด็กชายร่างอ้วนได้รับสินบนเป็นขนมงาทอดแล้ว จึงไม่ไปสร้างปัญหาให้แผงลอยนั้นอีกเลย
เมื่อแผงลอยร้านอื่น ๆ เห็นแบบนั้น ทุกคนต่างก็ใช้วิธีเดียวกัน คือแบ่งขนมหรืออาหารที่ตัวเองขายให้ต้าเป่าเป็นข้อแลกเปลี่ยน
ต้าเป่าได้รับของกินมากมาย ในที่สุดก็ยอมอยู่นิ่ง ๆ
ทางด้านหลินม่ายกำลังรีบปิดแผงเพื่อให้ทันเวลาก่อนที่เจ้าหน้าที่เทศกิจจะออกลาดตระเวน
พอสองแม่ลูกกลับมาถึงบ้าน หลินม่ายคลุกข้าวสุกกับซุปกระดูกหมูที่เหลือจากการขายเกี๊ยว แล้วให้โต้วโต้วยกไปวางไว้ให้หมาป่าตัวน้อยกิน
ถึงจะเป็นซุปกระดูกที่เหลือจากการค้าขาย แต่ภายในชามก็มีกระดูกหมูชิ้นใหญ่อยู่สองสามชิ้น หมาป่าตัวน้อยได้กลิ่นอาหารก็ดีใจมากจนหางของมันแทบจะหมุนเป็นใบพัด
โต้วโต้วนั่งยอง ๆ อยู่ข้างหมาป่าตัวน้อยคอยดูมันกินข้าว
หลินม่ายถามด้วยรอยยิ้ม “ลูกจะตั้งชื่อสมาชิกใหม่ของบ้านเราว่าอะไรดีล่ะ?”
โต้วโต้วคิดอยู่นาน ก่อนจะถามความคิดเห็นจากหลินม่าย “คุณอาชื่ออะไรเหรอคะ? หนูอยากให้เจ้าหมาน้อยมีชื่อเดียวกันกับคุณอา ทุกครั้งที่หนูเรียกมัน จะได้นึกถึงคุณอาเป็นคนแรกไงคะ”
ขณะเดียวกันนั้น ฟางจั๋วหรานจามหลายครั้งติดต่อกันอย่างไม่มีสาเหตุ เขาอดครุ่นคิดในใจไม่ได้ว่าโชคดีที่ตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องผ่าตัด ไม่อย่างนั้นผู้ป่วยคงตกอยู่ในอันตรายแน่
หลินม่ายคิดว่ากระบวนการทางความคิดของโต้วโต้วแปลกประหลาดน่าดู แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบอีกครั้ง สิ่งที่หล่อนพูดมาก็ไม่ผิดเสียทีเดียว
เด็กไร้เดียงสาย่อมไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝง หล่อนก็แค่ชื่นชอบคุณอาของหล่อนเกินไปเท่านั้น
หลินม่ายกระแอมในลำคอ “ถึงความคิดของหนูจะเข้าที แต่คงไม่มีใครหรอกที่อยากให้สุนัขมีชื่อเดียวกันกับเขา ลูกเห็นไหมว่าเจ้าหมาน้อยตัวนี้มีขนสีเหลือง ถ้าอย่างนั้นก็เรียกมันว่าอาหวงเถอะ จะได้จำชื่อง่าย ๆ”
เด็กหญิงตัวน้อยคิดตามอย่างจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
หลายวันผ่านไปไวเหมือนกะพริบตา แต่ฟางจั๋วหรานกลับไม่ปรากฏตัวอีกเลยหลังจากวันนั้น
ตอนแรกหลินม่ายยังไม่รู้สึกว่าผิดสังเกต แต่ทุก ๆ วันโต้วโต้วที่ติดตามเธอไปตั้งแผงลอยด้วยมักจะตั้งคำถามเสมอว่า “ทำไมวันนี้คุณอาฟางถึงไม่มาคะ? เขาไม่ชอบเกี๊ยวที่แม่ทำเหรอ?”
ถูกลูกสาวถามบ่อย ๆ นานวันเข้า หลินม่ายก็อดคาดหวังไม่ได้ว่าฟางจั๋วหรานจะมาปรากฏตัวในสักวันหนึ่ง
พร้อมกันนั้นก็ครุ่นคิดในใจไปพลาง หรือว่าผู้ชายคนนั้นไม่อยากมากินเกี๊ยวที่ร้านของเธอฟรี ๆ กันนะ เขาถึงได้หายไปแบบนี้?
พอคิดอย่างนี้แล้ว หลินม่ายก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
เธอไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ แค่อยากตอบแทนน้ำใจของเขาก็เท่านั้น กลับกลายเป็นว่าเขาไม่กล้ามาที่นี่อีกเลย
เกี๊ยวที่ร้านของหลินม่ายใช้แป้งห่อที่มีลักษณะบางเฉียบ ให้ไส้เยอะมาก ที่สำคัญคือรสชาติอร่อยละมุนลิ้น ทำให้แม่ต้าเป่าที่ปกติทำอาหารปรุงสุกได้แค่ไม่กี่อย่างเทียบฝีมือไม่ติด
นอกจากนี้ ทักษะการขายของเธอยังเหนือกว่า พอมีโต้วโต้วคอยช่วยตะโกนเรียกลูกค้า นับวันก็ยิ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามากกว่าเดิม จนแม่ต้าเป่าอิจฉาตาร้อนและเอาแต่พูดจาเหน็บแนมอยู่ทุกวี่วัน
แต่ละวันแม่ต้าเป่าเอาแต่ทำหน้าบึ้งเพราะความโกรธเคือง ราวกับเงินที่หลินม่ายได้รับไม่ใช่เงินจากลูกค้า แต่เป็นเงินของหล่อนเอง
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผู้ค้าแผงลอยก็ริเริ่มจ่าย ‘ค่าคุ้มครอง’ เป็นอาหารเช้าที่พวกเขาขายให้กับต้าเป่า ได้กินอาหารหลายอย่างโดยที่ไม่ต้องเสียเงินจ่ายแบบนี้ ต้าเป่าก็ไม่รอให้ผู้เป็นแม่มาปลุกแต่เช้าอีกต่อไป ยินยอมตามหล่อนไปตั้งแผงลอยที่ท่าเรือแต่โดยดี
ถึงแม้จะมีพ่อค้าแม่ค้าหลายรายที่ให้ขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ กับต้าเป่า เพื่อแลกกับความสบายใจในการค้าขาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแผงลอยทุกร้านจะคุ้นชินกับพฤติกรรมของเขา
ยกตัวอย่างเช่นร้านของหลินม่าย ร้านของผู้ชายสองสามคน และร้านของป้ากู่จากหมู่บ้านรอบนอก
ทุกครั้งที่เด็กชายร่างอ้วนพยายามจะเข้ามาก่อกวน พวกเขาแค่มองตาขวางใส่ อีกฝ่ายก็หนีเตลิดออกไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ต้าเป่าเป็นเด็กที่เจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เบา แทนที่แผงลอยเหล่านั้นจะแบ่งขนมให้เขากิน กลับใช้สายตาข่มขู่ให้เขากลัว ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้แค้นเคืองมาก
เขาอาศัยจังหวะตอนที่พ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ งานยุ่งมากจนไม่มีเวลาสอดส่องดูแล ไปสร้างความวุ่นวายให้กับแผงลอยเหล่านั้น ทำให้หลายคนถึงกับกุมขมับ
ผู้ค้าแผงลอยไม่พอใจมาก ตะโกนบอกแม่ต้าเป่า ขอให้หล่อนดูแลลูกชายของตัวเองไม่ให้เที่ยวไปรบกวนคนอื่น
แม่ต้าเป่าถามกลับว่า “เด็กคนไหนไม่ซนบ้างล่ะ?” ราวกับไม่สนใจว่าใครจะเป็นหรือตาย
พ่อค้าเจ้าของแผงลอยทั้งสองโกรธมากจนอยากลงไม้ลงมือกับต้าเป่าให้สิ้นเรื่อง
แม่ต้าเป่ากลับไม่กลัวน้ำเดือด ถึงขั้นขู่ว่าถ้าใครกล้าแตะต้องลูกชายของหล่อนแม้แต่ปลายเล็บ หล่อนจะเรียกตำรวจมาจับคนคนนั้นเสีย
ในช่วงชุลมุนแบบนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
คำขู่ของหล่อนได้ผล ไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าใกล้เส้นผมของสองแม่ลูกคู่นี้เลยแม้แต่คนเดียว
ทั้งแม่และลูกชายได้กลายเป็นทรราชประจำท่าเรืออย่างสมบูรณ์
ถึงยอดขายเกี๊ยวของร้านแม่ต้าเป่าจะลดน้อยลงในแต่ละวัน แต่หล่อนก็ยังกระหยิ่มยิ้มย่องที่เห็นว่าลูกชายของตัวเองได้รับของกินมากมายในทุกเช้า
ทุกครั้งที่หลินม่ายเหลือบไปเห็นสีหน้าเย่อหยิ่งของหล่อน เธอมักจะรู้สึกขยะแขยงจนแทบสำรอกอาเจียนออกมา
ผู้หญิงคนนี้นอกจากจะโง่เขลาแล้วยังไร้จิตสำนึก เอาแต่ดื่มด่ำอยู่กับความล้มเหลวในการอบรมสั่งสอนลูกชาย เขาไปรังควานคนอื่นแต่กลับไม่คิดตักเตือนเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ที่ได้รับ รอให้ลูกตัวเองเกิดปัญหาก่อนเถอะ ถึงเวลานั้นต่อให้ร้องไห้ฟูมฟายก็สายไปเสียแล้ว
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ทุกคนต่างออกจากบ้านไปตั้งแผงลอยกันตามปกติ
เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ ทำให้ช่วงเวลาก่อนแปดโมงเช้ามีรอบเรือข้ามฟากน้อยกว่าวันอื่น ๆ การค้าขายในช่วงเวลาดังกล่าวจึงค่อนข้างซบเซา
ในเรื่องร้ายยังมีเรื่องดี เพราะวันนี้เจ้าหน้าที่เทศกิจหยุดงาน ทำให้พวกเขาสามารถตั้งแผงลอยขายของได้ถึงแม้จะเลยเวลาสิบโมงไปแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงไม่รีบร้อน
หลังแปดโมงเช้า มีผู้โดยสารจำนวนมากที่ขึ้นท่าจากอู่ชางมาที่ฮั่นโข่วเพื่อจับจ่ายซื้อของ รอให้ถึงตอนนั้นการค้าขายก็จะกลับมาคึกคักเหมือนเดิม
หลินม่ายรู้แบบนี้ เมื่อวานถึงได้ซื้อเนื้อหมูในปริมาณที่มากกว่าปกติถึงสองชั่ง
เช้าวันนี้ต้าเป่าสามารถกอบโกยของกินได้เป็นจำนวนมากจนกินไม่หมด อาหารเช้าที่พ่อค้าแผงลอยแบ่งให้จึงเหลือทิ้ง ท้ายที่สุดก็จำใจแบกหน้าท้องอ้วนกลมของตัวเองกลับไปที่แผงลอยของผู้เป็นแม่
พอเห็นภาพอุจาดตานั้นเข้า เจ้าของแผงลอยหลายรายต่างก็มองด้วยสายตาเหยียดหยามและรังเกียจ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
หลินม่ายเพิ่งจะตักเกี๊ยวให้กับลูกค้าคนหนึ่งและยื่นชามให้กับเขา ขณะนั้นเองป้ากู่ที่ตั้งแผงลอยอยู่ด้านข้างกลับตวาดเสียงดังลั่น “ออกไป! ถ้ายังไม่ออกไปอีก ฉันตีแกแน่!”
ป้ากู่ตวาดไล่เด็กดื้อที่พยายามเข้ามาก่อกวนอย่างไร้เยื่อใย
เสียงตวาดของหล่อนทำให้ลูกค้าตกใจจนสะดุ้งโหยง เกือบทำชามเกี๊ยวหลุดมืออยู่แล้วเชียว
หลินม่ายคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างดี
ป้ากู่ก็ไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่นัก ไม่อาจทำใจชอบเด็กเหลือขอคนนี้ลงได้
ต่อให้เด็กชายร่างอ้วนจะสร้างปัญหาให้กับหล่อนขนาดไหน ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีวันแบ่งบะหมี่แห้งให้กับเขา
เพราะแบบนี้ เด็กชายร่างอ้วนถึงได้ตามราวีหล่อนอยู่บ่อยครั้ง และป้ากู่ก็มักจะตวาดไล่เขาด้วยถ้อยคำเดิม ๆ แทบทุกวัน
ป้ากู่อายุมากแล้ว ช่วงจังหวะที่ไม่มีลูกค้ามาซื้อของก็จะหาเวลานั่งพักเพื่อให้ร่างกายไม่อ่อนล้าจนเกินไป ถ้าให้หล่อนยืนติดต่อกันสองสามชั่วโมง เห็นทีสังขารคงไม่ไหวเป็นแน่
เด็กชายร่างอ้วนนึกอยากกินบะหมี่แห้งจากร้านของหล่อน แต่หล่อนไม่เคยมีน้ำใจแบ่งปันให้เขาเลยสักครั้ง ไม่ให้กินยังพอว่า ป้ากู่ยังเอาแต่ขับไล่ไสส่งเขาเหมือนหมูหมา แล้วจะไม่ให้เขาเกลียดหล่อนได้อย่างไร
ขณะที่ป้ากู่กำลังจะหย่อนก้นลงนั่งพักอีกครั้ง เขาก็พุ่งตัวเข้ามาฉกเก้าอี้ของหล่อนจากด้านหลัง
เป็นผลให้ป้ากู่ทิ้งน้ำหนักลงกลางอากาศจนบั้นท้ายร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง ความเจ็บร้าวแผ่ไปทั่วร่างจนแทบทนไม่ไหว
พ่อค้าแม่ค้าหลายคนที่เห็นเหตุการณ์รีบผละมือจากงานที่ทำอยู่เพื่อช่วยพยุงหล่อนให้ลุกขึ้น แต่หลินม่ายกลับตะโกนห้ามไว้ “ทุกคนคะ อย่าเพิ่งรีบร้อนเข้าไปช่วยคุณป้าเลย ล้มแรงขนาดนี้ ไม่แน่ว่ากระดูกป้ากู่อาจจะหักก็ได้ พวกเราไม่ใช่หมอ ดีไม่ดีอาจทำให้อาการของคุณป้าแย่ลง”
ทุกคนต่างยืนนิ่งเพราะทำอะไรไม่ถูก “งั้นเราควรทำยังไงดี?”
หลินม่ายถามกลับ “แถวนี้มีโรงพยาบาลอยู่ใกล้ ๆ ไหมคะ? ถ้ามี ใครก็ได้ช่วยวิ่งไปที่โรงพยาบาล แล้วขอให้พวกเขาแบกเปลหามมารับคนดีกว่า”
ยุคสมัยนี้ไม่มีหมายเลขศูนย์การแพทย์ฉุกเฉิน 120 พวกเขาทำได้แค่ไปที่โรงพยาบาลโดยตรงแล้วเรียกเจ้าหน้าที่ชำนาญการมาจัดการเท่านั้น
ชาวบ้านที่ตั้งแผงลอยเกิดความลังเล พูดขึ้นว่า “แถวนี้มีโรงพยาบาลประจำเมืองอยู่ใกล้ ๆ แต่ใครจะรับอาสาไปเรียกหมอล่ะ?”
เจ้าของแผงลอยต่างหันมองหน้ากัน
การมีน้ำใจถือเป็นเรื่องที่ดี แต่พวกเขายังต้องเปิดร้านหารายได้น่ะสิ
อีกอย่าง เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเสียหน่อย แม้แต่แม่ของเด็กเหลือขอคนนั้นยังเพิกเฉย แล้วเรื่องอะไรพวกเขาจะต้องออกหน้าแทนด้วยล่ะ!
………………………………………………………………………………………………………………
ขนมงาทอด เป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวทอด ด้านนอกเคลือบด้วยเมล็ดงา สอดไส้เมล็ดบัวกวน ถั่วดำกวน หรือถั่วแดงกวน รสสัมผัสกรุบกรอบเหนียวหนึบ
สารจากผู้แปล
รวมตัวกันขับไล่สองแม่ลูกต้าเป่าออกไปเถอะค่ะ นานวันเข้าทำตัวเป็นนักเลงขึ้นทุกวัน ก่อนจะมีคนบาดเจ็บเหมือนป้ากู่อีก
ไหหม่า(海馬)