ตอนที่ 79 หลินเพ่ยพาแม่มาหาถึงหน้าประตูบ้าน
หลินม่ายอยากลองทำธุรกิจขายข้าวผัดไข่ที่ท่าเรือในช่วงเที่ยงของวันหยุดสุดสัปดาห์มานานแล้ว
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี อากาศปลอดโปร่ง เจ้าหน้าที่เทศกิจไม่ออกลาดตระเวน
วันก่อนเธอไปที่ตลาดมืดแล้วซื้อไข่มาเป็นจำนวนมาก ทั้งยังขอให้ลุงฉีช่วยมาส่งต้นหอมหนึ่งชั่งกับแครอทอีกสองสามชั่งในวันนี้
หลังจากเสร็จสิ้นการค้าขายในช่วงเช้า หลังจากกลับมาถึงบ้านก็จัดการหุงข้าวหม้อใหญ่ไว้สองหม้อ พอสุกแล้วก็พักทิ้งไว้ให้มันเย็น
ข้าวที่เพิ่งหุงสุกจากหม้อหมาด ๆ ไม่เหมาะนำมาทำข้าวผัดไข่ ถ้าปล่อยให้ข้าวเย็นแล้ว เมล็ดข้าวจะแยกตัวจากกันจนร่วนพอดี ข้าวผัดไข่ที่ทำจากเมล็ดข้าวในลักษณะนี้จะมีรสหอมหวานอร่อยและดูน่ารับประทานที่สุด
ถึงแม้คนในยุคสมัยนี้จะไม่มีความต้องการทางอาหารสูงมากนัก แต่หลินม่ายที่ขลุกอยู่กับอุตสาหกรรมการจัดเลี้ยงเป็นเวลาหลายสิบปีในช่วงชีวิตก่อนหน้า ย่อมใส่ใจด้านอาหารการกินมากกว่าคนอื่น ๆ
ยุคสมัยนี้ยังไม่มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้า เธอจึงต้องหุงข้าวด้วยหม้อเหล็กใบใหญ่
หลังจากตักข้าวออกมาจนหมดแล้ว ก้นหม้อจะเหลือชั้นข้าวที่ไหม้เกรียมติดกันเป็นแผ่นใหญ่
หลินม่ายใช้ไม้พายตัดข้าวก้นหม้อดังกล่าวออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปคลุกเคล้าเคลือบด้วยแป้งบาง ๆ ก่อนจะโยนลงทอดในน้ำมันเดือด ได้ขนมกินเล่นแสนอร่อยอีกอย่างหนึ่ง
หลินม่ายเตรียมของพร้อมขายข้าวผัดไข่ในช่วงเที่ยงวันแล้ว โต้วโต้วเริ่มหิว ยังดีที่มีข้าวก้นหม้อทอดกรอบกินประทังไปพลาง ๆ
ประมาณสิบเอ็ดโมง หลินม่ายก็ออกจากบ้านไปขายข้าวผัดไข่ที่ท่าเรือ
ในเมืองเจียงเฉิง วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ร้านอาหารขนาดเล็กในตัวเมืองจะค่อนข้างแออัด การหาของกินหลังเหน็ดเหนื่อยจากการจับจ่ายซื้อของจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ทันทีที่แผงลอยของหลินม่ายตั้งเสร็จเรียบร้อย ก็มีคนเดินเข้ามาถามไถ่เธอว่าขายอะไร
หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าวผัดไข่ค่ะ”
ในอีกไม่กี่ทศวรรษ ข้าวผัดไข่จะถือเป็นหนึ่งในอาหารอันโอชะซึ่งเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย แต่ในช่วงทศวรรษ 1980 หลายคนคงไม่ค่อยรู้จักเมนูนี้เท่าไรนัก
ลูกค้าถามราคา พอได้ยินว่าเธอขายมันในราคาแค่ยี่สิบห้าเหมาต่อชามเท่านั้น ก็ลองอุดหนุนเธอชามหนึ่งทันที
น้ำมันที่เธอได้จากการเจียวมันหมูก่อนหน้านี้ถูกใช้ไปไม่มาก เหตุผลสำคัญก็เพราะหลินม่ายไม่ชอบกินน้ำมันหมู
ส่วนโต้วโต้วก็มีเกี๊ยวกับเนื้อแดดเดียวและกุนเชียงไว้กินไม่ได้ขาด ดังนั้นหล่อนจึงแทบไม่ขาดสารอาหารประเภทน้ำมันเลย เพราะอย่างนี้บ้านของเธอจึงไม่ค่อยได้บริโภคน้ำมันหมูสักเท่าไหร่
หลินม่ายจึงใช้น้ำมันหมูสำหรับทำข้าวผัดไข่อย่างไม่เสียดาย
เธอตักน้ำมันหมูที่มีลักษณะข้นเป็นก้อนเหมือนไขมันแกะช้อนหนึ่งลงไปในกระทะที่ตั้งไฟจนร้อน
น้ำมันหมูละลายตัวอย่างรวดเร็วเมื่อโดนความร้อน กลิ่นของน้ำมันลอยคลุ้งไปในอากาศชวนให้น้ำลายสอ
สิ่งที่ผู้คนในยุคนี้ชื่นชอบมากที่สุดอย่างไรก็คงหนีไม่พ้นน้ำมันที่ได้จากสัตว์
หลินม่ายเติมไข่ที่ตีแล้วลงไปในน้ำมันหมู ทันใดนั้นกลิ่นหอมของไข่ที่ผสมเคล้ากับกลิ่นหอมของน้ำมันหมูก็ยิ่งทวีความดึงดูดจนนิ้วชี้ขยับ(1)
ยิ่งมีหลายคนเดินผ่านมา พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจรับกลิ่นหอมนั้นเข้าไปจนสุดปอด หวังซึมซับกลิ่นหอมให้ได้มากที่สุด
ทันทีที่ไข่ถูกตีลงในกระทะจนส่งกลิ่นหอม เธอก็ใส่ต้นหอมซอยสีเขียวและแครอทสีส้มหั่นเต๋าลงไป ตามด้วยหัวไชเท้าดองที่หั่นเต๋าแล้วเช่นเดียวกัน ชูกลิ่นให้หอมชวนรับประทานยิ่งขึ้น ดึงดูดให้เหล่าลูกค้ามารวมตัวกันอยู่หน้าแผงของเธอ
ข้าวผัดไข่ของหลินม่ายนอกจากจะมีกลิ่นหอมแล้วยังมีรสชาติดีอีกด้วย หลายคนพากันชื่นชมไม่หยุดปาก
คนหนึ่งซื้อ อีกคนหนึ่งก็ซื้อตาม ธุรกิจเป็นไปด้วยดีเกินคาด
หลังจากได้รับความยินยอมจากลูกค้าแล้ว หลินม่ายก็จัดการทำข้าวผัดไข่กระทะละสามชามต่อหนึ่งครั้ง
ใช้วิธีนี้ไม่เพียงแต่ประหยัดเวลา ลูกค้าจะได้ไม่ต้องรออาหารนานจนเกินไป
ข้าวผัดไข่ห้าสิบชามถูกขายจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาแค่ชั่วโมงกว่า ถึงอย่างนั้นก็ยังมีลูกค้าอีกหลายรายที่พลาดโอกาสกินของอร่อย
เรียกได้ว่าหลินม่ายถึงขั้นหยิบจับทำอะไรไม่ถูก เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีแค่สองมือ แถมยังมีลูกที่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง ดังนั้นจึงไม่สามารถเปิดแผงขายนานเกินไป ขายได้เท่าไรก็เท่านั้น
ถ้าเธอมีผู้ช่วยคงค้าขายได้คล่องตัวกว่านี้มาก แต่ปัญหาก็คือเธอไม่มีผู้ช่วยน่ะสิ
ถึงแม้วันนี้เธอจะขายข้าวผัดได้แค่ห้าสิบชาม แต่ก็ทำเงินได้ตั้งหกหยวนเลยทีเดียว ถือเป็นรายได้ที่น่าพึงพอใจมาก
หลังจากปิดแผงลอย พอกลับถึงบ้าน หลินม่ายก็เข้าครัวทำอาหารกลางวันสำหรับสองแม่ลูก
เมนูวันนี้เป็นซุปเต้าหู้ตุ๋นแบบง่าย ๆ ต้มรวมกับลูกชิ้น ผักชี และผักใบเขียวอีกจำนวนหนึ่ง เท่านี้อาหารมื้อกลางวันก็พร้อมเสิร์ฟ
ทันทีที่สองแม่ลูกนั่งลงบนโต๊ะเพื่อกินอาหารกลางวัน พวกเธอก็เห็นหงเซียง ลูกสะใภ้คนโตของป้ากู่รีบร้อนเดินเข้ามาพร้อมกับทำสีหน้าจริงจัง “ม่ายจื่อ ไม่ดีแล้ว มีคนกำลังตามหาเธออยู่!”
หลินม่ายหน้าเสีย “ใครตามหาฉันกัน?”
ไม่ว่าคนที่ตามหาเธอจะเป็นใครก็ตาม แต่ดูจากสีหน้าของหงเซียงแล้วคงหนีไม่พ้นศัตรูแน่
หงเซียงตอบกลับ “ผู้หญิงสองคน อ้างว่าตัวเองเป็นแม่กับพี่สาวของเธอ พวกหล่อนมาสืบถามที่อยู่ของเธอจากผู้คนในหมู่บ้านน่ะ ฉันคิดว่าถ้าพวกหล่อนเป็นแม่กับพี่สาวของเธอจริง ๆ พวกเขาจะไม่รู้ที่อยู่ของเธอเลยเชียวหรือ แปดในสิบจะต้องเป็นคนเลวแน่ ๆ เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้มาเตือนเธอ”
หลินม่ายเกิดความสงสัย ทำไมจู่ ๆ หลินเพ่ยกับซุนกุ้ยเซียงถึงมาที่นี่ได้? แถมยังรู้อีกด้วยว่าเธออาศัยอยู่ที่นี่?
ขณะนั้นเอง เสียงเย้ยหยันของแม่ต้าเป่าก็ดังขึ้นมาจากนอกลานบ้าน “ลูกสาวของคุณมุดหัวอยู่ในบ้านหลังนี้แหละค่ะ ถ้าพวกคุณเข้าไปแล้วอย่าลืมสั่งสอนบทเรียนให้หล่อนหลาบจำด้วย คนอะไร๊ หนีมาใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ในเมือง ปล่อยให้พ่อแม่ของตัวเองต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่ในชนบท ตบบ้องหูหล่อนให้รู้สำนึกหน่อยก็ดี!”
หลังจากนั้น สองแม่ลูกก็เดินตามแม่ต้าเป่าเข้ามา หลินเพ่ยกับแม่ของหล่อนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูบ้าน
แม่ต้าเป่าไม่เดินเข้าไป หล่อนเอนตัวพิงกรอบประตูพร้อมกับแทะเมล็ดแตงโมในมือไปด้วย ราวกับตั้งหน้ารอรับชมเหตุการณ์สนุก ๆ หลังจากนี้
ทันทีที่ซุนกุ้ยเซียงเดินเข้ามาภายในลานบ้านได้ เมื่อเห็นหลินม่ายก็พุ่งพรวดเข้าไปหาทันทีราวกับสุนัขบ้า “นังสารเลว แกนี่มันจิตใจเลวทรามต่ำช้าจริง ๆ กล้าดียังไงถึงทำให้พี่สาวของแกหมดอนาคตร่ำเรียนหนังสือ วันนี้ถ้าฉันฆ่าแกไม่ได้ก็อย่าเรียกว่าคนอีกเลย!”
หงเซียงรีบเข้าไปห้ามปราม “ฉันว่านะแม่ม่ายจื่อ ถ้าคุณมีปัญหาจะสะสางกับเธอก็ค่อยพูดค่อยจากันดี ๆ มาหาเรื่องทุบตีคนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้าแบบนี้ได้ยังไง?”
แม้ว่าหมู่บ้านซานหยางจะเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตเมือง แต่ชาวบ้านที่นี่ก็ชอบสอดส่องเรื่องของคนอื่นไม่ต่างจากชาวบ้านที่อยู่ในแถบชนบท
เมื่อใดก็ตามที่เกิดเรื่องขึ้นกับบ้านใดบ้านหนึ่ง ทุกคนต่างพร้อมใจกันเข้ามามุงดูเหตุการณ์
บ้านของหลินม่ายมีเสียงเอะอะโวยวายดังลั่น อีกทั้งแม่ต้าเป่ายังยืนอยู่หน้าประตูบ้านของเธอและเอาแต่ราดน้ำมันเข้ากองเพลิง มันจึงดึงดูดชาวบ้านจำนวนมากให้มามุงดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
พอชาวบ้านได้ยินว่าซุนกุ้ยเซียงกำลังจะทุบตีใครสักคน พวกเขาต่างก็ก้าวออกไปข้างหน้าแล้วช่วยกันจับตัวนางไว้ ไม่ปล่อยให้นางกระทำการป่าเถื่อนตามใจชอบ
ซุนกุ้ยเซียงพยายามกระโดดและดิ้นรนหนีจากฝูงชนอย่างสุดความสามารถ “ฉันจะแฉให้ทุกคนรู้เดี๋ยวนี้ นังสารเลวนี่ทำลายอนาคตพี่สาวของมันอย่างไม่น่าให้อภัย ฉันมาที่นี่ก็เพื่อเอาเรื่องมัน!”
หลินเพ่ยเหลือบมองไปบนโต๊ะอาหารกลางบ้าน เห็นว่าในชามมีซุปเต้าหู้ตุ๋นกับลูกชิ้น ถือว่าเป็นอาหารชั้นดี
ปีปีหนึ่งครอบครัวของหล่อนไม่มีโอกาสได้กินเต้าหู้หรือเนื้อสัตว์บ่อยครั้งนัก มื้อที่ดีที่สุดมาจากการลงน้ำจับปลาแค่ไม่กี่ตัวมาปรุงอาหาร
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับแตกต่างจากชีวิตความเป็นอยู๋ของหล่อนโดยสิ้นเชิง นังแพศยานี่กินลูกชิ้นกับเต้าหู้จริง ๆ ด้วย!
หล่อนบีบน้ำตาร้องไห้ออกมาทันที พูดจาคร่ำครวญขณะที่น้ำตาไหลรินลงเป็นสาย “ม่ายจื่อ เธอจะทำลายชีวิตฉันยังไงก็ตาม ฉันไม่โทษเธอหรอก แต่เธอจะละเลยพ่อกับแม่ของตัวเองไม่ได้ รู้ไหมว่าแต่ละวันบ้านเรากินอะไร ทุกมื้อมีแค่มันเทศกับผักต้มแค่พอประทังชีวิตไปวัน ๆ เธอ… เธอกลับหนีมาหลบอยู่ในเมืองแล้วกินของดี ๆ แบบนี้…”
ถึงแม้ชาวบ้านในหมู่บ้านซานหยางจะมีความประทับใจที่ดีต่อหลินม่าย แต่ในฐานะที่เธอเป็นลูก เธอกลับไม่สนใจว่าพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองจะเป็นหรือตายอย่างไร สิ่งนี้ทำให้ชาวบ้านที่ยึดมั่นในคุณธรรมไม่ยอมรับการกระทำด้านนี้ของเธอเลย
สายตาของทุกคนที่มองไปทางหลินม่ายเริ่มฉายแววซับซ้อน
หลินม่ายเพิกเฉยต่อเสียงร้องไห้คร่ำครวญของหลินเพ่ย เธอเดินเข้าไปหาซุนกุ้ยเซียง ถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “ฉันทำลายชีวิตลูกสาวคนโตของคุณงั้นเหรอ? ช่วยบอกฉันต่อหน้าทุกคนในที่นี้ทีเถอะว่าฉันทำลายชีวิตหล่อนอย่างไร?”
ซุนกุ้ยเซียงแค่นเสียง “เธอถูกไล่ออกจากโรงเรียน ไม่มีโรงเรียนไหนรับเข้าเรียนอีก นี่ยังน่าสมเพชไม่พออีกรึ?!”
ในใจของหลินม่ายแทบกระโดดชูกำปั้นด้วยความลิงโลด ในที่สุดจดหมายร้องเรียนที่เธอเขียนและส่งตรงถึงสำนักงานการศึกษาก็เห็นผลเสียที!
เธอถามต่อไปอย่างใจเย็น “ฉันไม่ได้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเสียหน่อย จะเอาปัญญาที่ไหนไปทำให้ลูกสาวคนโตของคุณถูกไล่ออกจากโรงเรียนได้ มันต้องมีเหตุผลอื่นแน่ คุณบอกเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงกว่านี้ให้เราฟังหน่อยไม่ได้หรือ?”
แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่สามารถพูดถึงเหตุผลที่แท้จริงได้
หลินเพ่ยเดินไปข้างหน้าด้วยท่าท่างอ่อนแรง ดึงแขนเธอเอาไว้ “ม่ายจื่อ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไปเถอะ ฉันไม่โทษเธอหรอก ฉันแค่อยากให้เธอช่วยส่งเงินมาเลี้ยงดูพ่อแม่บ้าง เรื่องง่าย ๆ เท่านี้เอง!”
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน! ฉันขยะแขยงเธอเต็มทน!” หลินม่ายสะบัดมือออก ก่อนจะแค่นเสียงเยาะเย้ย “เธอไม่โทษฉันจริงเหรอ? ถ้าเธอไม่ถือโทษโกรธเคืองฉันจริง เธอคงไม่พาแม่ดั้นด้นมาหาฉันถึงที่นี่หรอก คนที่อยากได้เงินไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นเธอต่างหาก! เธอนั่นแหละผีดูดเลือดประจำครอบครัว ถึงขั้นยกฉันให้ไปแต่งงานกับคนอื่นเพื่อแลกเอาสินสอดทองหมั้นที่ได้ไปส่งเสียตัวเองให้ได้เรียนหนังสือ ตอนนี้ยังคิดหาทางปอกลอกฉันโดยเอาชื่อพ่อแม่มาอ้างอีก ขืนได้เงินไปก็ไม่พ้นเอาไปกินใช้และแต่งตัวอย่างฟุ่มเฟือย!”
ถึงหลินม่ายจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซานหยางมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ชาวบ้านรู้แค่ว่าเธอเป็นหญิงสาวที่หย่าร้างกับสามีและมีลูกติดเท่านั้น ไม่มีใครรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเธออีก
เมื่อได้ยินว่าพี่สาวของเธอขายเธอไปแต่งงาน แล้วยึดเอาเงินสินสอดที่ได้ไปเรียนหนังสือ ทุกคนจึงมองเธอด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจมากขึ้น
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ปฏิสัมพันธ์ของเธอต่อครอบครัวตัวเองไม่สู้ดีนัก ที่แท้ครอบครัวของเธอก็มีนิสัยไร้มนุษยธรรมอย่างนี้นี่เอง!
………………………………………………………………………………………………………………
นิ้วชี้ขยับ เป็นสำนวนจีน ให้ความหมายประมาณว่าพอเห็นหรือได้กลิ่นอาหารรสเลิศ ก็เกิดอาการเปรี้ยวปากจนน้ำลายสอนั่นเอง
สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อได้เมนูใหม่ขายดีอีกแล้ว
จับนังสามคนนี้เข้าคุกให้ไปกินข้าวแดงยาวๆ เถอะค่ะ น่ารำคาญจริง ตามมาหาเรื่องถึงที่บ้านเลย
ไหหม่า(海馬)