ตอนที่ 94 แรงงานชนบทใจดี
แรงงานชนบท(1)ทุกช่วงวัยที่ทำงานอยู่ในไซต์งานก่อสร้างดูท่าทางใจดีมาก หลินม่ายเข้าไปแจ้งความประสงค์กับพวกเขาว่าระบบน้ำและระบบไฟฟ้าของบ้านของเธอมีอายุการใช้งานหลายปีแล้ว เลยต้องการว่าจ้างช่างเข้าไปซ่อมแซม
ทันใดนั้นแรงงานชนบทคนหนึ่งก็มีน้ำใจเป็นธุระไปคุยกับนายช่างคนหนึ่งที่มีอายุอานามประมาณสี่สิบปี “นายช่างจาง ผู้หญิงคนนี้บอกว่าสายไฟในบ้านของหล่อนเริ่มเสื่อมสภาพแล้วครับ คุณช่วยไปดูให้หล่อนหน่อยเถอะ”
นายช่างจางตอบรับ พลางหันไปพูดกับหลินม่าย “รอผมสักครู่ เดี๋ยวผมจะไปหยิบชุดเครื่องมือช่างก่อน”
หลินม่ายตอบกลับ “เอาวัสดุที่จำเป็นติดมาด้วยก็ดีนะคะ เผื่อส่วนไหนใช้งานไม่ได้แล้วจะได้รวดเปลี่ยนทีเดียวค่ะ”
นายช่างเหล่านี้ทำงานอยู่ในไซต์งานก่อสร้าง แน่นอนว่าภายในพื้นที่มีวัสดุประเภทงานเดินท่อและเดินสายไฟที่ใหม่เอี่ยม
ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะใช้สำหรับซ่อมแซมและเปลี่ยนใหม่ให้กับผู้พักอาศัยตามบ้าน
ต่อให้หลินม่ายไปที่ตลาดมืดด้วยตัวเอง อาจจะหาซื้ออุปกรณ์พวกนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
พอเห็นว่านายช่างจางทำสีหน้าลังเล หลินม่ายจึงรีบพูดเสริมขึ้นมาว่า “ฉันไม่ใช้วัสดุอุปกรณ์ของคุณฟรี ๆ หรอกค่ะ และจะไม่เชิญคุณไปทำงานโดยเปล่าประโยชน์แน่ คุณสามารถเรียกค่าเสียเวลากับค่าอุปกรณ์จากฉันได้เลย”
หลังจากนั้นนายช่างจางก็เดินออกไปที่กระท่อมพักอาศัยชั่วคราวของแรงงานชนบท หยิบเอากล่องเครื่องมือช่างกับวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นติดมือมาด้วย แล้วตามเธอกลับไปยังบ้านเช่า
สิ่งแรกที่เขาทำคือตรวจสอบระบบท่อประปา
สันนิษฐานได้ว่าระบบการเดินท่อคงมีอายุการใช้งานนานไม่ต่ำกว่าสิบปี
ถึงแม้ก๊อกน้ำจะมีสภาพเก่าโทรมไปสักหน่อย แต่ก็ยังมีคุณภาพดี แถมยังเปิดใช้งานได้ตามปกติ ดังนั้นระบบน้ำประปาในบ้านจึงยังไม่มีจุดไหนที่ต้องเปลี่ยนใหม่
นายช่างจางตรวจสอบระบบเดินสายไฟเป็นงานต่อไป
หลังจากตรวจสอบทั่วแล้ว เขาหันไปพูดกับหลินม่าย “ถึงสายไฟจะเก่าแต่ไม่ได้มีปัญหาอะไร ยังใช้งานต่อไปได้อีกประมาณสี่ถึงห้าปี จะเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดเลยหรือยังไม่ต้องดีครับ?”
คุณลุงคนนี้ซื่อสัตย์ต่องานของตัวเองจริง ๆ
ถ้าเป็นคนอื่นที่จ้องหาโอกาสขูดรีดผู้ว่าจ้าง คงไม่ยอมบอกความจริงกับเธอแบบนี้แน่
ดีไม่ดีคงโกหกว่าสายไฟหมดอายุการใช้งานไปนานแล้ว เพื่อให้เธอเดินสายไฟใหม่ทั้งหมด
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เขาก็จะพลอยได้รับค่าจ้างเพิ่ม และหาทางขายวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ให้เธอในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง
หลินม่ายคิดในใจ เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเช่าบ้านหลังนี้เพื่อเปิดร้านไปอีกนานแค่ไหน ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ประหยัดงบไว้คงดีกว่า เธอส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องเปลี่ยนหรอกค่ะ”
ท้ายที่สุด นายช่างจางแค่เปลี่ยนสวิตช์ไฟที่เปิดไม่ติดกับหลอดไฟที่เสียสองสามหลอดให้หลินม่าย เขาเรียกเก็บค่าแรงและค่าวัสดุอุปกรณ์จากหลินม่ายแค่สองหยวนเท่านั้น
หลินม่ายยินดีจ่ายให้เขาสามหยวน
ถึงแม้การหารายได้แต่ละหยวนจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเธอ แต่เพราะความซื่อสัตย์ของคุณลุงคนนี้ ทำให้เธอยอมควักจ่ายเป็นสินน้ำใจให้กับเขาอย่างไม่นึกเสียดาย
พอนายช่างจางได้รับเงินแล้ว ก็เก็บของเตรียมกลับไปที่ไซต์งานอย่างมีความสุข
หลินม่ายร้องเรียกเขาไว้ก่อน “คุณลุงคะ พอจะติดต่อช่างทาสีให้ฉันหน่อยได้ไหม? ฉันอยากทาสีบ้านใหม่ด้วยน่ะค่ะ”
นายช่างจางตอบรับคำขอของเธอด้วยความเต็มใจ เขากลับไปที่ไซต์งานก่อสร้าง ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับช่างทาสี
ช่างทาสีคนนี้ไม่ได้มามือเปล่า แต่ยังพกเอากระป๋องสีกับแปรงติดมือมาด้วย
หลินม่ายกับช่างทาสีช่วยกันทำงาน ทาสีผนังด้านในบ้านทั้งหมดด้วยสีขาวอย่างเรียบง่าย
ยุคสมัยนี้ผู้คนส่วนใหญ่นิยมทาสีผนังบ้านด้วยสีขาวธรรมดากันทั้งนั้น
แตกต่างจากการตกแต่งบ้านของยุคสมัยใหม่ สีขาวสะอาดไม่กลายเป็นที่นิยมอีกต่อไป ทั้งยังต้องผ่านกระบวนการมากมายหลายขั้นตอน
หลังจากทำความสะอาดบ้านเช่าเสร็จสรรพแล้ว หลินม่ายก็ถีบรถสามล้อกลับไปถึงบ้านของตัวเองในหมู่บ้านซานหยางในเวลาราว ๆ สี่โมงเย็น
สี่โมงยังไม่นับว่าเย็นย่ำมากนัก เธอเปลี่ยนไปขับรถแทรกเตอร์ แล้วพาโจวฉายอวิ๋นกับโต้วโต้วไปดูบ้านเช่าหลังใหม่ด้วยกัน
โต้วโต้วไม่ลืมอุ้มอาหวงที่ตัวโตขึ้นกว่าเดิมครึ่งหนึ่งมาด้วย ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนไร้เดียงสา “แม่คะ หนูขอพาอาหวงไปด้วยได้ไหม?”
หลินม่ายลูบศีรษะน้อย ๆ ของเธอด้วยความรักใคร่ “ได้สิ มันก็เป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของเราเหมือนกัน”
โต้วโต้วดีใจมาก รีบอุ้มอาหวงไว้แนบอกแล้วปีนขึ้นไปบนรถแทรกเตอร์
ทันทีที่พวกเธอเดินทางมาถึงบ้านเช่าหลังใหม่ โต้วโต้วก็เอาแต่วิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดอย่างร่าเริง เหยียบบันไดไม้เสียงดังเอี๊ยดอ๊าด มีอาหวงคอยวิ่งตามไม่ห่างอย่างตื่นเต้นเช่นเดียวกัน
โจวฉายอวิ๋นยืนอยู่ด้านหน้า สายตาสำรวจมองใต้ถุนอาคารชั้นล่างที่มีขนาดแคบไปหน่อย “ร้านนี้ไม่เล็กไปหน่อยหรือ?”
หลินม่ายตบแขนอีกฝ่ายเบา ๆ “พี่คงไม่รู้ ถึงแม้ร้านของเราจะวางโต๊ะได้แค่ไม่กี่โต๊ะ แต่ตราบใดที่โต๊ะพวกนั้นมีลูกค้าแวะเวียนมานั่งอย่างไม่ขาดสาย ร้านเราจะขายดียิ่งกว่าเดิมเสียอีก คนผ่านไปมาเห็นว่าเรามีลูกค้าเยอะก็จะสนใจเข้ามาอุดหนุนมากขึ้น อีกอย่าง ร้านเราขายแค่ซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว ลูกค้าไม่จำเป็นต้องนั่งกินในร้าน เพราะงั้นร้านไม่จำเป็นต้องใหญ่มากก็ได้”
โจวฉายอวิ๋นพยักหน้า “แล้วถ้า… อีกหน่อยเราย้ายมาอยู่ที่นี่ เธอจะทำอย่างไรกับบ้านที่หมู่บ้านซานหยาง?”
“ฉันจะต่อเติมแล้วเปิดให้เช่า”
โจวฉายอวิ๋นตกตะลึง “แต่คนในเมืองต่างก็มีบ้านเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ใครจะมาเช่าบ้านของเรากันล่ะ?”
“พี่อย่าลืมสิว่าสภาพที่อยู่อาศัยของคนในเมืองส่วนใหญ่ค่อนข้างแออัดไม่น้อยเลยนะ หลายครอบครัวต้องอาศัยอยู่ภายในห้องที่มีพื้นที่แค่สิบสองตารางเมตร เด็กสาวหลายคนไม่มีแม้แต่พื้นที่ส่วนตัวสำหรับเปลี่ยนผ้าอนามัย คนประเภทนั้นต้องสนใจเช่าบ้านของฉันแน่”
หลินม่ายคิดไว้ว่าจะปล่อยเช่าในราคาแค่สามหยวนต่อห้อง ซึ่งเป็นราคาที่สมเหตุสมผล
ถึงตอนนั้น เธอจะดัดแปลงห้องครัวให้กลายเป็นห้องส่วนตัวเพิ่มขึ้นมาอีกห้องหนึ่ง ค่าเช่าทั้งสี่ห้อง รวมกันแล้วเป็นเงินสิบสองหยวนต่อเดือน ถึงไม่มากนักแต่ก็ไม่น้อยเกินไป
พอเยี่ยมชมบ้านเช่าหลังใหม่จนทั่วแล้ว ทั้งสามก็พากันเดินทางกลับ
ระหว่างทาง โต้วโต้วจามหลายครั้งติดต่อกัน
โจวฉายอวิ๋นหันไปดุเธอทันที “ต้องเป็นเพราะหนูเอาแต่วิ่งขึ้นลงบันไดไม่หยุดแน่ ๆ พอร้อนจนเหงื่อออกแล้วโดนลมเย็น ๆ โกรกเข้าก็เป็นหวัดขึ้นมาอีกจนได้ ป้าบอกแล้วว่าอย่าวิ่ง หนูก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ครั้งล่าสุดที่หนูเป็นหวัดก็เพราะออกไปวิ่งเล่นกับเด็ก ๆ แถวบ้านนี่แหละ ลืมแล้วหรือ?”
โต้วโต้วได้แต่ก้มหน้างุดอย่างรู้ความผิด
อาหวงใช้อุ้งเท้าหน้าแตะโจวฉายอวิ๋นพลางครางหงิง ๆ สองสามหน ราวกับต้องการร้องขอให้หล่อนหยุดดุเจ้านายตัวน้อยของตัวเองเสียที
หลินม่ายเหลือบมองโต้วโต้วที่ซบอยู่ในอ้อมแขนของโจวฉายอวิ๋น ถามว่า “เร็ว ๆ นี้โต้วโต้วเป็นหวัดอีกแล้วหรือ? ทำไมฉันไม่ยักรู้เลย?”
“ทันทีที่รู้ว่าเธอเป็นหวัด พี่ก็รีบจัดการต้มน้ำขิงให้เธอดื่ม แล้วต้มน้ำอุ่นไว้ให้เธออาบ ไม่นานก็กลับมาหายเป็นปกติอย่างที่เห็น พี่เองก็ลืมบอกเธอไปเสียสนิท”
พอได้ยินแบบนั้นหลินม่ายก็เข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นกลับไปก็ต้มน้ำให้โต้วโต้วอาบ แล้วต้มน้ำขิงให้เธอดื่มบรรเทาหวัดก็พอแล้วล่ะ”
โต้วโต้วดื่มแค่น้ำขิงกับอาบน้ำอุ่นเป็นประจำ เท่านี้อาการไข้หวัดของเธอก็ดีขึ้นมากแล้ว
ตกกลางคืน สองแม่ลูกเข้านอนบนเตียงเดียวกัน หลินม่ายคอยวัดอุณหภูมิร่างกายของเด็กหญิงตัวน้อยหลายครั้งตลอดทั้งคืน เมื่อเห็นว่าอาการของเธอยังคงปกติดี ก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายกับโจวฉายอวิ๋นตื่นนอนแต่เช้าตรู่เหมือนทุกวันเพื่อเตรียมซาลาเปากับไข่ต้มให้พร้อมขาย
เวลาหกโมงเช้า หลินม่ายก็ออกไปตั้งร้านตามปกติ
แต่คราวนี้แทนที่เธอจะถีบสามล้อออกไป กลับเปลี่ยนไปขับรถแทรกเตอร์ แล้วพาโจวฉายอวิ๋น โต้วโต้ว กับอาหวงมุ่งตรงไปยังบ้านเช่าหลังใหม่บนถนนเจี่ยเฟิง
ถึงแม้ภายในบ้านจะไม่มีอุปกรณ์อะไรมากมาย แต่ก็พร้อมสำหรับการขายอาหารเช้าแล้ว
หลินม่ายเดินเข้าไปที่ห้องชั้นแรกใต้ถุนอาคาร ลากโต๊ะแปดเซียนเพียงตัวเดียวในบ้านออกมาตั้งไว้หน้าประตูร้าน ก่อนจะวางซึ้งไม้ไผ่สามอันที่บรรจุซาลาเปานึ่งกับไข่ต้มไว้บนโต๊ะแปดเซียน มอบหมายให้โจวฉายอวิ๋นตะโกนเรียกลูกค้าไปก่อน
โต้วโต้ววิ่งเล่นอยู่ในครัวกับอาหวง ส่วนเธอปลีกตัวออกไปยังตลาดค้าเฟอร์นิเจอร์มือสองของรัฐเพื่อซื้อเครื่องเรือนเพิ่ม
เธอไม่คิดจะขนย้ายเฟอร์นิเจอร์จากบ้านที่หมู่บ้านซานหยางมาที่นี่ เดิมทีพวกมันก็ทั้งเก่าและโทรมพออยู่แล้ว ถ้าขนมาด้วยคงพังระนาวอย่างไม่ต้องสงสัย
ครั้งต่อไปเธอคงต้องหาบ้านเช่าที่มีเฟอร์นิเจอร์พร้อมใช้ในตัวเสียแล้ว
ตามหลักแล้วถ้าจะซื้อเฟอร์นิเจอร์มือหนึ่งต้องใช้คูปอง แต่หลินม่ายไม่มี จึงเลือกเดินทางไปที่ตลาดค้าเฟอร์นิเจอร์มือสองแทน
อย่างน้อยร้านขายของมือสองก็ไม่เรียกเก็บคูปองจากเธอ
ถึงโจวฉายอวิ๋นจะไม่มีหัวการค้าเฉลียวฉลาดเท่าหลินม่าย แต่การขายอาหารที่หน้าประตูบ้านก็เป็นไปอย่างราบรื่นดี
เธอไม่จำเป็นต้องเร่ขายไปตามท้องถนน และไม่ต้องเก็บร้านหนีเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่เทศกิจออกลาดตระเวน
ตอนแรกหลินม่ายคิดว่าตลาดค้าเฟอร์นิเจอร์มือสองที่นี่คงมีแต่เครื่องเรือนเก่า ๆ สภาพเยินเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าภายในร้านจะยังมีเครื่องเรือนระดับไฮเอนด์บางชิ้นที่ทำจากไม้มีค่าอย่างไม้หวงฮวาหลี(2)และไม้อื่น ๆ วางขายอยู่ด้วย
ภพชาติก่อนหลินม่ายหาเงินได้เป็นจำนวนมาก ทั้งตระกูลอู๋และตระกูลหลินต่างก็ใช้ไม้มีค่าประเภทนี้ในการทำเครื่องเรือน ดังนั้นเธอจึงจดจำลักษณะของมันได้อย่างชัดเจน
เครื่องเรือนภายในตลาดค้าเฟอร์นิเจอร์มือสองของรัฐติดป้ายราคาไว้ทุกตัว
หลินม่ายเดินวนทั่วร้านเพื่อเปรียบเทียบราคา พบว่าเครื่องเรือนที่ทำจากไม้หรือวัสดุทั่วไปมีราคาถูก ในขณะที่เครื่องเรือนซึ่งทำจากไม้ล้ำค่ามีราคาแพงหูฉี่
อย่างเช่นเตียงขนาดใหญ่สไตล์ยุโรปที่ผลิตจากไม้หวงฮวาหลี มีราคาอยู่ที่สามร้อยหยวน ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่ผลิตจากไม้หวงฮวาหลีราคาห้าร้อยหยวน ส่วนชุดโซฟาไม้ที่ทำจากไม้ประเภทเดียวกันก็มีราคาอยู่ที่สี่ร้อยหยวน
ถ้าเธอตัดสินใจซื้อเครื่องเรือนพวกนี้ เงินที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาคงหายไปมากกว่าครึ่ง
แต่ถ้าไม่ซื้อเก็บไว้ก็คงน่าเสียดายไม่แพ้กัน
เพราะหลังจากเวลาล่วงเลยผ่านไปประมาณสองถึงสามทศวรรษ เครื่องเรือนเหล่านี้จะสามารถขายต่อได้ในราคาสูงลิ่วถึงหลายแสนหยวน
ตราบที่ที่เธอกว้านซื้อเครื่องเรือนที่ทำจากไม้หวงฮวาหลีทั้งหมดในร้าน ในอนาคตคงขายได้กำไรกลับคืนมานับล้านหยวนเลยทีเดียว
พนักงานขายหลายคนที่ทำงานอยู่ในตลาดค้าเฟอร์นิเจอร์มือสองของรัฐจับกลุ่มพูดคุยกัน ไม่มีใครให้ความสนใจหลินม่าย
เครื่องเรือนราคาแพงขนาดนี้ ผู้หญิงปอน ๆ คนนั้นจะมีปัญญาจ่ายเงินซื้อได้อย่างไรกัน
……………………………………………………
(1) แรงงานชนบท คือแรงงานที่มีทะเบียนบ้านเป็นเกษตรกรในชนบท แต่เข้ามาทำงานในเมือง
(2) ไม้หวงฮวาหลี ไม้ล้ำค่าที่นิยมในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง เป็นไม้เขตร้อน พบทางจีนตอนใต้และเวียดนาม บางคนเรียกไม้พะยูงหอม มีความโดดเด่นที่ลวดลายสวย ไม้เก่าที่มีริ้วลายหลอน ๆ และประกายสีทองในเนื้อไม้ ยิ่งมีราคาแพงขึ้นไปอีก
สารจากผู้แปล
โชคดีที่เจอช่างดี ไม่งั้นคงโดนขูดไปเยอะ
พวกหล่อนที่จับกลุ่มนินทากันตรงนั้นน่ะ รู้จักผ้าขี้ริ้วห่อทองไหมคะ
ไหหม่า(海馬)