ตอนที่ 84 อันตรายจากโจรล้วงกระเป๋า
ใบหน้าของอู๋เสี่ยวเถาแดงก่ำ หล่อนจ้องมองคุณย่าฟางด้วยสายตาแค้นเคือง ก่อนจะอ้าปากเตรียมเปิดประเด็นสนทนากับหลินม่าย
แต่หลินม่ายเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ทำไมมองคุณย่าฟางแบบนั้น ที่ท่านพูดก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันยังเป็นพี่สะใภ้ของเธออยู่หรือไง?”
เมื่อถูกยิงคำถามติดต่อกันถึงสามเรื่อง อู๋เสี่ยวเถาก็พูดไม่ออก จึงเปลี่ยนมาเป็นการทำตัวน่าสงสาร ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาแล้วร้องขอความเห็นใจขึ้นมา “ฉันเปล่าทำแบบนั้นนะคะ”
ท่าทางแบบนั้นทำเอาหลินม่ายต้องกลอกตาใส่ด้วยความรู้สึกรังเกียจจนคลื่นไส้ “ใครเชื่อก็บ้าแล้ว”
“ม่ายจื่อ เรามาคุยกันแบบดี ๆ ซักหน่อยไม่ได้เหรอ” อู๋เสี่ยวเถาเริ่มเข้าประเด็นอีกครั้ง แต่ก็ปิดความไม่พอใจของตัวเองเอาไว้ไม่มิด
“แล้วเราสองคนมีความสัมพันธ์แบบที่ต้องคุยกันดี ๆ หรือไง?” หลินม่ายถามกลับ
อู๋เสี่ยวเถาเริ่มใช้น้ำตาเข้าช่วย “ฉันรู้ว่าพ่อแม่แล้วก็พี่ชายของฉันทำให้เธอต้องเจ็บปวด แต่ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เธอจะทำแบบนี้กับฉันจริง ๆ งั้นเหรอ?”
“แล้วต้องให้ฉันทำยังไงกับเธอเหรอ?” หลินม่ายเอ่ยถามขึ้นอย่างประชดประชัน
“เรา…เรายังเป็นเพื่อนกันได้นะ” นักแสดงเจ้าบทบาทเริ่มปาดน้ำตาที่ไหลรินบนใบหน้า
“เพื่อน?” แต่สิ่งที่ได้รับกลับไปคือการเย้ยหยันจากคนที่มองหล่อนออกตั้งแต่เริ่มอ้าปากพูด “เธอเลยตรงรี่ไปที่บ้านพ่อแม่ฉัน รวมหัวกับแม่แล้วก็พี่สาวฉันให้สองคนนั้นตามไปรังควานฉันถึงที่บ้านในเมืองน่ะเหรอ? การแสดงความเป็นเพื่อนของเธอคือการจ้องจะหักหลังคนคนนั้นงั้นสิ?”
ถ้าจะมีใครซักคนที่เข้าไปยุยงซุนกุ้ยเซียงกับลูกสาวคนโตของนางให้เข้าไปก่อเรื่องถึงในเมืองได้ คนคนนั้นที่อยู่เบื้องหลังก็คงจะเป็นอู๋เสี่ยวเถา
อู๋เสี่ยวเถานิ่งไปครู่หนึ่งเพราะไม่คิดว่าหลินม่ายจะสงสัยว่าเป็นหล่อน
“ฉันเปล่านะ” หล่อนรีบปฏิเสธ
“แม่กับพี่สาวฉันบอกทุกอย่างหมดแล้วว่าเป็นเธอ ยังจะมาโกหกอีกทำไม?” หลินม่ายแกล้งหยั่งเชิงอีกฝ่ายด้วยการโกหกออกไปบ้าง
อู๋เสี่ยวเถาหลงกลอย่างง่ายดายและเริ่มแสดงท่าทางโกรธแค้นออกมา
ไม่คิดเลยว่าสองแม่ลูกนั่นจะกล้าหักหลังเธอ
ตั้งแต่ที่รู้ว่าหลินม่ายร่ำรวยขึ้นมากจนถึงขั้นจ่ายเงินซื้อรถแทรกเตอร์ได้ อู๋เสี่ยวเถาก็นอนคิดทั้งคืนว่าน่าจะหาประโยชน์อะไรจากพี่สะใภ้ได้บ้าง
นั่นเป็นสาเหตุที่หล่อนมาหาหลินม่ายในวันนี้ เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกหลินเพ่ยและแม่ของหล่อนหักหลัง แผนการที่คิดเอาไว้พังไม่เป็นท่า หล่อนจึงทำได้เพียงล่าถอยไปด้วยความสิ้นหวัง
หลังจากตระเตรียมสัมภาระทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็ขับรถแทรกเตอร์พาโต้วโต้วไปที่บ้านของโจวฉายอวิ๋น
ครอบครัวโจวรอต้อนรับแขกคนสำคัญของพวกเขาอย่างอบอุ่น
พ่อโจวสั่งให้ลูกชายเตรียมเป็ดไก่ และงานฉลองย่อม ๆ เอาไว้สำหรับสองแม่ลูก
แต่กลับถูกหลินม่ายห้ามเอาไว้
ครอบครัวโจวเองก็ใช่ว่าจะร่ำรวยสุขสบาย เธอไม่ต้องการให้พวกเขาใช้เงินมากมายรวมถึงต้องเสียเป็ดไก่ที่อาจจะเอาไปขายได้เพื่อมารับรองเธอ
และเธอเองก็ไม่ได้มีเวลามากนัก เพราะงั้นหญิงสาวจึงรับไว้เพียงน้ำใจจากพวกเขาเท่านั้น
ครอบครัวโจวพากันออกมาส่งพวกเธอก่อนจะเดินทางกลับ
พ่อโจวย้ำกับลูกสาวของเขามากว่าให้ตั้งใจทำงาน ถ้าเขารู้ว่าหล่อนทำตัวไม่เอาไหนหรือไม่ซื่อสัตย์เขาจะเป็นคนจัดการหล่อนเอง
การเดินทางด้วยรถแทรกเตอร์ทำให้สามารถเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางได้อย่างช้า ๆ เท่านั้น แม้ว่าจะออกเดินทางตั้งแต่แปดโมงเช้า แต่กว่าจะไปถึงหมู่บ้านซานหยางก็เลยเที่ยงเข้าไปแล้ว
ยังดีที่ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีปัญหาเรื่องรถติด ไม่อย่างนั้นกว่าจะเดินทางมาถึงก็คงจะเป็นเวลาบ่ายสามบ่ายสี่โมงได้
เมื่อรถแทรกเตอร์จอดเทียบที่หน้าบ้าน ทั้งสามก็พากันลงจากรถ
โจวฉายอวิ๋นมองไปที่บ้านขนาดย่อมซึ่งสร้างขึ้นจากอิฐด้วยความตื่นเต้น “นี่คือบ้านของเธอที่นี่เหรอ”
หลินม่ายพยักหน้าแทนคำตอบ หญิงสาวเดินเปิดประตูนำเข้าไปในบ้าน พาคนอายุมากกว่าไปยังห้องที่เคยเป็นของแม่เถียหนิว “ต่อไปนี้ นี่เป็นห้องของพี่นะ”
หลังจากจัดแจงที่อยู่ที่นอนและแนะนำสิ่งต่าง ๆ ให้โจวฉายอวิ๋นแล้ว หลินม่ายก็ไปที่ตลาดมืดเพื่อเตรียมซื้อของสำหรับงานเลี้ยงเล็ก ๆ ในการต้อนรับฉายอวิ๋น
วันนี้เป็นวันแรกที่เธอได้กลับมาที่บ้านเลยยังไม่ทันได้กินอาหารจนอิ่มเท่าไรนัก
การเข้าเมืองครั้งแรกของโจวฉายอวิ๋นช่างน่าตื่นเต้น ทุกอย่างดูน่าสนใจไปหมด หล่อนจึงขอตามหลินม่ายไปดูตลาดมืดด้วย
ตลาดมืดในเมืองเป็นสถานที่แสนพลุกพล่านวุ่นวาย และช่วงนี้มีข่าวว่าโจรล้วงกระเป๋ากำลังอาละวาดอยู่
แต่พวกเธอจะไปซื้อเพียงพวกอาหารเท่านั้นและไม่ได้ถือเงินจำนวนมาก จึงไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไร
หลินม่ายตัดสินใจจะพาโจวฉายอวิ๋นไปด้วย
โต้วโต้วเริ่มร้องตามแม่และอาหวงก็เดินตามมาด้วยเหมือนกัน
กลายเป็นว่า คนสามคนกับสุนัขหนึ่งตัวได้ออกไปเดินเลือกซื้อของในตลาดมืดด้วยกันหมด
หลินม่ายต้องการซื้อปลาและเนื้อสัตว์ แต่โจวฉายอวิ๋นไม่อยากให้เธอต้องเสียเงินมากเกินไป
หลินม่ายต้องการให้ฉายอวิ๋นสบายใจจึงยิ้มกล่าวว่า “ต่อให้พี่ไม่ได้มาด้วย ปกติฉันก็ทำอาหารจานเนื้อวันละอย่างสองอย่างอยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากขนาดนั้นน่า”
สุดท้ายพวกเธอก็ได้วัตถุดิบชั้นดีมาหลายอย่างสำหรับมื้ออาหาร อย่างหมูสามชั้น ซี่โครงหมู และปลาตะเพียน ตามความตั้งใจของหลินม่าย
พอกลับมาถึงบ้าน สองสาวก็เตรียมมื้อกลางวันแสนอร่อยด้วยกัน
เวลาเกือบจะบ่ายสอง ทั้งสามคนเริ่มหิวจนท้องร้อง กระเพาะต้องการอาหารไปเติมเต็ม พวกเธอรีบจับตะเกียบของตัวเองแล้วเริ่มจัดการกับอาหารทันที
โต้วโต้วกินอย่างเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ เด็กน้อยถือซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดจนมุมปากมันเยิ้มไปด้วยซอส
โจวฉายอวิ๋นเห็นดังนั้นจึงล้วงมือไปในกระเป๋าเสื้อหมายจะหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมา แต่กลับมีอาการชะงักค้าง
“มีอะไรหรือเปล่า” หลินม่ายถามด้วยความสงสัย
โจวฉายอวิ๋นเปิดกระเป๋าของเธอออกมาให้หลินม่ายดู
กระเป๋าของเธอว่างเปล่า ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ในนั้น ทิ้งไว้แต่เพียงร่องรอยการกรีดด้วยมีดฝากไว้เป็นผลงานชิ้นเอกจากหัวขโมย
“ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าถูกกรีดไปตอนไหน” น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความรู้สึกกลัว
แต่สิ่งที่หลินม่ายห่วงในตอนนี้ก็คือ “เงินโดนเอาไปด้วยหรือเปล่า”
โจวฉายอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่ ฉันเก็บเงินไว้ในห้อง”
ในตอนแรกหลินม่ายเล่าให้เธอฟังแล้วว่าตลาดมืดในเมืองค่อนข้างจะวุ่นวายและต้องระวังตัวให้ดี แต่หล่อนยังไม่ค่อยเชื่อจนกระทั่งได้เจอกับตัว
ในชนบทเองก็มีตลาดมืด และแม้ว่าจะคับคั่งด้วยผู้คน มีปัญหาเรื่องขโมยบ้าง แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับที่นี่
หลังมื้อกลางวันจบลง หลินม่ายนำใบรับรองการย้ายบ้านที่ได้มาจากคุณปู่ฟางไปที่สถานตำรวจท้องถิ่นของหมู่บ้านซานหยางเพื่อขอทำทะเบียนบ้านเล่มใหม่
หญิงสาวกลับมาถึงบ้านพร้อมทะเบียนบ้านเล่มใหม่ เรียกความสนใจจากโจวฉายอวิ๋นและโต้วโต้วได้เป็นอย่างดี
“แบบนี้เธอกับโต้วโต้วก็กลายเป็นคนเมืองแล้วสิ” โจวฉายอวิ๋นเอ่ยแซวอย่างอิจฉา
“ไม่ขนาดนั้น ! ก็ยังเป็นทะเบียนบ้านสำหรับชนบทอยู่ดี แค่เปลี่ยนจากเกษตรกรในเมืองซื่อเหม่ย มาเป็นเกษตรกรในหมู่บ้านซานหยางเท่านั้นเอง”
ในยุคนี้การทำเรื่องย้ายทะเบียนบ้านจากในเมืองไปยังชนบทไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะขอย้ายจากชนบทเข้าเมืองเป็นเรื่องยากกว่ามาก
ยังไม่ทันห้าโมงเย็นอาหารเย็นก็ถูกเตรียมพร้อม
โจวฉายอวิ๋นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “คนในเมืองนี้กินข้าวเย็นกันเร็วมากเลยเหรอ”
หลินม่ายส่ายศีรษะก่อนจะเอ่ยต่อ “เปล่าหรอก คนอื่น ๆ มักจะกินมื้อเย็นกันตอนหกโมงเย็น แต่บ้านเราต้องกินข้าวเช้าแต่เช้า เพราะต้องตื่นตี 3 ตี 4 มาทำซาลาเปา เลยต้องขยับมื้อเย็นมาให้เร็วขึ้น”
เธอสบตากับโจวฉายอวิ๋นแล้วถามต่อ ”พี่ทำซาลาเปาเป็นหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นฉันจะสอนให้เอง”
ถ้าไม่ได้เป็นคนโง่เกินไปนักก็จะสามารถเรียนรู้วิธีการทำซาลาเปาให้อร่อยได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน
คนอายุมากกว่าส่งยิ้มกลับมา “พูดไปก็จะหาว่าคุย อย่าว่าแต่นึ่งซาลาเปาเลย ฉันถนัดทำเมนูเส้นทุกชนิด มันอยู่ในสายเลือดคนเหอหนาน”
หลินม่ายมีท่าทางสงสัยขึ้นมา “หืม ทำไมฉันไม่เคยได้ยินพี่พูดติดสำเนียงเหอหนานเลยล่ะ”
“บ้านฉันย้ายมาจากมณฑลหูตั้งแต่รุ่นปู่ ถ้านับดูก็เป็นรุ่นที่สามไปแล้ว จะไม่ติดสำเนียงเหอหนานก็ไม่แปลก”
หลังอาหารเย็น โจวฉายอวิ๋นก็รีบเก็บล้างจาน แล้วลงมือทำบะหมี่กับหลินม่าย
ท่าทางของคนเป็นพี่ดูขะมักเขม้นและช่ำชองราวกับขุนศึกที่เจนสนามรบ
บะหมี่ถูกเตรียมเสร็จเรียบร้อยก็ถูกพักเอาไว้ในครัว
เนื่องจากทั้งสองใช้แป้งเก่าในการทำและอยู่ในช่วงที่สภาพอากาศที่ไม่ได้ร้อนมาก ทำให้ต้องใช้เวลาในการเตรียมบะหมี่อย่างน้อย ๆ 6 ชั่วโมง ส่วนซาลาเปาจะเริ่มทำกันในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า
เมื่องานของวันนี้เสร็จสิ้น ทั้งสามก็ไปอาบน้ำแล้วเข้านอน
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเวลาตีสามครึ่ง หลินม่ายและโจวฉายอวิ๋นลุกจากที่นอนอย่างไม่อิดออด
หลังจากจัดการล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยโจวฉายอวิ๋นก็ไปปรุงบะหมี่ที่เตรียมไว้เมื่อคืน หลินม่ายเริ่มจุดเตา นำไข่ไก่ที่ทำความสะอาดไว้เมื่อคืนนี้ลงไปแช่ในน้ำเกลือ ก่อนจะออกไปซื้อเนื้อที่ตลาดมืด
คนเป็นพี่นึกถึงเหตุการณ์ที่เจอที่ตลาดมืดเมื่อวานนี้ก็กลัวว่าจะเป็นอันตรายถ้าปล่อยให้หลินม่ายไปที่ตลาดคนเดียวจึงอาสาจะไปเป็นเพื่อน
แต่หลินม่ายโบกมือปฏิเสธ “ฉันชินแล้ว พี่ไม่ต้องไปด้วยหรอก สบายมากหายห่วง พี่อยู่บ้านเตรียมเอาผักกาดเขียวดองออกมาล้างแล้วหั่นเตรียมไว้อย่างสบายใจได้เลย เดี๋ยวฉันจะกลับมาพร้อมกับเนื้ออย่างดีสำหรับทำไส้ซาลาเปานะ”
โจวฉายอวิ๋นส่งเธอออกจากบ้านด้วยความเป็นห่วงและไม่ลืมที่จะบอกให้หลินม่ายระวังตัวด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ว้ายยย โป๊ะแล้วเสี่ยวเถา ไม่ได้อะไรจากม่ายจื่อหรอก
การโดนกรีดกระเป๋านี่น่ากลัวมากเลย ดีที่ไม่ได้เอาเงินไปเยอะ
ไหหม่า(海馬)