ตอนที่ 86 พันแผล
ชายหนุ่มทำความสะอาดบาดแผลที่อยู่บนลำตัวด้านหน้า ใส่ยาให้ตัวเองเรียบร้อย หลังจากนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นมาพิงท่อนบนลงกับตัวของหลินม่าย ทำให้เธอไม่อาจลุกหนีไปไหนได้
หลินม่ายชะงักไปแล้วเอ่ยถามด้วยความหวาดระแวง “คุณจะทำอะไรน่ะ?”
คนเจ็บขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “ทำแผลที่หลังให้ที”
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็เสริมขึ้นอีกว่า “ก็ฉันทำเองไม่ได้”
ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแน่อยู่แล้ว ถ้าทำเองได้ก็คงไม่ไปพาตัวเธอมาถึงที่นี่
หลินม่ายมองไปที่ชายหนุ่มอย่างเงียบ ๆ แค่ทำแผลจำเป็นต้องใกล้กันขนาดนี้เลยหรือ?
เธอค่อย ๆ บรรจงทำแผลให้เขาไปทีละขั้นตอน ตั้งแต่ล้างแผลที่น่ากลัวพวกนั้นด้วยแอลกอฮอล์จุ่มก้านสำลี
การลงน้ำหนักอย่างเบามือนั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และยังรู้สึกเพลินจนทำให้สามารถหลับตาลงได้อย่างสบายใจ
การล้างแผลผ่านพ้นไป มือเรียวของหญิงสาวค่อย ๆ ใช้สำลีทายาอวิ๋นหนานไป๋ลงบนแผล
“ทำแผลแค่นี้มันได้จริง ๆ ใช่ไหม ต้องไปหาหมอหรือเปล่า” หลินม่ายถามด้วยความกังวล
แต่กลับได้เสียงหัวเราะพร้อมคำตอบกวนประสาทกลับมาแทน “บอกว่าไม่ได้หลงเสน่ห์ แต่ทำไมถึงได้ดูห่วงใยกันขนาดนี้ล่ะ”
ทำเอาหลินม่ายนึกอยากกัดลิ้นตัวเองที่ถามอะไรแบบนั้นไป
หญิงสาวหยิบผ้าพันแผลขึ้นมาแล้วเริ่มใช้มันพันที่ลำตัวของเขา ค่อย ๆ เลื่อนมือจากซ้ายไปขวาสลับไปมาจนมันปิดแผลทั้งด้านหน้าและหลังไปพร้อม ๆ กัน ใช้เวลาครู่หนึ่งก็เรียบร้อยดี
เธอเผลอปรบมือขึ้นหนึ่งครั้งอย่างยินดีเมื่อทำแผลเสร็จ “เรียบร้อย!”
ชายหนุ่มมองไปบนลำตัวของตนเองที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผลหนาแน่นราวกับดักแด้ ที่ปลายของมันผูกเป็นโบว์รวมกันไว้บริเวณกลางลำตัว เส้นเลือดที่ขมับของเขาปูดขึ้นมาทันทีด้วยแรงอารมณ์
ชายหนุ่มใช้เวลาสักพักในการหยุดความอยากเข้าไปขยี้หลินม่ายของตัวเอง ก่อนจะโบกมือไล่หญิงสาวกลับไป “กลับไปได้แล้ว เธอรู้นี่ว่าต้องออกไปทางไหน”
หญิงสาวรีบพยักหน้ารัว “ได้เลย ฉันจะไม่บอกใครเรื่องนี้”
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบอย่างเหนื่อยหน่าย
ระหว่างที่กำลังหมุนตัวกลับออกไปที่ประตู หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเขาต่อ “นี่คุณเชื่อใจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ”
แต่ได้รับคำตอบเป็นการยิ้มเยาะมาแทน “ฉันไม่ได้เชื่อใจเธอ ฉันเชื่อใจพี่น้องฉันต่างหาก เข้าใจที่พูดใช่ไหม”
“ขะ…เข้าใจแล้ว”
ถ้าปริปากบอกคนอื่น พรรคพวกของเขาจะตามมาฆ่าเธอ!
หลินม่ายรีบเปิดประตูแล้ววิ่งหนีออกมาโดยไม่ลืมที่จะหยิบเนื้อที่ซื้อไว้มาด้วย
หญิงสาวกลับมาถึงบ้านช้ากว่าเวลาปกติถึงหนึ่งชั่วโมง
โจวฉายอวิ๋นร้อนใจจนออกมารอหลินม่ายที่หน้าบ้าน
หลังจากที่ได้เห็นร่างของคนเป็นน้องตรงเข้ามาก็โล่งอกไปได้มากขึ้น
คนอายุมากกว่ารีบตรงเข้ามาช่วยถือเนื้อที่ซื้อมาเข้าไปในบ้านและเอ่ยถามขึ้น “ทำไมออกไปซื้อเนื้อนานจัง”
หลินม่ายที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นกังวลจึงไม่ได้บอกความจริงออกไป “เจ้าของร้านมาสายก็เลยต้องยืนรอนานเลย”
โจวฉายอวิ๋นไม่ได้สงสัยอะไรต่อ
แม่ครัวทั้งสองช่วยกันหั่นเนื้อหมูสำหรับทำไส้ซาลาเปาโดยที่หลินม่ายทำหน้าที่ปรุงส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน หลังจากได้ไส้แล้วก็นำมาช่วยกันห่อลงในแป้งซาลาเปาแล้วเอาเข้าไปนึ่งจนสุก
นอกจากจะได้คนช่วยทำงานแล้วเธอยังได้คู่หูที่รู้ใจกันดีมาในเวลาเดียวกัน
แม้ว่าวันนี้ทุกอย่างจะล่าช้าไปหมดเพราะเหตุไม่คาดฝัน แต่เมื่อออกไปขายอาหารตอนหกโมงเช้าทั้งสองก็ขายซาลาเปาได้ถึง 200 ลูก กับไข่ต้มดองซีอิ๊วอีก 100 ฟอง
ในสองร้อยลูกเป็นไส้หมูสับผสมต้นหอมซอยกับไส้หมูสับผสมผักกาดดองอย่างละร้อยลูก
หลินม่ายเรียงอาหารทั้งสามชนิดลงในถังไม้ขนาดใหญ่ที่มีฝาปิดสำหรับใส่อาหารโดยเฉพาะ ยกทั้งหมดขึ้นมาตั้งบนรถเข็นด้วยความช่วยเหลือจากโจวฉายอวิ๋นก่อนออกเดินทางไปขายของ
ส่วนโจวฉายอวิ๋นก็เตรียมทำซาลาเปาอยู่ที่บ้านต่อ
ที่ท่าเรือวันนี้ไม่ได้มีคนออกมาขายของกินมากนัก
แม้ว่าจะมีร้านขายซาลาเปาสองเจ้า แต่เรื่องรสชาติก็ยังถือว่าห่างไกลจากซาลาเปาของหลินม่ายอีกไกล ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ขึ้นมากจากเรือข้ามฟากจึงเลือกซื้ออาหารจากหลินม่าย
หญิงสาวเน้นแนะนำสินค้าใหม่ที่เป็นซาลาเปาไส้หมูสับผสมผักกาดดอง
แม้ว่าซาลาเปาไส้ใหม่นี้จะใช้หมูเหมือนกัน แต่ก็มีสัดส่วนของเนื้อสัตว์ที่น้อยกว่าทำให้มีราคาย่อมเยา 1 ลูกเพียง 1 เหมาเท่านั้น
ใคร ๆ ก็ชอบของอร่อยในราคาประหยัด ซาลาเปาไส้หมูสับผสมผักกาดดองได้รับความนิยมมาก มีลูกค้าเข้ามารุมล้อมเพื่อรอซื้อ
ทุกคนต่างยื่นเงินให้แม่ค้าสาว เพราะกลัวว่าจะซื้อไม่ทัน
เรือข้ามฟากเข้าเทียบท่าเพียงสองครั้ง หลินม่ายก็ขายซาลาเปาไส้หมูสับผสมผักกาดดองไปได้มากกว่าครึ่ง และเมนูอื่น ๆ ก็ขายดีกว่าปกติไม่ต่างกัน
ยอดขายดีจนแม่ค้าอย่างเธอรู้สึกเบิกบาน
หลังจากที่ลูกค้าเริ่มลดลงหลินม่ายก็พบว่าฟางจั๋วหรานมายืนรอเธออยู่ ด้านหลังของเขามีรถสามล้อสภาพดีมากจอดไว้
เธอเห็นแบบนั้นจึงหยิบซาลาเปาไส้หมูสับผสมต้นหอมชิ้นใหญ่ ๆ สามชิ้นออกมาพร้อมกับไข่ต้มดองซีอิ๊วสองฟองในถังแล้วนำไปส่งให้ชายหนุ่ม
“นี่คุณปั่นสามล้อไปทำงานงั้นเหรอ” หลินม่ายเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
ฟางจั๋วหรานรับไปเพียงไข่ต้มดองซีอิ๊วหนึ่งฟอง “มีไส้หมูสับผสมผักกาดดองไม่ใช่เหรอ ขอเปลี่ยนเป็นอันนั้นดีกว่า”
หลินม่ายรีบเปลี่ยนให้ตามคำขอ
ฟางจั๋วหรานรับอาหารเมนูใหม่มากัดไปหนึ่งคำอย่างช้า ๆ “อื้ม อร่อยจัง!”
แล้วก็เริ่มตอบคำถามที่เธอถามค้างไว้เมื่อครู่ “ผมไม่ได้ปั่นสามล้อไปทำงาน แต่ซื้อมาให้คุณต่างหาก ใช้สามล้อขายของสบายกว่ารถเข็นแบบนี้เยอะ”
ที่สำคัญก็คือการปั่นสามล้อจะช่วยให้สามารถหนีจากเทศกิจได้เร็วขึ้นเวลาถูกไล่จับ
ทุกครั้งที่เขาเห็นเธอต้องเข็นรถเข็นหนี ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันลำบากมาก
“ฉันก็คิดว่าจะซื้อรถสามล้อมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยเห็นว่ามีขายในตลาดมืดเลย”
หญิงสาวเดินสำรวจรถไปรอบคัน “คันนี้ราคาเท่าไร พรุ่งนี้จะเอาเงินมาจ่ายให้”
ฟางจั๋วหรานปลอกไข่ต้มไปพร้อมกับบอกเธอว่า “ผมซื้อมาให้คุณ”
หลินม่ายรีบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ไม่เอา ฉันไม่ได้อยากของแพงขนาดนี้ฟรี ๆ หรอกนะ”
รถสามล้อคันเดียวเรียกว่าของแพงได้งั้นเหรอ?
ฟางจั๋วหรานไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องคิดเงินกับเธอ “งั้นพรุ่งนี้จ่ายผมมา 80 หยวน”
หลินม่ายจ้องหน้าเขาด้วยความฉงน “รถดี ๆ แบบนี้มาขาย 80 หยวน คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง”
รถแบบนี้มักจะขายได้ราคาอย่างน้อย ๆ ก็ 120 หยวน ในตลาดมืด
ฟางจั๋วหรานอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง “รถคันนี้เป็นรถของโรงอาหารมหาวิทยาลัย เขาไม่ได้ใช้ก็เลยซื้อมาได้ราคานี้ ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามที่นั่นดูก็ได้”
หลังจากคิดอยู่ซักพักเขาก็เริ่มเล่าต่อ “โรงพยาบาลผู่จี้เป็นโรงพยาบาลใหญ่ที่มีชื่อเสียง ไม่จำเป็นต้องขายรถสามล้อเอากำไรอะไรหรอก ถ้าอาจารย์ในมหาวิทยาลัยอยากจะซื้อรถสามล้อที่ไม่มีคนใช้ เขาก็ไม่คิดราคาแพงอะไร แค่เก็บเงินพอเป็นพิธีไปเท่านั้นแหละ”
ความจริงแล้วเขาให้คนรู้จักช่วยหารถสามล้อคันนี้มาให้ ราคาจริง ๆ ที่จ่ายไปก็มากกว่าร้อยหยวน แต่ไม่ได้บอกความจริงกับเธอ
คำอธิบายของเขามีน้ำหนักแต่ก็ยังมีบางอย่างที่เธอยังติดใจอยู่ ซึ่งหลินม่ายจะพยายามหาโอกาสเค้นความจริงจากเขาในครั้งหน้า
ตอนนี้มีรถสามล้อเพิ่มมาอีกคัน หลินม่ายวางแผนจะเอาอุปกรณ์และซาลาเปาทั้งหมดใส่รถสามล้อแล้วเอารถเข็นคนเก่ากลับไปเก็บที่บ้าน ซึ่งต้องรบกวนให้ฟางจั๋วหรานช่วยเฝ้าร้านใหม่ให้เธอก่อน
ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พบว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่จึงพยักหน้ารับคำขอนั้นอย่างเต็มใจ
หลินม่ายรีบเข็นรถกลับไปที่บ้าน โจวฉายอวิ๋นเห็นแบบนั้นก็เกิดความสงสัยว่าทำไมถึงเอารถเข็นกลับมาก่อน แต่หญิงสาวยังไม่มีเวลาตอบคำถามเหล่านั้น
เธอต้องรีบกลับไปเปลี่ยนมือกับฟางจั๋วหรานเพื่อให้เขากลับไปทำงาน
เวลาของอาจารย์หนุ่มจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ชื่อดังเป็นเงินเป็นทอง ไม่ควรมาเสียไปกับการเฝ้าร้านแผงลอยของเธอ
หญิงสาวมองเห็นฟางจั๋วหรานกำลังช่วยเธอขายของกินจากระยะไกล ลูกค้ามากมายกำลังต่อคิวซื้ออาหารจากเขา และเกือบทั้งหมดเป็นสาว ๆ
ในเวลาเพียง 20 นาทีผู้ช่วยกิตติมศักดิ์สุดหล่อช่วยเธอขายซาลาเปาและไข่ต้มดองซีอิ๊วไปเป็นจำนวนมาก
ฟางจั๋วหรานจ่ายเงินค่าอาหารเช้าของเขาให้เธอแล้วขอตัวกลับ
ตอนนี้เหลือซาลาเปาเพียง 10-20 ลูก หลินม่ายจึงกลับไปที่บ้านเพื่อเติมของและตอบคำถามที่ค้างโจวฉายอวิ๋นเอาไว้เมื่อครู่
เธอเล่าให้คนเป็นพี่ฟังว่าฟางจั๋วหราน หลานชายคนโตของคุณปู่ฟางเป็นคนช่วยหารถสามล้อมาให้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงนำรถเข็นคันเก่ากลับมาเก็บ
โจวฉายอวิ๋นบรรจงเรียงซาลาเปาที่เพิ่งนึ่งใหม่ ๆ ลงไปในถังไม้แล้วพูดขึ้นมาว่า “ถ้ามีสามล้อแล้วแบบนี้ รถเข็นที่ไม่ได้ใช้แล้วก็น่าจะเอาไปขายนะ”
หลินม่ายก็คิดแบบเดียวกัน จะจอดรถเข็นนี่ไว้เฉย ๆ ก็คงเปลืองพื้นที่ เธอจะไปลองถามคนในหมู่บ้านว่ามีใครอยากซื้อมันไปไหมเพื่อจะได้ขายมันให้กับคนที่อยากได้
หลินม่ายเติมอาหารลงไปในถังทั้งสองจนเต็ม แล้วถีบสามล้อกลับออกมา
แต่ยังไม่ทันถึงท่าเรือดีก็พบว่ามีเทศกิจหลายคนเดินไปมารอบ ๆ บริเวณนั้น พ่อค้าแม่ค้าที่เคยขายของอยู่ตอนแรกก็หนีหายกันไปหมดแล้ว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เจ้าหนุ่มนี่เป็นใครกันนะ เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะ อยู่ๆ จี้ตัวม่ายจื่อไปทำแผลให้ตัวเองเฉย
พี่หมอสายเปย์มากค่ะ ทั้งหล่อ รวย นิสัยดี เชียร์ให้ได้เป็นพระเอกนะคะ
ไหหม่า(海馬)