ตอนที่ 69 ซื้อบ้านได้สักที
หลินม่ายไม่รู้ว่าการขายเกี๊ยววันแรกจะเป็นไปได้ดีหรือเปล่า
เพื่อป้องกันความเสียหาย หลินม่ายจึงเตรียมไส้เกี๊ยวไว้แค่สิบชั่ง ซึ่งไส้เกี๊ยวที่ว่าสามารถห่อเกี๊ยวได้ทั้งหมดแค่ประมาณหนึ่งร้อยชามเท่านั้น
ในเวลาแปดโมงเช้า เกี๊ยวในร้านของเธอก็ถูกขายไปจนหมดเกลี้ยง จึงเก็บข้าวของเตรียมปิดแผงกลับบ้าน
แม่ต้าเป่าแทบกระอักเลือดตายเพราะความโกรธ แผงขายอาหารของหล่อนในวันนี้พ่ายแพ้ให้กับแผงของหลินม่ายอย่างราบคาบ หล่อนอุตส่าห์เตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับทำเกี๊ยวหนึ่งร้อยชาม แต่กลับขายได้ไม่ถึงห้าสิบชามด้วยซ้ำ
คราวนี้หล่อนไม่ชี้ต้นหม่อนแต่ด่าต้นเจดีย์อีกต่อไป แต่ออกปากด่าชื่อของหลินม่ายโดยตรง
หล่อนกล่าวหาว่าเธอขี้โกง ใช้เด็กอายุไม่กี่ขวบหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเอง
เมื่อตัวเองถูกชี้หน้าด่าถึงขนาดนี้ อีกทั้งตอนนี้ก็มีเวลาว่างพอที่จะต่อปากต่อคำกับหล่อนพอดี หลินม่ายคิดในใจว่าถ้าไม่ตอบโต้เสียบ้าง อีกฝ่ายคงหาทางกลั่นแกล้งรังแกตัวเองอยู่เรื่อยไป
ต่อให้อยากมีที่ยืนหยัดในสังคมมากแค่ไหน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรรังแกคนอื่น
ตราบใดที่เราไม่กล้าตอบโต้ ก็จะตกเป็นเป้าให้คนอื่นกลั่นแกล้งอยู่วันยังค่ำ
ธรรมชาติของมนุษย์ก็อย่างนี้ ข่มคนอ่อนแอ กลัวคนแข็งแกร่ง
หลินม่ายสวนกลับเสียงดังขณะกำลังปิดแผง “คุณพาลูกชายของคุณมาหารายได้แบบฉันบ้างก็ได้นี่ มีใครห้ามคุณไว้เหรอ? แค่ร้านของฉันขายดีกว่าก็หาเรื่องกันเสียแล้ว งั้นก็ไม่แปลกหรอกที่ไม่มีใครกล้าซื้อของของคุณ!”
แม่ต้าเป่าโกรธจนตัวสั่นไขมันกระเพื่อม
หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็กลับบ้านไปเก็บของ หลินม่ายเข้าครัวทำเกี๊ยวทอดอย่างไม่รอช้า
ถึงก่อนหน้านี้เด็กหญิงตัวน้อยจะกินเกี๊ยวหนึ่งชามกับปาท่องโก๋ไปแล้ว แต่หลินม่ายทำเกี๊ยวให้หล่อนแค่สิบชิ้นเพื่อให้รองท้องประทังความหิว เกี๊ยวทอดที่กำลังทำอยู่ต่างหากคืออาหารมื้อเช้าที่แท้จริง
เมื่อกี้นี้หล่อนอุตส่าห์ช่วยก้ม ๆ เงย ๆ ล้างชามตั้งหลายใบ แถมยังช่วยตะโกนเรียกลูกค้า แน่นอนว่าใช้พลังไม่น้อยทีเดียว
ไม่นานกระเพาะของหล่อนจึงร้องเพราะความหิวอีกครั้ง ยิ่งเมื่อได้กลิ่นเกี๊ยวทอด ก็รู้สึกว่ามันหอมน่ากินเป็นพิเศษ หล่อนกินเยอะจนพุงน้อย ๆ ป่องออก
หลังจากกินเกี๊ยวทอดเสร็จแล้ว โต้วโต้วก็ออกจากบ้านไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ เช่นเคย
ตอนนี้หลินม่ายมีเงินออมมากกว่าสองพันหยวน เพียงพอแล้วที่จะจ่ายค่าบ้าน
เธออยากซื้อบ้านหลังนี้เป็นของตัวเองโดยเร็วที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ติดปัญหาบางอย่าง
เธอจำเป็นต้องโทรหาเฉียนอ้ายกั๋ว เพื่อเรียกให้เขามาทำสัญญาซื้อขายบ้าน
แต่ยุคสมัยนี้ยังไม่มีโทรศัพท์สาธารณะ จึงทำได้แค่ขอยืมโทรศัพท์จากที่ทำการหมู่บ้าน แล้วโทรติดต่อหาเขาอีกทีหนึ่ง
ทันทีที่หลินม่ายมาถึงที่ทำการหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านก็กวักมือเรียกเธอเข้าไปพูดคุย “ที่ทำการไปรษณีย์ส่งใบธนาณัติมาให้เธอเมื่อสองวันก่อน ตอนนั้นเธอไม่อยู่ เจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านเลยเซ็นรับแทนเธอ มาลงชื่อแล้วรับใบธนาณัติไปเร็ว”
หลินม่ายนึกสงสัย ใครส่งใบธนาณัติมาให้เธอกัน?
พอเห็นใบธนาณัติแล้ว ก็รู้ทันทีว่าก่อนหน้านี้เธอได้เขียนจดหมายส่งเรื่องไปที่สำนักหนังสือพิมพ์ บทความดังกล่าวเป็นเรื่องรายงานพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพนักงานขายภายในห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง หลังจากที่ตีพิมพ์ไป สำนักหนังสือพิมพ์จึงจ่ายเงินให้เธอหลายสิบหยวนเป็นค่าต้นฉบับ รวมถึงค่าธรรมเนียมอื่น ๆ
ไม่คาดคิดเลยว่าค่าต้นฉบับที่มีจำนวนคำแค่ไม่ถึงหนึ่งพันคำในยุคสมัยนี้ จะมีมูลค่าสูงกว่าสิบหยวนเสียอีก
เธอตื่นขึ้นมาฝ่าลมหนาวในช่วงเช้ามืด ยืนหลังขดหลังแข็งขายเกี๊ยวเป็นเวลาสองสามชั่วโมง กลับทำเงินได้แค่สิบหยวนกับอีกไม่กี่เหมาเท่านั้นเอง
น่าเสียดายที่ชาตินี้เธอมีวุฒิการศึกษาสูงสุดแค่ชั้นมัธยมต้น ถึงแม้ว่าชาติก่อนเธอจะสั่งสมความรู้เอาไว้มากแค่ไหนก็ตาม แต่สภาพสังคมจำกัดให้เธอทำได้แค่ค้าขาย เธอเอาความรู้ในสมองไปสมัครงานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงเปลี่ยนแนวมาหารายได้จากการเขียนบทความขาย เหมือนกับอาชีพของตัวเองในชาติแรกไปนานแล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสองสามเดือนก่อน ผู้จัดการข่งถึงได้พาพนักงานขายคนนั้นมาขอโทษขอโพยเธอด้วยความกระวนกระวาย ที่แท้ก็เป็นเพราะบทความของเธอถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์นั่นเอง ถึงได้ทำให้เขาตื่นตระหนกแบบนั้น
มิน่าเล่าเขาถึงขอร้องให้เธอยกโทษโดยการเขียนบทความแก้ไขความผิดพลาดของห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงอีกฉบับ เพราะหวังว่าบทความของเธอจะช่วยกู้ชื่อเสียงห้างสรรพสินค้าของพวกเขากลับคืนมาได้
แต่เรื่องมันผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้วจนเธอลืมไปเสียสนิท
เธอตัดสินใจว่าจะเขียนบทความชดเชยให้กับผู้จัดการข่งภายในวันนี้ เพื่อที่คนอื่นจะไม่ตำหนิเธอลับหลังว่าไม่รักษาคำพูด
การโทรศัพท์ติดต่อเฉียนอ้ายกั๋วต้องใช้เวลามากพอสมควร หลินม่ายอาศัยช่วงที่ต้องรอคอยเขียนบทความตามคำขอของผู้จัดการข่ง บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฟื้นฟูชื่อเสียงของห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง เขียนเสร็จแล้วเธอก็นำไปส่งที่สำนักหนังสือพิมพ์ แล้วแวะไปที่ธนาคารเพื่อถอนเงินสำหรับจ่ายค่าบ้าน
พอเธอกลับมาถึง ก็เห็นว่าเฉียนอ้ายกั๋วรออยู่ที่หน้าประตูบ้านของเธอก่อนแล้ว
หลินม่ายส่งยิ้มให้พร้อมกับขอโทษ “ฉันไม่คิดว่าคุณจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เลยออกไปทำธุระส่วนตัวระหว่างรอ ขอโทษที่ปล่อยให้คุณต้องรอนะคะ”
เฉียนอ้ายกั๋วโบกมือ “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร”
ตราบใดที่เขาจะได้รับเงินก้อนแน่ ๆ ต่อให้ต้องรอนานกว่านี้เขาก็ยินดี
นานหลายปีจนถึงปัจจุบัน แทบไม่มีใครสนใจมาดูบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับติดต่อขอซื้อบ้าน
แม้แต่วันส่งท้ายปีเก่าที่ผ่านมา เขาก็ไม่ค่อยมีความสุขมากนัก เพราะกลัวว่าหลังปีใหม่หลินม่ายจะหาเงินมาจ่ายค่าบ้านให้เขาไม่ได้จนต้องคืนบ้านให้กับเขา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาคงต้องมานั่งกังวลเรื่องการขายบ้านอีกครั้ง
ทันทีที่หลินม่ายติดต่อขอให้เขามาทำธุรกรรมสัญญาซื้อขาย เขาแทบทิ้งทุกอย่างที่ทำอยู่แล้วตรงดิ่งมาหาเธอโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจมาก
ทั้งสองเดินไปยังที่ทำการหมู่บ้านด้วยกัน จัดการทำเอกสารธุรกรรมต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านที่เป็นพยานให้ ก่อนที่หลินม่ายจะจ่ายเงินค่าบ้านทั้งหมดให้กับเขา
เฉียนอ้ายกั๋วลงนามในใบเสร็จรับเงิน ส่งมอบโฉนดที่ดิน ใบรับรองทรัพย์สิน และกุญแจบ้านอีกชุดหนึ่งที่เขาเก็บไว้ให้กับเธอทั้งหมด
หลังจากนั้นหลินม่ายก็เดินทางไปยังสำนักงานจัดการที่อยู่อาศัย เพื่อจัดการโอนชื่อกรรมสิทธิ์ตามขั้นตอน
ยุคสมัยนี้ คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามบ้านเช่าเป็นหลัก ถึงชาวนาในพื้นที่ห่างไกลจะมีบ้านเรือนส่วนตัว แต่ไม่ค่อยมีการจัดทำเอกสารอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
ดังนั้นการจัดทำเอกสารด้านอสังหาริมทรัพย์จึงมีความเข้มงวดน้อยกว่าชีวิตในภพชาติก่อนหน้าของหลินม่าย ขอเพียงแค่มีเอกสารรับรองการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์และโฉนดที่ดิน ก็ทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ได้แล้ว
ถึงเจ้าพนักงานของรัฐในสำนักงานจะว่างงานกันเกือบหมด แต่มีคนมาจัดการทำเรื่องโอนย้ายอสังหาริมทรัพย์ให้เธอแค่ไม่กี่คน
ด้วยกระบวนการที่รวดเร็ว หลินม่ายใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวก็ทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หลังจากจ่ายเงินซื้อบ้าน หลินม่ายยังเหลือเงินในมือมากกว่าหนึ่งพันหยวน เธอวางแผนว่าจะซื้อนาฬิกาปลุกขนาดเล็กไว้สักเรือนหนึ่ง และซื้อนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่ให้คุณย่าฟาง
จนถึงตอนนี้ เธอก็ยังสวมนาฬิกาข้อมือเรือนเดิมที่คุณย่าฟางให้ยืมสมัยที่เธอเข้าเมืองมาค้าขายในช่วงแรก ๆ
เธอไม่คิดคืนนาฬิกาเรือนนี้ให้คุณย่าฟาง แต่ซื้อนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่ให้นางเป็นการทดแทน
เธอเดินทางไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อคูปองอุตสาหกรรม แล้วตรงไปที่ร้านค้าเพื่อซื้อนาฬิกาปลุกกับนาฬิกาข้อมือ
ถึงแม้ในยุคนี้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตจะยังล้าหลัง แต่นาฬิกาปลุกขนาดเล็กที่วางขายอยู่ตามร้านก็มีรูปแบบเก๋ไก๋น่าซื้อหา
โดยเฉพาะนาฬิกาปลุกรูปแม่ไก่ที่กำลังจิกข้าวอยู่ท่ามกลางลูกเจี๊ยบตัวน้อย ส่วนหัวของแม่ไก่จะขยับขึ้นลงทีละน้อย เหมือนกับกำลังจิกข้าวอยู่จริง ๆ
หลินม่ายคิดว่าโต้วโต้วต้องชอบนาฬิกาปลุกเรือนนี้แน่ ๆ ดังนั้นเธอจึงชี้ไปที่นาฬิกาเรือนนั้น เพื่อขอให้พนักงานขายช่วยหยิบมาให้ดูใกล้ ๆ
หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่ากลไกของนาฬิกาไม่ขัดข้อง หลินม่ายก็จ่ายเงินซื้อทันที
ตอนแรกพนักงานขายเห็นว่าเธอแต่งตัวเฉิ่มเชย จึงคิดว่าเธอคงแค่อยากดูเฉย ๆ เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วเธอจะตัดสินใจซื้ออย่างง่ายดาย
หลังจากเห็นว่าหลินม่ายควักเงินจ่ายเงินซื้อนาฬิกา ทัศนคติที่มีต่อเธอก็พลอยดีขึ้นตามไปด้วย นอกจากจะแนะนำสินค้าตัวอื่นด้วยความกระตือรือร้นแล้ว ยังหยิบนาฬิกามาให้เธอเลือกอีกหลายเรือน
หลินม่ายซื้อนาฬิกาข้อมือสตรีซึ่งผลิตจากโรงงานในเซี่ยงไฮ้ที่มีราคาแพงที่สุดในร้านหนึ่งเรือน
พอนึกขึ้นได้ว่าเสื้อผ้าของตัวเองกับลูกสาวมีแต่สภาพโทรม ๆ แถมยังไม่มีเสื้อกันหนาวสักตัวไว้ใส่กันลม เธอเลยซื้อเสื้อแจ็กเกตผ้าฝ้ายสองตัว และไหมพรมขนแกะอีกห้าชั่ง สำหรับถักเสื้อให้ตัวเองกับโต้วโต้ว
อันที่จริงพวกเธอสองแม่ลูกใช้ไหมพรมขนแกะแค่สองชั่งก็พอแล้ว
แต่หลินม่ายต้องการถักเสื้อไหมพรมให้กับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางด้วย จึงตัดสินใจซื้อไหมพรมขนแกะทั้งหมดห้าชั่งในคราวเดียว
เธอซื้อไหมพรมขนแกะคุณภาพกลาง ๆ ให้ตัวเองกับลูกสาว แต่ในส่วนของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง เธอเลือกซื้อไหมพรมขนแกะที่มีคุณภาพระดับไฮเอนด์ทั้งหมด
เธอตั้งใจว่าจะถักเสื้อไหมพรมให้พวกเขาใส่ข้างใน แล้วคลุมด้วยเสื้อแจ็กเกตผ้าฝ้าย แบบนี้ก็จะสวมใส่ได้ทั้งฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาว ข้อดีคือสามารถสวมใส่ได้ถึงสองฤดูกาล แถมยังซักทำความสะอาดง่าย
นอกจากนี้ หลินม่ายยังซื้อไวน์แบบขวดกับแบบกระป๋องอีกอย่างละสอง เพื่อมอบให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน
จากเหตุการณ์โจรขึ้นบ้านเมื่อคืนนี้ ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านอุตส่าห์เป็นธุระมาจัดการความเรียบร้อยด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอควรให้อะไรบางอย่างเพื่อตอบแทนน้ำใจของเขา
นอกจากเขาแล้วยังมีชาวบ้านอีกหลายคนที่ตื่นนอนกลางดึกมาช่วยจับโจร เธออยากตอบแทนน้ำใจของเขาเช่นเดียวกัน จึงซื้อลูกอมรสบ๊วยสองสามชั่งติดมือมาแจกให้ชาวบ้านเหล่านั้นด้วย
การจับจ่ายซื้อของที่มูลค่ารวมกันมากกว่าหนึ่งร้อยหยวน ทำให้พนักงานขายที่ให้บริการกับหลินม่ายถึงกับตกตะลึง
คนรวยสมัยนี้สมถะขนาดนี้เลยหรือ? ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวธรรมดาค่อนไปทางเก่าโทรมด้วยซ้ำ แต่ตอนที่ซื้อของกลับใช้จ่ายเงินอย่างเมามันขัดกับบุคลิกของเธออย่างสิ้นเชิง
ฉันเองก็อยากสัมผัสกับการใช้จ่ายเงินแบบไม่ต้องคิดแบบนี้เหมือนกันนะ…
กว่าหลินม่ายจะกลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยง
เธอเริ่มเข้าครัวทำอาหารกลางวัน พร้อมกับเจียวน้ำมันหมูจากมันหมูที่ซื้อมาเมื่อวานนี้
เธอล้างทำความสะอาดมันหมู ยกมาวางบนเขียง แล้วเริ่มหั่นเต๋าให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ขณะนั้นเองโต้วโต้วก็วิ่งร้องไห้กลับมาที่บ้าน ฟ้องผู้เป็นแม่ว่าเมื่อกี้นี้ต้าเป่ารังแกหล่อนอีกแล้ว
หลินม่ายถามกลับทันทีว่าทำไมต้าเป่าถึงยังกล้ามารังแกหล่อนอีก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
การมีเงินใช้แบบไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังนี่ก็นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งนะคะ ควบคู่กับการไม่เป็นหนี้
แม่ต้าเป่าไม่ยอมจบสินะ ต้องใช้ไม้แข็งใช่ไหมถึงจะยอมจบ
ไหหม่า(海馬)