ตอนที่ 82 ลงทุนกับรถแทรกเตอร์
คุณย่าฟางต้องเอ่ยเรียกอยู่ถึงสองครั้งกว่าที่หลินม่ายจะหลุดจากภวังค์ของความคิค
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่กำลังคิดว่าจะซื้อรถแทรกเตอร์ของสมาชิกดีไหมน่ะค่ะ” หญิงสาวยิ้มขึ้นจาง ๆ พร้อมกับส่ายหน้า
ผู้อาวุโสทั้งสองประหลาดใจกับคำตอบที่ได้ยิน “ทำไมถึงได้อยากซื้อรถแทรกเตอร์นั่นล่ะ”
หญิงสาวค่อย ๆ เติมผักลงในชามพร้อมเอ่ยตอบ “ฉันขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วที่ต้องใช้แป้งเยอะมากในแต่ละวัน ถ้าต้องเดินทางไป-กลับ ทุกอาทิตย์มันน่าจะคุ้มค่ากว่าการซื้อวัตถุดิบจากตลาดมืดในเมือง แต่ต้องคำนวณดูอีกว่าระหว่างจ่ายค่ารถแทรกเตอร์มากกว่าหนึ่งพันหยวนกับการซื้อของในตลาดมืดรวม ๆ กันอันไหนจะคุ้มกว่าน่ะค่ะ”
หลังจากคีบขาหมูแบบที่มีเนื้อติดหนังเข้าปาก คุณปู่ฟางก็เอ่ยถามต่อ
“แล้วจะต้องเสียเวลาคิดคำนวณขนาดนั้นเลยเหรอ? ลองคิดดูแค่ว่าปกติต้องเช่ารถแทรกเตอร์ปีละครั้ง เงินพันหยวนเช่ารถได้ยี่สิบสามสิบครั้งก็หมดแล้ว ถ้าซื้อมาเป็นของตนเอง แต่ละปีมีช่วงเทศกาลตั้งหลายครั้ง อย่างวันแรงงาน วันชาติ เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เทศกาลไหว้พระจันทร์ วันขึ้นปีใหม่ วันตรุษจีน ช่วงเทศกาลพวกนี้เธอก็จะได้ใช้รถแทรกเตอร์ไปขนสินค้าพวกพืชผักผลไม้จากนอกเมืองเข้าไปขายให้คนในเมือง แบบนี้ไม่ถึงปีก็จ่ายค่ารถแทรกเตอร์ได้ครบอยู่แล้ว ยังไงก็คุ้มค่า ไม่เห็นต้องคิดคำนวณอะไรมากมาย”
ได้ยินแบบนั้นหลินม่ายก็ยิ้มออกทันที “ถ้างั้น ฉันจะกลับไปซื้อรถแทรกเตอร์ คุณปู่ช่วยต่อราคาดี ๆ กับผู้นำหมู่บ้านให้หน่อยสิคะ?”
คุณปู่ฟางเป็นคนที่ยึดมั่นในความยุติธรรมมาก ชายชราไม่ใช่คนที่จะยอมใช้อำนาจของตัวเองเพื่อช่วยลดราคาค่ารถแทรกเตอร์ให้หลินม่ายซึ่งเป็นคนสนิท เพราะนั่นจะเป็นการเอาเปรียบชาวบ้านคนอื่น ๆ
“1,200 หยวนนี่ถูกที่สุดแล้ว ลดกว่านี้ไม่ได้หรอก”
ได้ฟังแบบนั้นหลินม่ายก็แอบชะงักไป เธอกับคุณปู่ฟางนับเป็นคนกันเอง ชายชรารับบทผู้ใหญ่ที่คอยดูแลเธอมาตลอด ไม่คิดว่าจะได้เห็นท่านมารับบทพ่อค้ากับเธอด้วย
“โต้วโต้วบอกย่าว่าแม่กับพี่สาวของเธอตามไปรังควานถึงในเมือง เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?” เป็นคุณย่าฟางที่เอ่ยถามขึ้นบ้างด้วยท่าทางเคร่งขรึม
ในระหว่างที่หลินม่ายกำลังตกอยู่ความคิดของตัวเองก่อนหน้านี้ เธอก็ไม่ทันได้สนใจในสิ่งที่โต้วโต้วและผู้อาวุโสทั้งสองคุยกัน
ไม่คาดคิดว่าโต้วโต้วจะเล่าเรื่องที่แม่และหลินเพ่ยตามไปสร้างเรื่องถึงที่บ้านให้คุณปู่คุณย่าฟางฟัง
มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรสำหรับเธอ หลินม่ายจึงจัดการเล่าเรื่องราวทั้งหมดกับท่านทั้งสอง
“ไร้ยางอายอะไรแบบนี้นะ ทั้งแม่ทั้งพี่สาวเลย” สีหน้าของคุณย่าฟางขึ้นสีด้วยความโกรธหลังได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ต่อให้จะทำตัวหน้าไม่อายแค่ไหนก็ช่าง ยังไงพวกเขาก็จะไม่ได้สิ่งที่ต้องการหรอกค่ะ”
“แต่ฉันสงสัยมากกว่าว่าพวกเขารู้ที่อยู่ของฉันได้ยังไง” หลินม่ายขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยขึ้น
คนที่รู้ที่อยู่ของเธอตอนนี้ก็มีไม่มาก…
“มันก็น่าสงสัยอยู่นะ” คุณย่าฟางคีบขาหมูตุ๋นชิ้นใหญ่ลงไปในชามของโต้วโต้วแล้วเอ่ยขึ้นบ้าง
“แม่เถียหนิวเล่าให้ทุกคนฟังว่าเธอซื้อบ้านใหม่ในเมือง เป็นใครที่เข้าไปถาม ถ้ามีปัญญาพอก็คงจะรู้ที่อยู่ของเธอจากหล่อนนั่นแหละ”
หญิงชราลดเสียงให้เบาลงแล้วกล่าวต่อ “ย่าได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าอู๋จินฮวาเป็นอาห่าง ๆ ของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน
“ถ้าหล่อนไปส่งของที่บ้านของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่แม่กับพี่สาวของเธอจะรู้ที่อยู่”
หลินม่ายพยักหน้าตามอย่างโล่งใจ
ธนาคารในยุคสมัยนี้ไม่สามารถทำธุรกรรมในการฝาก-ถอนเงิน ข้ามเขตได้ หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ หลินม่ายจึงต้องนั่งรถไฟกลับเข้าไปในเมืองเพื่อถอนเงินแล้วรีบกลับมาที่เมืองซื่อเหม่ย
หญิงสาวใช้เวลาหลังอาหารเย็นหยิบเอานาฬิกาข้อมือหรับคุณย่าฟาง และเสื้อไหมพรมสำหรับผู้ใหญ่ทั้งคู่ออกมามอบให้พวกท่าน
คุณย่าฟางรับเสื้อไหมพรมไว้ด้วยความยินดี แต่กลับปฏิเสธนาฬิกาข้อมือเรือนนั้นอย่างเด็ดขาด
ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวเองอายุมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องสวมนาฬิกาเรือนใหม่ นางบอกให้หลินม่ายเอานาฬิกาเรือนใหม่นี้ไปใช้แล้วยกเรือนเก่าของเธอให้นางแทน
เมื่อไม่สามารถขัดหญิงชราได้ เธอจึงทำได้แค่ยอมรับตามนั้น
คุณปู่ฟางที่นึกบางอย่างขึ้นได้ก็รีบหันมาพูดกับหลินม่ายว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนจากศาลมาที่นี่”
“เรื่องคดีเรียบร้อยแล้วเหรอคะ”
ก่อนย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลินม่ายแจ้งกับตัวแทนของเธอว่าหากคดีมีคำพิพากษามาแล้ว ให้เขาส่งคำตัดสินมาที่บ้านคุณปู่ฟาง เพราะที่นี่อยู่ใกล้กว่าส่งไปในเมือง
“ใช่แล้ว” คุณปู่ฟางพยักหน้า “อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกับพ่อแม่ของเขาต้องติดคุก 1 ปี ส่วนค่าทำขวัญร้อยหยวนที่เธอเรียกร้องไป ศาลให้ชดใช้มาแค่ห้าสิบหยวน”
หลินม่ายไม่ได้สนใจเรื่องเงินค่าทำขวัญ เพราะสิ่งที่เธอต้องการคือส่งคนทั้งสามนั่นเข้าคุกมากกว่า
แต่ก็เป็นเรื่องดีที่สามารถเรียกร้องค่าทำขวัญมาได้ เพราะเหยาชุ่ยฮวารักเงินยิ่งกว่าชีวิต ถ้าต้องจ่ายค่าทำขวัญให้เธอ 50 หยวน คงทำให้นางเจ็บใจได้มากทีเดียว
เหยาชุ่ยฮวาและสามีของนางถูกตัดสินจำคุกหกเดือนอยู่แล้วในคดีทำร้ายร่างกายหลินเพ่ย รวมกับอีกหนึ่งปีจากคดีนี้พวกเขาต้องอยู่ในคุกเป็นเวลาปีครึ่ง
กว่าจะได้รับการปล่อยตัวก็น่าจะเป็นช่วงเดือนเจ็ดหรือเดือนแปดปีหน้า
คดีโกงการแต่งงานและการใช้ความรุนแรงในครอบครัวทำให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนต้องใช้ชีวิตถึงสองปีในคุก
เหยาชุ่ยฮวากับสามีคงไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไปสักพัก เพราะทั้งสามคนจะมีอาหารให้กินฟรีในเรือนจำ น่าจะประหยัดไปได้เยอะทีเดียวเลย
คุณย่าฟางหยิบเอาเอกสารคำตัดสินพร้อมกับเงิน 50 หยวนที่ได้รับมาส่งให้หลินม่าย
เป็นระยะเวลานานพอสมควรที่ทั้งสามไม่ได้พบกัน ทำให้มีเรื่องราวมากมายมาถามไถ่อย่างไม่รู้จบ
หญิงสาวเล่าว่าเธอต้องทำเอกสารรับรองการเดินทางสำหรับการกลับมาที่นี่
คุณปู่ฟางจึงอาสาเอาเอกสารของเธอไปยื่นที่สถานีตำรวจท้องที่เพื่อทำใบรับรองให้
หลังอาหารเช้าในวันรุ่งขึ้นหลินม่ายก็ออกจากบ้านตามคุณปู่ฟางไปร่วมกับกลุ่มสมาชิก เพื่อไปซื้อรถแทรกเตอร์
ชาวบ้านหลายคนต่างพากันอิจฉาที่เห็นว่าเธอสามารถซื้อรถแทรกเตอร์ได้ จนทำให้หลินม่ายได้รับคำถามจากพวกเขาว่าเธอไปทำงานอะไรอยู่ในเมืองถึงได้หาเงินได้มากมายขนาดนี้
ซึ่งหลินม่ายตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าอาชีพของเธอคือแม่ค้าขายของว่างริมถนน
มีหลายคนเข้ามาแนะนำตัวและต้องการทำงานกับเธอ
แต่ก็ถูกหญิงสาวปฏิเสธไปด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าหลินม่ายจะต้องการคนมาช่วยงานอยู่จริง ๆ แต่หญิงสาวไม่คิดว่าการให้คนที่ยังไม่รู้นิสัยใจคอมาร่วมงานจะเป็นเรื่องที่ควรทำ
เมื่อมีรถแทรกเตอร์แล้วก็ต้องขับมันให้เป็น
หลินม่ายมีประสบการณ์ในการขับรถจากชาติก่อน เธอจึงใช้เวลาไม่นานในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการขับแทรกเตอร์และสามารถควบคุมมันได้ในเวลาเพียงครึ่งวัน
เธอขับรถแทรกเตอร์มุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านสกุลอู๋หลังจากที่กินมื้อกลางวันเรียบร้อย
หญิงสาวหวนนึกถึงไมตรีที่เคยได้รับจากโจวฉายอวิ๋น ในตอนนี้เธอมีกำลังพอที่ตอบแทนน้ำใจของอีกฝ่ายแล้ว เธอจึงต้องการจะไปพบหล่อน
ทันทีที่หลินม่ายปรากฏตัวที่หมู่บ้านสกุลอู๋พร้อมรถแทรกเตอร์ หญิงสาวก็กลายเป็นที่สนใจ ผู้คนต่างเข้ามารายล้อมเธอ
ทุกคนต่างมีสีหน้าแห่งความชื่นชม และเอ่ยแซวว่าเธอดูจะเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่าง แม้แต่การขับรถแทรกเตอร์ก็ด้วย
แม้ว่ารถแทรกเตอร์จะขับได้ง่ายกว่ารถยนต์มาก แต่แทบจะไม่มีหญิงสาวคนไหนในหมู่บ้านที่ขับมันได้
หลินม่ายตอบนิ่ง ๆ ราวกับเป็นเรื่องปกติว่า “มันเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ ในเมื่อซื้อมันมาแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องฝึกขับให้เป็น”
ทุกคนต่างตกตะลึง ผู้หญิงคนนี้ช่างน่าทึ่ง นานแค่ไหนที่แล้วที่เธอออกจากบ้านตระกูลอู๋ไป แล้วดูสิ เธอยังซื้อแทรกเตอร์นี่ได้ด้วยเงินของตัวเองอีกต่างหาก
พวกเขาเองก็อยากจะถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องเรียนรู้การขับแทรกเตอร์บ้างเหมือนกัน แต่คงไม่มีความสามารถเท่าหลินม่าย….
อู๋เสี่ยวเถามองดูหลินม่ายได้รับความสนใจและคำชื่นชมจากคนอื่น ๆ ด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองในใจ
ถ้าในตอนนั้นพ่อแม่และพี่ใหญ่ของหล่อนทำดีกับพี่สะใภ้ไว้ให้มาก ไม่เพียงแค่พวกเขาจะไม่ต้องติดคุกเท่านั้น แต่จะยังพึ่งพาความสามารถของเธอให้ทั้งครอบครัวใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้เสียอีก
หลินม่ายขอให้ชาวบ้านช่วยตามหาโจวฉายอวิ๋น
“ทำไมถึงได้ถามหาหล่อนล่ะ” ชาวบ้านถามด้วยความสงสัย
หลินม่ายไม่กล้าเล่าให้คนอื่นฟังว่าตนเองได้รับเงินจากโจวฉายอวิ๋น เพราะกลัวว่าจะทำให้เธอถูกสามีทุบตี
หญิงสาวจึงตอบออกไปว่า “เมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านตระกูลอู๋ ฉันมักจะต้องอดข้าวเพราะพวกเขาไม่ยอมแบ่งให้กิน พี่ฉายอวิ๋นเคยแอบเอามันหวานให้ฉันกิน ก็เลยอยากจะขอบคุณหล่อน”
แม้ว่าในตอนนี้ตระกูลอู๋จะจบสิ้นแล้ว แต่หลินม่ายก็ยังไม่ลดละความเกลียดชังที่มีต่อครอบครัวนี้
เธอไม่เคยพลาดที่จะสาดโคลนใส่พวกเขาเมื่อมีโอกาส
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นี่แหละน้า เวลามั่งมีหรือมีชื่อเสียงขึ้นมา ทุกคนก็หันมารุมล้อม
บ้านตระกูลอู๋เมิงคิดผิดแล้วที่ทำกับม่ายจื่อแบบนี้
ไหหม่า(海馬)